ผู้จัดการรายวัน - 145 นักวิชาการ แสดงจุดยืนร่วมกันลงชื่อประณามเหตุการณ์อุดรทมิฬ โดยเฉพาะหัวหน้ารัฐบาลหุ่นเชิดมีส่วนปลุกเร้า-รู้เห็น-หนุนม็อบถ่อยรุมขย้ำพันธมิตรฯ อย่างไร้ทางสู้ จวกตำรวจทำเพิกเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ เทียบเคียงละเว้นเหมือนกรณี “โอ๋สืบ 6” ย้ำไม่ต่างจาก 6 ตุลาฯ เรียกร้องกระบวนการยุติธรรมทำงาน ลั่นรัฐบาลหมดความชอบธรรมหลังภาพความรุนแรงชัด
เวลา 12.00 น.วานนี้ (28 ก.ค.) ที่สมาคมศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนนักวิชาการจากสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา กว่า 30 สถาบัน โดย นายวรศักดิ์ มหัทธโนบล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ เรื่อง “นักวิชาการประณามการใช้ความรุนแรงและเรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด”
ทั้งนี้ มีใจความตอนหนึ่งว่า เหตุการณ์ที่ขบวนการทางการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ใช้อาวุธเข้าทำร้ายฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ชุมนุมโดยสงบตามสิทธิที่มีอยู่ในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดอุดรธานีนั้น เป็นการเข้าจู่โจมอย่างเห็นได้ชัดเจนว่า จงใจทำร้ายผู้ชุมนุมให้บาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งให้เสียชีวิต และที่น่าเศร้าที่สุด ก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมาก โดยที่กลไกอำนาจรัฐเหล่านี้มิได้เข้าไปจัดการแก้ไขสถานการณ์แต่อย่างใดทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้นำรัฐบาล และผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบบางคนยังกล่าวในทำนองแก้ต่างให้ท้ายให้แก่การใช้ความรุนแรงเยี่ยงนั้นเสียด้วยซ้ำ
นายวรศักดิ์ กล่าวว่า เรานักวิชาการขอประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมทั้งการทำร้ายร่างกายดังที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม และก่อนหน้านั้น ว่า เป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนอำมหิตเยี่ยงมนุษย์ผู้กระหายเลือด ไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นพฤติกรรมที่วิญญูชนผู้มีความเป็นมนุษย์ที่แท้ไม่พึงกระทำหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำ
“ขอประณามผู้นำทางการเมือง ผู้นำในองค์กรของรัฐ ผู้นำในการชุมนุม ตลอดจนกลุ่มบุคคล บุคคล องค์กรสื่อทุกรูปแบบ และองค์กรวิชาชีพอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีส่วนในทางใดทางหนึ่ง หรือทุกทางในการวางแผน ปลุกเร้า ชี้นำ รู้เห็นเป็นใจ ตลอดจนใช้วาจาที่ยั่วยุ หยาบคาย ด่าทอบริภาษผู้อื่นเพียงเพราะมีความเห็นแตกต่างจากตน ทั้งนี้ เพราะการกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการส่งเสริมโน้มนำให้เกิดความรุนแรงในที่สุด” นายวรศักดิ์ กล่าว
ในแถลงการณ์วิชาการ ยังเรียกร้องให้ใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง ในการสื่อสารความคิดเห็น โดยยุติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในการสื่อสารกับสังคม ขณะที่ได้ประณามเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่กลับเพิกเฉยละเว้นมิได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าการเพิกเฉยละเว้นนี้จะเกิดขึ้น เพราะรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำที่รุนแรง หรือเพราะภยาคติก็ตาม ขณะเดียวกัน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกส่วนราชการ ตลอดจนองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง มีความกล้าหาญทางจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยเห็นว่า การใช้ความรุนแรงในสังคมไทยจะลดน้อยลง หรือหมดไปได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้อำนาจรัฐในการจัดการกับผู้มีส่วนในความรุนแรงตามกระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา ทั้งผู้มีบทบาทอยู่เบื้องหลัง ผู้เข้าร่วมกระทำการรุนแรง ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐที่เพิกเฉยละเลยการปฏิบัติหน้าที่
จี้ "หมัก" รับผิดชอบกรณีปล่อยม็อบถ่อย
นพ.ปูม มาลากุล ณ อยุธยา อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ผู้ประสานงานระหว่าง ม.มหิดล และ ม.บูรพา กล่าวว่า ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐแสดงเจตนาที่ไม่เข้าไปควบคุม หากยังเพิกเฉย เห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดา ก็จะเป็นการส่งเสริมความรุนแรงไปเรื่อย ๆกลายเป็นภาวะที่ไม่เคารพกฎหมาย
“เราขอประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้น และรัฐบาลควรจะเป็นผู้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น คำว่าเสียใจไม่ควรเกิดขึ้นอีก เหตุการณ์ผ่านมา 2 วัน รัฐบาลกลับยังนิ่งเฉยไม่มีความพยายามที่จะนำคนผิดมาลงโทษ โดยเฉพาะข้าราชการ หรือผู้กระทำผิดอย่างจงใจ ขณะเดียวกัน ผู้ชุมนุมไม่ว่าฝั่งใด ควรจะอดทนอย่างมาก โดยเฉพาะการชุมนุมอย่างสันติวิธี นอกจากนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขอให้ทุกฝ่ายระลึกถึงชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ หากจะเปลี่ยนแปลงก็ให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยประชาชน อย่าเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะถอยหลังลงคลองแบบที่ผ่านมา”
ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การที่แกนนำคนรักอุดร เข้ามอบตัวแล้วนั้น รัฐควรจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบ คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำผิดเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะหากยังปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางการเมือง ความวิตกกังวลที่ว่าจะบานปลายไปไปอีกก็จะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ผู้กระทำผิดไม่ใช่เพียงกลุ่มคนที่ไปทุบประชาชน ยังจะรวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเลย ไม่ได้คุ้มครองสิทธิของประชาชนตามสิทธิชั้นพื้นฐาน ต้องถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรจะรับผิดชอบไม่เพียงให้คนเพียงสองคนเข้ามามอบตัว
ส่อละเลยปฏิบัติหน้าที่เหมือนกรณีโอ๋สืบ 6
รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่มีกฎหมายลูกมาบังคับใช้ ตามมาตรา 53 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนในที่สาธารณะก็ตาม แต่ผู้มีอำนาจรัฐกลับฉ้อฉลใช้เป็นช่องว่างในการกระทำกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำการชุมนุมโดยสันติ ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้มีกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะอย่างชัดเจน
“ผมทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติการ ทั้งที่ จ.เชียงใหม่ และภาคอีสาน ว่า หากเป็นตำรวจในระดับปฏิบัติการแล้ว การที่จะปล่อยให้ใครเข้าไปทำอะไรนั้น จะต้องขึ้นอยู่ในระดับนโยบาย หรือผู้ใหญ่สั่งมาก่อน ว่า จะให้ยับยั้งหรือให้ปล่อยเข้ามา ภาพที่มีม็อบเข้าไปทำร้ายพันธมิตรฯ จึงบ่งบอกได้ว่า ระดับปฏิบัติจะทำอะไรไม่ได้เลยหากผู้ใหญ่ไม่สั่งว่าให้ระงับไว้ให้ได้ หรือให้ปล่อยเข้ามา ตรงนี้ทำให้รับรู้ได้ว่า ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดไม่ได้มีแค่ 2 คน คนที่เป็นทั้งผู้กำกับการจังหวัด เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ คน 3-4 คนนี้มีความใกล้ชิดกัน ต้องสอบให้ได้ว่าเป็นการเปิดเข้ามาทำร้ายประชาชนหรือไม่ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่แบบขอไปที” รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าว
และว่า หากเปรียบกับในช่วงที่ นปก.มาก่อความวุ่นวายหน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งตนเห็นว่า พล.อ.เปรม เป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งที่ควรได้รับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองจากรัฐ ก็ไม่มีประชาชนเข้าไปไล่ล่า นปก.ซึ่งต่างกับเหตุการณ์นี้มาก ขณะที่ 2 แกนนำคนรักอุดร เข้ามอบตัวนั้น ก็ไม่เพียงพอกับการรับผิดชอบกับความรุนแรง แต่รัฐบาลควรจะเข้ามารับผิดชอบในการสอบสวนความจริงเพื่อหาคนมาลงโทษ หากเอามาเปรียบเทียบกับกรณีของ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ โอ๋ สืบ 6 ที่ปล่อยกุ๋ยมาทำร้ายประชาชน จน ป.ป.ช.ตัดสินให้ออกจากราชการแล้ว เหตุการณ์นี้ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะภาพที่ออกมาว่าตำรวจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่มีความชัดเจนมาก
หมดความชอบธรรมหลังภาพรุนแรงชัด
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า หากมีหลักฐานที่ออกมาว่ารัฐบาลเกี่ยวข้องกับผู้ที่ใช้ความรุนแรง รัฐบาลก็จะไม่ใช่เป็นเพียงที่พึ่งของประชาชน แต่รัฐบาลได้หมดความชอบธรรมไปแล้ว
ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ตนเสียใจที่คนในรัฐบาล หรือโฆษกรัฐบาล ออกมาย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพันธมิตรฯ ไปชุมนุมทำให้เกิดความเสียหายกับคนอุดรฯ จนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง เป็นเรื่องที่คนถูกกระทำกลายเป็นคนผิด หากเปรียบกับคนที่ถูกข่มขืนแล้ว กลับกลายเป็นคนผิด คิดว่าสังคมแย่ไปแล้ว ทั้งนี้ ตนขอให้สื่อมวลชนช่วยกันสังเกตว่า คดีความรุนแรงที่เกิดใน จ.อุดรธานี และ จ.บุรีรัมย์ จะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่
ผศ.ดร.สุภาวดี มิตรสมหวัง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า บ้านเมืองควรจะมีบรรทัดฐานในการออกมาควบคุมความรุนแรง ซึ่งตรงนี้ตนผิดหวังกับการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่ระบุว่า ทหารไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการระงับความรุนแรง ดังนั้นเมื่อทหารไม่รับชอบก็ขอเรียกร้องให้คนในสังคมร่วมกันออกมาดำเนินการระงับความรุนแรง (อ่านรายละเอียดแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงและรายชื่ออาจารย์ 145 คนได้ใน www.manager.co.th )
เวลา 12.00 น.วานนี้ (28 ก.ค.) ที่สมาคมศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนนักวิชาการจากสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา กว่า 30 สถาบัน โดย นายวรศักดิ์ มหัทธโนบล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ เรื่อง “นักวิชาการประณามการใช้ความรุนแรงและเรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด”
ทั้งนี้ มีใจความตอนหนึ่งว่า เหตุการณ์ที่ขบวนการทางการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ใช้อาวุธเข้าทำร้ายฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ชุมนุมโดยสงบตามสิทธิที่มีอยู่ในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดอุดรธานีนั้น เป็นการเข้าจู่โจมอย่างเห็นได้ชัดเจนว่า จงใจทำร้ายผู้ชุมนุมให้บาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งให้เสียชีวิต และที่น่าเศร้าที่สุด ก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมาก โดยที่กลไกอำนาจรัฐเหล่านี้มิได้เข้าไปจัดการแก้ไขสถานการณ์แต่อย่างใดทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้นำรัฐบาล และผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบบางคนยังกล่าวในทำนองแก้ต่างให้ท้ายให้แก่การใช้ความรุนแรงเยี่ยงนั้นเสียด้วยซ้ำ
นายวรศักดิ์ กล่าวว่า เรานักวิชาการขอประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมทั้งการทำร้ายร่างกายดังที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม และก่อนหน้านั้น ว่า เป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนอำมหิตเยี่ยงมนุษย์ผู้กระหายเลือด ไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นพฤติกรรมที่วิญญูชนผู้มีความเป็นมนุษย์ที่แท้ไม่พึงกระทำหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำ
“ขอประณามผู้นำทางการเมือง ผู้นำในองค์กรของรัฐ ผู้นำในการชุมนุม ตลอดจนกลุ่มบุคคล บุคคล องค์กรสื่อทุกรูปแบบ และองค์กรวิชาชีพอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีส่วนในทางใดทางหนึ่ง หรือทุกทางในการวางแผน ปลุกเร้า ชี้นำ รู้เห็นเป็นใจ ตลอดจนใช้วาจาที่ยั่วยุ หยาบคาย ด่าทอบริภาษผู้อื่นเพียงเพราะมีความเห็นแตกต่างจากตน ทั้งนี้ เพราะการกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการส่งเสริมโน้มนำให้เกิดความรุนแรงในที่สุด” นายวรศักดิ์ กล่าว
ในแถลงการณ์วิชาการ ยังเรียกร้องให้ใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง ในการสื่อสารความคิดเห็น โดยยุติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในการสื่อสารกับสังคม ขณะที่ได้ประณามเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่กลับเพิกเฉยละเว้นมิได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าการเพิกเฉยละเว้นนี้จะเกิดขึ้น เพราะรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำที่รุนแรง หรือเพราะภยาคติก็ตาม ขณะเดียวกัน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกส่วนราชการ ตลอดจนองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง มีความกล้าหาญทางจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยเห็นว่า การใช้ความรุนแรงในสังคมไทยจะลดน้อยลง หรือหมดไปได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้อำนาจรัฐในการจัดการกับผู้มีส่วนในความรุนแรงตามกระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา ทั้งผู้มีบทบาทอยู่เบื้องหลัง ผู้เข้าร่วมกระทำการรุนแรง ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐที่เพิกเฉยละเลยการปฏิบัติหน้าที่
จี้ "หมัก" รับผิดชอบกรณีปล่อยม็อบถ่อย
นพ.ปูม มาลากุล ณ อยุธยา อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ผู้ประสานงานระหว่าง ม.มหิดล และ ม.บูรพา กล่าวว่า ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐแสดงเจตนาที่ไม่เข้าไปควบคุม หากยังเพิกเฉย เห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดา ก็จะเป็นการส่งเสริมความรุนแรงไปเรื่อย ๆกลายเป็นภาวะที่ไม่เคารพกฎหมาย
“เราขอประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้น และรัฐบาลควรจะเป็นผู้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น คำว่าเสียใจไม่ควรเกิดขึ้นอีก เหตุการณ์ผ่านมา 2 วัน รัฐบาลกลับยังนิ่งเฉยไม่มีความพยายามที่จะนำคนผิดมาลงโทษ โดยเฉพาะข้าราชการ หรือผู้กระทำผิดอย่างจงใจ ขณะเดียวกัน ผู้ชุมนุมไม่ว่าฝั่งใด ควรจะอดทนอย่างมาก โดยเฉพาะการชุมนุมอย่างสันติวิธี นอกจากนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขอให้ทุกฝ่ายระลึกถึงชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ หากจะเปลี่ยนแปลงก็ให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยประชาชน อย่าเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะถอยหลังลงคลองแบบที่ผ่านมา”
ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การที่แกนนำคนรักอุดร เข้ามอบตัวแล้วนั้น รัฐควรจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบ คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำผิดเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะหากยังปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางการเมือง ความวิตกกังวลที่ว่าจะบานปลายไปไปอีกก็จะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ผู้กระทำผิดไม่ใช่เพียงกลุ่มคนที่ไปทุบประชาชน ยังจะรวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเลย ไม่ได้คุ้มครองสิทธิของประชาชนตามสิทธิชั้นพื้นฐาน ต้องถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรจะรับผิดชอบไม่เพียงให้คนเพียงสองคนเข้ามามอบตัว
ส่อละเลยปฏิบัติหน้าที่เหมือนกรณีโอ๋สืบ 6
รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่มีกฎหมายลูกมาบังคับใช้ ตามมาตรา 53 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนในที่สาธารณะก็ตาม แต่ผู้มีอำนาจรัฐกลับฉ้อฉลใช้เป็นช่องว่างในการกระทำกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำการชุมนุมโดยสันติ ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้มีกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะอย่างชัดเจน
“ผมทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติการ ทั้งที่ จ.เชียงใหม่ และภาคอีสาน ว่า หากเป็นตำรวจในระดับปฏิบัติการแล้ว การที่จะปล่อยให้ใครเข้าไปทำอะไรนั้น จะต้องขึ้นอยู่ในระดับนโยบาย หรือผู้ใหญ่สั่งมาก่อน ว่า จะให้ยับยั้งหรือให้ปล่อยเข้ามา ภาพที่มีม็อบเข้าไปทำร้ายพันธมิตรฯ จึงบ่งบอกได้ว่า ระดับปฏิบัติจะทำอะไรไม่ได้เลยหากผู้ใหญ่ไม่สั่งว่าให้ระงับไว้ให้ได้ หรือให้ปล่อยเข้ามา ตรงนี้ทำให้รับรู้ได้ว่า ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดไม่ได้มีแค่ 2 คน คนที่เป็นทั้งผู้กำกับการจังหวัด เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ คน 3-4 คนนี้มีความใกล้ชิดกัน ต้องสอบให้ได้ว่าเป็นการเปิดเข้ามาทำร้ายประชาชนหรือไม่ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่แบบขอไปที” รศ.ดร.ไชยันต์ กล่าว
และว่า หากเปรียบกับในช่วงที่ นปก.มาก่อความวุ่นวายหน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งตนเห็นว่า พล.อ.เปรม เป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งที่ควรได้รับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองจากรัฐ ก็ไม่มีประชาชนเข้าไปไล่ล่า นปก.ซึ่งต่างกับเหตุการณ์นี้มาก ขณะที่ 2 แกนนำคนรักอุดร เข้ามอบตัวนั้น ก็ไม่เพียงพอกับการรับผิดชอบกับความรุนแรง แต่รัฐบาลควรจะเข้ามารับผิดชอบในการสอบสวนความจริงเพื่อหาคนมาลงโทษ หากเอามาเปรียบเทียบกับกรณีของ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ โอ๋ สืบ 6 ที่ปล่อยกุ๋ยมาทำร้ายประชาชน จน ป.ป.ช.ตัดสินให้ออกจากราชการแล้ว เหตุการณ์นี้ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะภาพที่ออกมาว่าตำรวจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่มีความชัดเจนมาก
หมดความชอบธรรมหลังภาพรุนแรงชัด
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า หากมีหลักฐานที่ออกมาว่ารัฐบาลเกี่ยวข้องกับผู้ที่ใช้ความรุนแรง รัฐบาลก็จะไม่ใช่เป็นเพียงที่พึ่งของประชาชน แต่รัฐบาลได้หมดความชอบธรรมไปแล้ว
ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ตนเสียใจที่คนในรัฐบาล หรือโฆษกรัฐบาล ออกมาย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพันธมิตรฯ ไปชุมนุมทำให้เกิดความเสียหายกับคนอุดรฯ จนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง เป็นเรื่องที่คนถูกกระทำกลายเป็นคนผิด หากเปรียบกับคนที่ถูกข่มขืนแล้ว กลับกลายเป็นคนผิด คิดว่าสังคมแย่ไปแล้ว ทั้งนี้ ตนขอให้สื่อมวลชนช่วยกันสังเกตว่า คดีความรุนแรงที่เกิดใน จ.อุดรธานี และ จ.บุรีรัมย์ จะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่
ผศ.ดร.สุภาวดี มิตรสมหวัง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า บ้านเมืองควรจะมีบรรทัดฐานในการออกมาควบคุมความรุนแรง ซึ่งตรงนี้ตนผิดหวังกับการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่ระบุว่า ทหารไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการระงับความรุนแรง ดังนั้นเมื่อทหารไม่รับชอบก็ขอเรียกร้องให้คนในสังคมร่วมกันออกมาดำเนินการระงับความรุนแรง (อ่านรายละเอียดแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงและรายชื่ออาจารย์ 145 คนได้ใน www.manager.co.th )