ผู้จัดการายวัน – นิปปอนเพนต์ คาดครึ่งปีหลังตลาดสีที่อาคารชะลอตามภาวะตลาดอสังหาฯ เร่งอัดแคมเปญหวังกระตุ้นยอดขาย ตามเป้าหมายทั้งปี 5,500 ล้านบาท ล่าสุดทุ่มงบ 60 ล้านบาทฉลองผลิตครบ 300 ล้านลิตร ออกแคมเปญ “โชคสะท้านฟ้า ฝา 300 ทอง 3ลุ้น” โอดต้นทุนพุ่ง 20-30% สั่งรัดเข็มขัดหวังรักษากำไรระดับ 10%
นายวิทยา สิทราพรรณทร รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดสีทาอาคารในช่วง 3-4 เดือนแรกของปีนี้มีแนวโน้มที่ดี แต่เมื่อภาวะราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์การเมืองที่เริ่มร้อนแรงขึ้นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว สถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะกระทบต่อตลาดสีที่อาคารในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนที่ช่างจะไม่ทาสีในช่วงนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดสีจะมีอัตราการเติบโตเพียง 3-5% เท่านั้น โดยในครึ่งปีแรกตลาดสีโตประมาณ 5-7%
ในส่วนของนิปปอนเเพนต์ นั้นในช่วงไตรมาส 2 ได้ออกผลิตภัณฑ์สีใหม่ นิปปอน วีนิเลกซ์ ไฮบริดชิลด์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทำให้มียอดขายในส่วนของสีทาอาคารจำนวน 600 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 1,200 ล้านบาท ส่วนเป้ายอดขายของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สีอุตสาหกรรม สีทาอาคารและสีพ่นซ่อมรถยนต์ จำนวน 5,500 ล้านบาท โดยสีอุตสาหกรรมนิปปอนครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดกว่า 30%
อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นเพิ่มช่องทางการตลาด บริษัทจึงหันมารุกตลาดสีทาอาคารเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดบ้านใหม่และบ้านเก่า โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับสอง หรือประมาณ 15% หรือมียอดขายสีทาอาคารประมาณ 2,500 ล้านบาท รองจากอันดับหนึ่ง คือทีโอเอ ที่ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 40% จากปัจจุบันสีทาอาคารมีมูลค่าตลาดรวมที่ 12,000-13,000 ล้านบาท
นายวิทยา กล่าวต่อว่า เมื่อหน้าฝนเป็นช่วงนอกฤดูการขาย บริษัทจึงเตรียมแคมเปญใหญ่เพื่อเป็นการะกระตุ้นยอดขาย โดยทุ่มงบ 60 ล้านบาท เพื่อจัดแคมเปญ “โชคสะท้านฟ้า ฝา 300 ทอง 3 ลุ้น” แบ่งเป็นเงินรางวัล 10 ล้านบาท และงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์อีกจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งภาพยนต์โฆษณาจะเริ่มออกอากาศทางโทรทัศน์ในวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคมนี้ สำหรับงบประชาสัมพันธ์ทั้งปีตั้งไว้ที่ 250 ล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้วเกือบ 150 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะจัดแคมเปญในช่วงปลายปีนี้ แต่อย่างไรก็ดีต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองก่อนว่าจะคลี่คลายขึ้นหรือไม่ หากไม่คลี่คลายอาจจะต้องชะลอแผนออกไปเป็นปีหน้าแทน
สำหรับภาวะต้นทุนในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นสูงมากตั้งแต่ 10-100% จากภาวะราคาน้ำมัน ซึ่งวัสดุบางชนิดปรับขึ้นกว่า 100% อาทิ สานทำละลาย พลาสติกเป็นต้น โดยเฉลี่ยต้นทุนปรับขึ้น 20-30% ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 บริษัทได้ทำการปรับราคาสินค้าขึ้นมาประมาณ 3-5% เท่านั้นซึ่งไม่ครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีบริษัทได้พยายามควบคุมต้นทุนการผลิต รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 10% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆมา
นายวิทยา สิทราพรรณทร รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดสีทาอาคารในช่วง 3-4 เดือนแรกของปีนี้มีแนวโน้มที่ดี แต่เมื่อภาวะราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์การเมืองที่เริ่มร้อนแรงขึ้นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว สถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะกระทบต่อตลาดสีที่อาคารในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนที่ช่างจะไม่ทาสีในช่วงนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดสีจะมีอัตราการเติบโตเพียง 3-5% เท่านั้น โดยในครึ่งปีแรกตลาดสีโตประมาณ 5-7%
ในส่วนของนิปปอนเเพนต์ นั้นในช่วงไตรมาส 2 ได้ออกผลิตภัณฑ์สีใหม่ นิปปอน วีนิเลกซ์ ไฮบริดชิลด์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทำให้มียอดขายในส่วนของสีทาอาคารจำนวน 600 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 1,200 ล้านบาท ส่วนเป้ายอดขายของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สีอุตสาหกรรม สีทาอาคารและสีพ่นซ่อมรถยนต์ จำนวน 5,500 ล้านบาท โดยสีอุตสาหกรรมนิปปอนครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดกว่า 30%
อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นเพิ่มช่องทางการตลาด บริษัทจึงหันมารุกตลาดสีทาอาคารเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดบ้านใหม่และบ้านเก่า โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับสอง หรือประมาณ 15% หรือมียอดขายสีทาอาคารประมาณ 2,500 ล้านบาท รองจากอันดับหนึ่ง คือทีโอเอ ที่ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 40% จากปัจจุบันสีทาอาคารมีมูลค่าตลาดรวมที่ 12,000-13,000 ล้านบาท
นายวิทยา กล่าวต่อว่า เมื่อหน้าฝนเป็นช่วงนอกฤดูการขาย บริษัทจึงเตรียมแคมเปญใหญ่เพื่อเป็นการะกระตุ้นยอดขาย โดยทุ่มงบ 60 ล้านบาท เพื่อจัดแคมเปญ “โชคสะท้านฟ้า ฝา 300 ทอง 3 ลุ้น” แบ่งเป็นเงินรางวัล 10 ล้านบาท และงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์อีกจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งภาพยนต์โฆษณาจะเริ่มออกอากาศทางโทรทัศน์ในวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคมนี้ สำหรับงบประชาสัมพันธ์ทั้งปีตั้งไว้ที่ 250 ล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้วเกือบ 150 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะจัดแคมเปญในช่วงปลายปีนี้ แต่อย่างไรก็ดีต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองก่อนว่าจะคลี่คลายขึ้นหรือไม่ หากไม่คลี่คลายอาจจะต้องชะลอแผนออกไปเป็นปีหน้าแทน
สำหรับภาวะต้นทุนในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นสูงมากตั้งแต่ 10-100% จากภาวะราคาน้ำมัน ซึ่งวัสดุบางชนิดปรับขึ้นกว่า 100% อาทิ สานทำละลาย พลาสติกเป็นต้น โดยเฉลี่ยต้นทุนปรับขึ้น 20-30% ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 บริษัทได้ทำการปรับราคาสินค้าขึ้นมาประมาณ 3-5% เท่านั้นซึ่งไม่ครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีบริษัทได้พยายามควบคุมต้นทุนการผลิต รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 10% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆมา