นักวิชาการ-อดีตนักการทูต จี้ รัฐบาลหมักแสดงนโยบายเรื่องปราสาทพระวิหารให้ชัดเจน และยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา อย่างเป็นทางการโดยด่วน แนะใช้วิชาการและการทูตในการแก้ปัญหาพระวิหาร เปิดโปงพฤติกรรม “พูดอย่างทำอย่าง” ของกัมพูชาต่อเวทีโลก ไม่ใช่รอแก้ต่างเขมร เพื่อล็อกให้กัมพูชานั่งโต๊ะเจรจาทวิภาคีกับไทย ระบุ “ฮุนเซน” ถอนเรื่องยูเอ็น ใช้วิธีการทูตเลี้ยง “รัฐบาลหมัก” เพราะเป็นรัฐบาลที่ทำประโยชน์ให้กัมพูชาได้อีก
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 25 กรกฎาคม ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเสวนา เรื่อง “กรณีปราสาทพระวิหาร : ความจริงที่คนไทยอยากรู้” โดยมี ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล อดีตเอกอัครราชทูตประเทศไทย นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตประเทศไทย นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ อดีตคณะกรรมการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ร่วมเสวนา ดำเนินรายการโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ดำเนินรายการ
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ประเทศกัมพูชา มีการดำเนินการเรื่องปราสาทพระวิหารโดยมีองค์ประกอบนโยบายทางการทูต และคำนึงถึงปัจจัยการเมืองทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งในทางการทูตนั้นกัมพูชาเดินหมากทางการทูต 2 ระดับ โดยทางหนึ่งจะเจรจากับทางรัฐบาลไทย ระบุว่า ต้องการแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อพิพาท แต่ในอีกทางหนึ่งกลับไปร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคง สหประชาชาติ หรือยูเอ็น ยูเนสโก และเวทีโลกอื่นๆ และกัมพูชาจะร้องเช่นนี้ในทุกเวทีโลกแม้ว่าเวทีเหล่านั้นจะไม่เกี่ยวกับเรื่องพระวิหารก็ตาม
การที่กัมพูชาทำเช่นนั้น เพราะไม่ต้องการเจรจาทวิภาคีกับประเทศไทย เพราะต้องเอาเรื่องจริงมาพูดกัน รวมถึงต้องพิจารณากันในรายละเอียดที่สำคัญ แต่หากกัมพูชาดึงเอาประเทศต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็จะทำให้เขามีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยจะเอาคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลกมาชี้ให้ประชาคมโลกเห็นว่า ศาลโลกได้พิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาแล้ว ดังนั้น พื้นที่ต่างๆ โดยรอบก็ต้องเป็นของกัมพูชาด้วย และให้คณะมนตรีความมั่นคง สหประชาชาติใช้กฎบัตรสหประชาชาติให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ท่าทีของกัมพูชาในระดับผู้บริหารในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงไทยนั้น ไม่มีท่าทีที่เป็นมิตร หรือแสดงความบริสุทธิ์ใจในการเจรจา ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวทางการทูตอย่างเป็นทางการที่เขาดำเนินกับเรา ว่าต้องการแก้ปัญหาโดยสันติ การที่เขาทำเช่นนี้ เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นว่า มีแนวโน้มว่าประเทศไทยที่เป็นประเทศใหญ่กว่าจะรังแกประเทศเล็ก และชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากฝ่ายไทย
“การที่ประเทศกัมพูชาเล่นเรื่องนี้ในระดับประชาคมโลก และระดับภูมิภาค เพราะเห็นว่ารัฐบาลไทยไม่มีเอกภาพ กำลังมีปัญหาการยอมรับของประชาชน สถานภาพรัฐบาลไทยอยู่ในสภาพง่อนแง่น ที่สำคัญรัฐบาลไทยไม่สนใจเรื่องนี้ เนื่องจากมีผลประโยชน์ทับซ้อน และรัฐบาลไทยจะไม่ทำอะไร เพราะเรื่องนี้เป็นผลประโยชน์กับประเทศกัมพูชา นั่นเพราะมีเรื่องผลประโยชน์ที่นักการเมืองของเราเจรจากับฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และฮุนเซนก็รู้ด้วยว่า หากรัฐบาลไทยชุดนี้ยังอยู่จะเป็นประโยชน์กับกัมพูชามากกว่า ดังนั้น ฮุนเซนก็จะพยายามรักษาแนวทางทางการทูต เพื่อให้รัฐบาลนี้อยู่ได้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีของไทยจึงได้ออกมาพูดได้ว่า โทรศัพท์คุยกับฮุนเซนแล้ว เขมรจะถอนเรื่องออกจากยูเอ็น และจะไปคุยกันที่เสียมเรียบแทน การที่กัมพูชายอมถอนหนังสือจากยูเอ็นเพราะเขารู้ว่า มันยังไม่ถึงเวลาที่จะคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นจะเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้ สุดท้ายก็ต้องให้ 2 ประเทศเจรจากันก่อนอยู่ดี”
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการ คือ การใช้แนวทางวิชาการและการทูต โดยต้องไม่รอตามชี้แจงในเวทีต่างๆ ที่กัมพูชาไปร้องไว้ เพราะจะทำให้เราต้องเหนื่อย ที่สำคัญการดำเนินการของฮุนเซนที่วันนี้ร้องเวทีโลก พรุ่งนี้ถอนเรื่องออกเช่นนี้ เป็นการสร้างความไร้เอกภาพให้กับไทย ไทยควรมียุทธศาสตร์ที่จะล็อคให้ประเทศกัมพูชาต้องยอมมานั่งโต๊ะเจรจากับไทย ซึ่งกัมพูชาไม่ต้องการเพราะเขารู้ว่าเขาจะถูกต้อนเข้ามุม และเราต้องรู้ว่ากัมพูชาเน้นไปที่คำตัดสินของศาลโลกพยายามจะประจานไทยให้ประเทศอื่นๆ เห็นว่าไทยมีปัญหา เตะถ่วง
“ดังนั้น ในทางการทูตเราต้องเปิดโปงว่าข้อมูลส่วนไหนที่กัมพูชาบิดเบือนที่จะทำให้ประชาคมโลกเข้าใจผิด และชี้ให้เห็นพฤติกรรมของกัมพูชาที่พูดอีกอย่างแต่ทำอีกอย่าง ซึ่งการชี้แจงต่อเวทีโลกนั้นต้องไม่ใช่เรื่องเทคนิคทางข้อกฎหมาย แต่ต้องเป็นการชี้แจงที่เข้าใจและชี้ให้เห็นได้ว่ากัมพูชาพูดอย่างทำอย่างอย่างไร และเราต้องมีคนที่จะออกมาให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในการเจรจาเวทีต่างๆ เพราะกัมพูชานั้นใช้วิธีการชาญฉลาด เห็นได้จากการเจรจากับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทย เขามีโฆษกของเขาที่ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทุกๆ ชั่วโมง เอาสิ่งที่ได้เปรียบออกมาให้สัมภาษณ์ และกลายเป็นว่าการเจรจาครั้งนั้น เราไม่ได้พูดอะไรเลย ของไทยเราพูดแต่ว่าความลับกันจนขึ้นสมอง ผมบอกได้เลยว่า 90% ที่นักการเมืองบอกว่าเป็นความลับ นั่นคือความลับที่จะเปิดโปงความชั่วของตนเอง”
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า การที่ไทยไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนี้นั้น การมี รมว.ต่างประเทศก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือ รัฐบาลไม่เคยมีนโยบายต่อเรื่องนี้อย่างชัดเจน ซึ่งรัฐบาลต้องออกมาแสดงจุดยืนนโยบายต่อเรื่องนี้ ว่าหลักการพื้นฐานคืออะไร เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน และร่วมกันแก้ปัญหา ตั้งทีมงานออกไปชี้แจงในเวทีโลก สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับไทยต้องชี้แจงออกไปทันที ไม่ต้องรอแก้ต่างกัมพูชาเท่านั้น เพราะเรื่องปราสาทพระวิหารได้กลายเป็นการเมืองระหว่างประเทศแล้ว เราจะรอช้าไม่ได้จะยิ่งทำให้เสียภาพลักษณ์ในเวทีโลก ซึ่งไทยกับกัมพูชามีคณะกรรมการชุดต่างๆ หลายชุด อาทิ คณะกรรมการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา คณะกรรมการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ฯลฯ แต่เราไม่ใช้คณะกรรมการชุดต่างๆ เหล่านี้แก้ปัญหา
“ขณะที่บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ จากที่เคยมีบทบาทเป็นหลักนำกลับไม่มีท่าทีอะไรออกมา นั่นเป็นเพราะนับตั้งแต่กลุ่มอำนาจเก่าบริหารประเทศ นักการเมืองได้ใช้นโยบายการต่างประเทศเป็นเครื่องมือสนองผลประโยชน์ของพรรคพวกตนเอง จนถึงปัจจุบันก็ยังคงใช้นโยบายต่างประเทศทำแบบนี้อยู่ และที่ นายสมัคร ออกมาพูดว่า หลังฮุนเซนได้รับเลือกตั้งเขาจะมีท่าทีอ่อนลงนั้น ผมบอกได้เลยว่ายิ่งเขาได้รับเลือกตั้ง จะยิ่งมีท่าทีแข็งกร้าวขึ้น เพราะเขาใช้เรื่องนี้หาเสียง เขาก็ถือว่าประชาชนให้ฉันทามติ เรื่องแค่นี้นายกรัฐมนตรีของไทยยังคาดเดาไม่ออก ตามเขาไม่ทันอีกหรืออย่างไร” นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้าน ศ.ดร.สมปอง กล่าวว่า ขอให้รัฐบาลไทยแจ้งโมฆะการทำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อนหน้านี้ อย่างเป็นทางการไปยังประเทศต่างๆ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไทยไม่แจ้งยกเลิก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ก็พูดมาตลอดว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่มีผลผูกพันใดๆ ในเมื่อไม่มีผลผูกพันก็ไม่น่าจะกระทบอะไร และต้องแจ้งชี้แจงด้วยว่าการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกมีความผิดพลาดจุดไหนอย่างไรบ้าง ซึ่งไทยเราเป็นประเทศราชมีอธิปไตย เราต้องยืนยันอธิปไตยของเรา แม้แต่การตัดสินของศาลโลก ไทยก็ไม่เคยสละอธิปไตยเหนือพื้นที่บนเขาพระวิหารแต่อย่างใด
นายเทพมนตรี กล่าวว่า ขอให้จับตาการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะมีขึ้นที่เสียม เรียบประเทศกัมพูชา เพราะกัมพูชาจะไม่ได้เจรจาเพียงลำพัง แต่จะลากเอาคณะกรรมการมรดกโลกเข้ามาหารือด้วย และอาจจะมีการมุบมิบระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาอีก และขอให้รัฐบาลไทยยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาโดยเร็ว เพราะขณะนี้กระบวนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกยังไม่เสร็จสิ้น เป็นเพียงการขึ้นบัญชีไว้เท่านั้น และขอให้คณะกรรมการมรดกโลกแขวนปราสาทพระวิหารไว้ก่อน โดยให้เหตุผลว่ามติของคณะกรรมการมรดกโลกทำให้เกิดความตึงเครียดในพื้นที่ของไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดนให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยมาดำเนินการเรื่องการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกอีกครั้งหนึ่ง