xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการสับรัฐบาลเพ็ดทูลเบื้องสูง-หลอกลวง ปชช.จัดฉากรู้เห็นเขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักวิชาการจวกเละรัฐบาลโกหกประชาชน รู้เห็นเป็นใจกับกัมพูชาให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารตั้งแต่ต้น แต่จัดฉากหลอกคนทั้งประเทศ และบิดเบือนข้อมูล เปิดเอกสารกระทรวงบัวแก้ว ส่งถึงราชเลขาธิการ วันที่ 20 มิ.ย.แต่แนบแผนพัฒนาพื้นที่ร่วมปี 2010 และต้นร่างทะเบียนมรดกโลกเรียบร้อย “สมปอง” ยันร่างคำทักท้วงถึงศาลโลกกับมือ แต่บัวแก้วกลับบิดเบือนเอาไปพูดกับประชาชน ว่า ไทยเสียดินแดนให้เขมร เสนอเปิดเวทีไต่สวนสาธารณะให้ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ให้ข้อมูลต่อประชาชนเพื่อความกระจ่าง


วันนี้ (16 ก.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น.ที่ชั้น 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กลุ่มนักวิชาการในนามกลุ่มประชาชนชาวไทย ผู้เป็นตัวแทนประเทศไทย ประกอบด้วย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยเชี่ยวชาญระดับ 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มธ.นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ และอดีตคณะกรรมการพัฒนานครประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา ดร.สมปอง สุจริตกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยในฐานะผู้ช่วยอดีต รมว.ต่างประเทศ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ร่วมกันแถลงข่าว “วาระแห่งชาติ ปราสาทเขาพระวิหาร” โดย นายเทพมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้กระทำผิดร้ายแรง โดยทำเอกสารส่งถึงราชเลขาธิการ ลงนามโดย นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งหนังสือดังกล่าวลงวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ซึ่งในวันดังกล่าวคณะกรรมการมรดกโลก ยังไม่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่เอกสารที่กระทรวงต่างประเทศส่งถึงราชเลขาธิการนั้น กลับมีแผนพัฒนาพื้นที่ร่วมมรดกโลก ค.ศ.2010 รายงานขึ้นไปด้วย และมีแผนผังที่ระบุว่าทางการกัมพูชาจะพัฒนาพื้นที่ในส่วนของไทย พร้อมเสนอต้นร่างทะเบียนมรดกโลก ซึ่งระบุถึงละติจูด ลองจิจูด กำหนดเขตพื้นที่ของไทยและกัมพูชาในบริเวณปราสาทพระวิหาร แสดงให้เห็นว่า กระทรวงการต่างประเทศรู้ได้อย่างไร ว่า ปราสาทพระวิหารจะได้เป็นมรดกโลกถึงนำแผนผังนี้ไปทูลเกล้าฯ เบื้องสูง แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศรู้เรื่องตั้งแต่ต้นแล้วแต่มาจัดฉากหลอกลวงคนไทย

นอกจากนี้ เอกสารที่ส่งถึงราชเลขาธิการยังมีจุดน่าสังเกต คือ กระทรวงการต่างประเทศได้ระบุชัดเจนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะได้เดินทางไปหารือกับฝ่ายกัมพูชาที่กรุงปารีส โดยมียูเนสโกร่วมอยู่ด้วย เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2551 เพื่อหาข้อยุติเรื่องปราสาทพระวิหาร ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้จัดทำร่างคำแถลงการณ์ร่วม โดยวงเล็บไว้ชัดเจนว่า Jiont communiqué แสดงว่า นายกฤต รู้อยู่แล้วว่าข้อตกลงที่นายนภดลไปลงนามร่วมกับกัมพูชานั้นเป็นแถลงการณ์ร่วม แต่กลับมาบอกว่าไม่ใช่

นายเทพมนตรี กล่าวต่อไปอีกว่า เนื้อหาในเอกสารส่งถึงราชเลขาธิการ ระบุว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 พ.ค.2551 ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว แสดงว่าคณะรัฐมนตรีทั้งคณะได้รับทราบเรื่องดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.แล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิดเผย เอกสารดังกล่าวยังระบุต่อไปว่าสถานะล่าสุดนั้น ฝ่ายกัมพูชาได้ส่งแผนที่ประกอบคำขอจดทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารเฉพาะตัวปราสาทมาให้ฝ่ายไทย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีขอบเขตของปราสาทพระวิหารบริเวณช่องบันไดหักล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ์ ประมาณ 38.215 ตารางวา ฝ่ายไทยจึงได้แก้ไขกลับไปและต่อมาทางกัมพูชาได้แก้ไข และส่งแผนที่ฉบับแก้ไขแล้วให้แก่ฝ่ายไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงได้เสนอร่างคำแถลงการณ์ร่วมและแผนที่ต่อสภาความมั่นคง เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2551 และนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551

“แต่ข้อบังคับของคณะกรรมการมรดกโลกระบุไว้ว่า เอกสารที่เป็นข้อตกลงของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องส่งคณะกรรมการมรดกโลกก่อนการพิจารณาขึ้นทะเบียน 6 สัปดาห์ ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าเอกสารที่ยื่นต่อคณะกรรมการมรดกโลกนั้น เป็นเอกสารที่ลงนามเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2551 ไม่ใช่แถลงการณ์ร่วมที่ผ่านที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2551 ซึ่ง มติ ครม.เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.เป็นเพียงการจัดฉาก เป็นเรื่องตลกที่ไทยมี รมว.ต่างประเทศที่ป๊อกแป๊ก เสนอเรื่องไปหลอกลวงสำนักราชเลขาธิการ” นายเทพมนตรี กล่าว

นายเทพมนตรี กล่าวอีกว่า การชี้ประเด็นนี้นักวิชาการไม่ได้ต้องการคัดง้างเรื่องมรดกโลก แต่ทนไม่ไหวที่รัฐบาลไทยมาจัดฉากหลอกลวงคนไทย แล้วออกมาพูดแม้กระทั่งว่า ไทยได้ยกแผ่นดินให้กัมพูชาไปแล้วตั้งแต่ครั้งศาลโลกพิพากษา โดยรัฐบาลปกปิดไม่พูดเรื่องพื้นที่ทับซ้อนที่ต้องบริหารจัดการร่วมกัน ที่สำคัญมีข้อมูลที่น่าสนใจ คือ การที่นายนพดลไปลงนามหารือที่ปารีสในวันที่ 23 พ.ค.2551 เรื่องนี้มีการวางแผนให้กัมพูชาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไว้ก่อนที่จะมีการตัดสินจริงเสียอีก เพราะนายนพดลได้พบกับผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศที่วางแผนจัดตั้งองค์กร ANTV ที่ประกอบด้วย นักวิชาการจากประเทศสหรัฐอเมริกา เบลเยียม ฝรั่งเศส และ อินเดีย เพื่อจะดึงไทย จีน และ ญี่ปุ่น มาร่วมวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อน เป็นการวางหมากไว้ก่อนที่คณะกรรมการมรดกโลกจะประกาศขึ้นทะเบียนเปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกและให้มี 7 ประเทศดังกล่าว ร่วมเป็นคณะบริหารจัดการร่วม เป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับเอกสารการหารือของกระทรวงการต่างประเทศกับกัมพูชา รวมถึงหนังสือที่ส่งถึงสำนักราชเลขาธิการ ที่สะท้อนให้เห็นว่า มีการวางแผน และเพ็ดทูลเบื้องสูง

“กลุ่มนักวิชาการ อยากขอให้รัฐบาลเปิดเวทีไต่สวนสาธารณะสำหรับพิจารณาเรื่องนี้ โดยเฉพาะซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องชายแดน เนื่องจากทางกลุ่มนักวิชาการอยากให้เคลียร์ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่ ปี 2505 จนถึงปัจจุบันว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อให้มีความชัดเจนต่อสาธารณชน และอยากให้ทั้ง รัฐบาล และภาคประชาชน ได้มีโอกาสชี้แจงทั้งสองฝ่าย โดยที่ไม่ใช่เป็นการชี้แจงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เท่านั้น เพราะจะสร้างความสับสนต่อการรับรู้ของประชาชน นอกจากนี้ หากทางรัฐบาลคิดว่ามีองค์กรกลาง ที่จะจัดเวทีดังกล่าวให้ ก็ขอให้เสนอมา ทางนักวิชาการยินดีที่จะไปแน่นอน อีกทั้งตนได้พบแผนที่ปักปันเขตแดนที่จัดทำโดยประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ.2450 ซึ่งแผนที่ดังกล่าว ฝรั่งเศสไม่ได้ใช้ในการต่อสู้ที่ศาลโลกคดีปราสาทพระวิหาร และแผนที่ฉบับนี้ชัดเจนว่ายึดสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ก็ต้องดูว่าเมื่อเรามีหลักฐานใหม่เช่นนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง” นายเทพมนตรีกล่าว

ด้าน นายสมปอง กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย สภาผู้แทนราษฎร โดย นายกฤต และ พล.ท.แดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร เข้าชี้แจงกรณีที่รัฐบาลสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยอ้างถึงหนังสือจาก พ.อ.ถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ส่งถึงนายอู ถั่น รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ พ.ศ.2505 โดยหนังสือนี้บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ นายกฤต นำมาแถลงให้สาธารณชนรับรู้ ตนทราบเรื่องนี้ดี เพราะเป็นผู้ร่างหนังสือฉบับดังกล่าวเสนอให้กับ พ.อ.ถนัด เอง ดังนั้น จึงขอวิงวอนให้ประชาชนพิจารณาจากข้อเท็จจริง และขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่าบิดเบือนข้อมูล เนื่องจากมีบุคคลบางคนพยามยามหยิบยกหนังสือของ พ.อ.ถนัด ที่ส่งถึงเลขาธิการยูเอ็น ในปี 2505 มาพูดเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งไม่ได้พูดถึงเนื้อความในหนังสือที่ระบุว่า ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ท่านทราบด้วยว่า การตัดสินใจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาลไทยปรารถนาจะตั้งข้อสงวนอย่างชัดเจน เพื่อสงวนไว้ซึ่งสิทธิที่ประเทศไทยมี หรือพึงมีในอนาคตในการเรียกคืนปราสาทพระวิหาร โดยใช้วิถีทางที่ชอบด้วยกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือในอนาคต และขอยืนยันการคัดค้านคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งวินิจฉัยให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ข้าพเจ้าจึงขอเรียนมาเพื่อทราบ พร้อมทั้งขอให้ท่านส่งเวียนหนังสือฉบับนี้ไปยังประเทศสมาชิกของสหประชาชาติทุกประเทศ

“การที่รัฐบาลมาบอกว่า ไทยได้ยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาไปแล้วนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะในสมัยนั้นไทยได้สละการคุ้มครองเหนืออธิปไตยให้กัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลโลก โดยในวันที่ 3 ก.ค.พ.ศ.2505 คณะรัฐมนตรีมีมติให้สร้างรั้วลวดหนามกั้นบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น แต่ทำไมขณะนี้รัฐบาลไทยจึงไม่ย้อนกลับไปดูความเห็นแย้งในการตัดสินของศาลโลกที่จะเป็นช่องทางในการเรียกคืนปราสาทพระวิหาร โดยในขณะนั้นการต่อสู้ในศาลโลก มีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศรายงานผลการจัดทำแผนที่ปราสาทพระวิหารต่อศาลโลก พบว่า พื้นที่ที่อยู่ในสันปันน้ำบริเวณหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนของไทย
อย่างไรก็ตาม ศาลโลกจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องปัญหาดินแดนที่ไทยและกัมพูชา ควรเจรจาร่วมกัน แต่การที่ นายกฤต นำหนังสือของ พ.อ.ถนัด ไปชี้แจงว่า ไทยได้สละอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารไปแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นการสำคัญผิด ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมคนไทยด้วยกันเองจึงพยายามนำข้อมูลมาบิดเบือน หลอกลวงประชาชน และทำไมต้องชี้แจงข้อมูลที่เข้าข้างกัมพูชาทุกอย่างด้วย” นายสมปอง กล่าว

นายสมปอง กล่าวอีกว่า ตนเสนอว่า ไทยควรประกาศจุดยืนคัดค้านมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ดังนี้

1.ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนพื้นที่ ซึ่งยังมีข้อพิพาทที่ยังมิได้ระงับ แม้ว่าคำพิพากษาของศาลโลกถึงที่สุด ไทยก็ไม่เห็นด้วยได้คัดค้านและตั้งข้อสงวนไว้โดยไม่มีกำหนด 2.ปราสาทพระวิหารเฉพาะตัวปราสาทไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือสอดคล้องกับข้อหนึ่งข้อใดในหลักการ 6 ข้อของคณะกรรมการมรดกโลก รวมทั้งขาดความสมบูรณ์ในข้อที่ 1 ซึ่งนำไปประกอบการพิจารณา 3.ไม่สมควรสร้างกรณียกเว้น ทั้งๆ ที่ยังมีข้อพิพาทและขาดบูรณภาพ
4.ไทยสั่งระงับแถลงการณ์ร่วม ซึ่งเป็นโมฆะ เนื่องจากผู้ลงนามไม่มีอำนาจหน้าที่ในการลงนาม โดยมิได้รับอนุมัติจากสภาและประชามติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ 5.คณะกรรมการมรดกโลกไม่อาจบังคับไทยให้ปฏิบัติตามมติได้ เว้นแต่จะพิจารณาแก้ไขให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมกันทั้งสองประเทศ ให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งจะไม่เสียหายต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดและอาจกระทำสำเร็จได้ด้วยดี

จากนั้นกลุ่มนักวิชาการฯ ได้เปิดดีวีดีที่นักวิชาการเข้าพบ ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ อดีตคณะกรรมการมรดกโลกไทย ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลไทย ที่ไปสนับสนุนการขึ้นทะเบียนของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น