รอยเตอร์ – รัฐบาลอินเดียประกาศเตือนภัยทั่วประเทศเมื่อวานนี้ (27) โดยเฉพาะเขตนครใหญ่ๆ ด้วยความหวาดหวั่นถูกโจมตีซ้ำ หลังเกิดเหตุระเบิดสิบกว่าครั้ง ในนครใหญ่ทางภาคตะวันตกของประเทศ และศูนย์กลางไอทีทางตอนใต้ของแดนภารตะ ในวันศุกร์(25) และวันเสาร์(26) ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 46 คน และบาดเจ็บกว่าร้อยคน
ที่เมืองอาห์เมดาบัด ในรัฐคุชราต ที่อยู่ทางตะวันตกของอินเดีย ได้เกิดเหตุระเบิดอย่างน้อย 16 ครั้งในวันเสาร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 คน และบาดเจ็บ 161 คน ก่อนหน้านั้น 1 วัน ก็ได้มีการระเบิดหลายครั้งที่เมืองบังกาลอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านไอทีทางภาคใต้ของอินเดีย โดยมีผู้หญิงเสียชีวิตรายหนึ่ง
นอกจากนั้น ตำรวจแถลงว่า ยังพบระเบิดที่มิได้บึ้มขึ้นมาอีกสองลูกเมื่อวานนี้ ที่เมืองสุราต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเจียระไนเพชรใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และอยู่ในรัฐคุชราตเช่นกัน
“กลุ่มอินเดียน มูจาฮิดีน” ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักได้ออกมาแถลงยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีที่เมืองอาห์เมดาบัด และยังบอกว่ากลุ่มตนนั้นเป็นผู้วางระเบิดโจมตีเมืองชัยปุระ ทางภาคตะวันตกของอินเดีย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาด้วย ซึ่งคราวนั้นมีผู้ถูกสังหารไป 63 คน
เป็นเรื่องผิดปกติในอินเดียที่ผู้ก่อเหตุจะออกมายอมรับการกระทำของตน เวลานี้ทางการอินเดียดูจะตั้งข้อสงสัยว่า กลุ่มหัวรุนแรงจากปากีสถานและบังกลาเทศ คือผู้อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดอย่างต่อเนื่องในระยะหลายปีมานี้ โดยเป้าหมายมีทั้งศาสนสถานของชาวฮินดูไปจนถึงขบวนรถไฟ
ทางด้านโฆษกกระทรวงมหาดไทยแถลงว่า มีการแจ้งเตือนภัยระดับสูงไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ ขณะที่ในกรุงนิวเดลี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้เครื่องขยายเสียงและแจกใบปลิวตามย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพื่อเตือนให้ประชาชนช่วยเฝ้าระวังหากพบกระเป๋าที่ไม่มีเจ้าของหรือวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ ส่วนที่เมืองโกลกาตา (กัลกัตตา) ก็มีเจ้าหน้าที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตามศาสนสถานของชาวฮินดู
ทั้งนี้ เหตุระเบิดในเมืองอาห์เมดาบัดนั้นมีขึ้นสองชุดด้วยกัน ระเบิดชุดแรกเกิดขึ้นที่ใกล้กับบริเวณตลาด ส่วนชุดที่สองเกิดขึ้นภายหลังจากชุดแรกราว 20-25 นาที ในบริเวณโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 6 คน ระเบิดทั้งหมดเป็นแบบตั้งเวลาทำงาน และส่วนใหญ่บรรจุอยู่ในกล่องใส่อาหารชนิดที่ทำด้วยเหล็ก และมีตลับลูกปืนบรรจุอยู่ภายในด้วย
“ผมกับลูกสองคนมาเยี่ยมแม่ของผมที่โรงพยาบาล” ปานกาจ ปาเทล ซึ่งต้องสูญเสียลูกสาวทั้งสองที่โรงพยาบาลอาห์เมดาบัดเล่า “พวกแกกำลังหัวเราะ แล้วจู่ๆ ก็เกิดระเบิดขึ้น ตอนนี้พวกแกตายหมดแล้ว”
มีแพทย์สองคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาลจากระเบิดลูกหนึ่งซึ่งผูกติดมากับถังก๊าซ รถจักรยานและมอเตอร์ไซค์ที่ไหม้เกรียมหลายคันล้มอยู่ภายนอก และเหยื่อร่างท่วมเลือดก็ร้องครวญครางอยู่บนพื้นของโรงพยาบาล
อาห์เมดาบัดซึ่งเป็นเมืองใหญ่และค่อนข้างร่ำรวยของรัฐคุชราต เคยเกิดเหตุจลาจลรุนแรงเมื่อปี 2002 จนคาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 2,500 ราย และส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่ถูกฝูงชนชาวฮินดูเข้าทำร้ายด้วยความโกรธแค้น
ทั้งอาห์เมดาบัดและบังกาลอร์ เวลานี้มีพรรคภารติยะ ชนะตะ ซึ่งเป็นพวกชาตินิยมฮินดู คุมอำนาจอยู่ ขณะที่ นเรนทรา โมดี ซึ่งเป็นมุขมนตรีของรัฐคุชราต ก็ถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉยต่อเหตุจลาจลหลายต่อหลายครั้ง ทำให้นักวิเคราะห์บางคนมองว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในระยะหลังอาจเป็นการตอบโต้ของกลุ่มมุสลิมที่อาจได้รับการฝึกรบและได้รับเงินสนับสนุนจากปากีสถานและบังกลาเทศ
“ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ความไม่พอใจในหมูชาวมุสลิมอินเดียได้ผนวกปมเข้ากับการต่อสู้ด้วยการญิฮาดทั้งระดับโลกและภูมิภาค” ซี อุทัย ภาสกร นักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ และอดีตผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์ด้านการทหารแห่งนิวเดลี กล่าวและเสริมว่า
“ถ้ามีชาวมุสลิม 150 ล้านคนในอินเดีย เอาเพียงแค่ 0.01 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก็หมายถึงว่าจะมีผู้ที่จะเป็นแกนกลางของพวกหัวรุนแรงประมาณ 15,000 คนแล้ว”
ที่เมืองอาห์เมดาบัด ในรัฐคุชราต ที่อยู่ทางตะวันตกของอินเดีย ได้เกิดเหตุระเบิดอย่างน้อย 16 ครั้งในวันเสาร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 คน และบาดเจ็บ 161 คน ก่อนหน้านั้น 1 วัน ก็ได้มีการระเบิดหลายครั้งที่เมืองบังกาลอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านไอทีทางภาคใต้ของอินเดีย โดยมีผู้หญิงเสียชีวิตรายหนึ่ง
นอกจากนั้น ตำรวจแถลงว่า ยังพบระเบิดที่มิได้บึ้มขึ้นมาอีกสองลูกเมื่อวานนี้ ที่เมืองสุราต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเจียระไนเพชรใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และอยู่ในรัฐคุชราตเช่นกัน
“กลุ่มอินเดียน มูจาฮิดีน” ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักได้ออกมาแถลงยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีที่เมืองอาห์เมดาบัด และยังบอกว่ากลุ่มตนนั้นเป็นผู้วางระเบิดโจมตีเมืองชัยปุระ ทางภาคตะวันตกของอินเดีย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาด้วย ซึ่งคราวนั้นมีผู้ถูกสังหารไป 63 คน
เป็นเรื่องผิดปกติในอินเดียที่ผู้ก่อเหตุจะออกมายอมรับการกระทำของตน เวลานี้ทางการอินเดียดูจะตั้งข้อสงสัยว่า กลุ่มหัวรุนแรงจากปากีสถานและบังกลาเทศ คือผู้อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดอย่างต่อเนื่องในระยะหลายปีมานี้ โดยเป้าหมายมีทั้งศาสนสถานของชาวฮินดูไปจนถึงขบวนรถไฟ
ทางด้านโฆษกกระทรวงมหาดไทยแถลงว่า มีการแจ้งเตือนภัยระดับสูงไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ ขณะที่ในกรุงนิวเดลี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้เครื่องขยายเสียงและแจกใบปลิวตามย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพื่อเตือนให้ประชาชนช่วยเฝ้าระวังหากพบกระเป๋าที่ไม่มีเจ้าของหรือวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ ส่วนที่เมืองโกลกาตา (กัลกัตตา) ก็มีเจ้าหน้าที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตามศาสนสถานของชาวฮินดู
ทั้งนี้ เหตุระเบิดในเมืองอาห์เมดาบัดนั้นมีขึ้นสองชุดด้วยกัน ระเบิดชุดแรกเกิดขึ้นที่ใกล้กับบริเวณตลาด ส่วนชุดที่สองเกิดขึ้นภายหลังจากชุดแรกราว 20-25 นาที ในบริเวณโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 6 คน ระเบิดทั้งหมดเป็นแบบตั้งเวลาทำงาน และส่วนใหญ่บรรจุอยู่ในกล่องใส่อาหารชนิดที่ทำด้วยเหล็ก และมีตลับลูกปืนบรรจุอยู่ภายในด้วย
“ผมกับลูกสองคนมาเยี่ยมแม่ของผมที่โรงพยาบาล” ปานกาจ ปาเทล ซึ่งต้องสูญเสียลูกสาวทั้งสองที่โรงพยาบาลอาห์เมดาบัดเล่า “พวกแกกำลังหัวเราะ แล้วจู่ๆ ก็เกิดระเบิดขึ้น ตอนนี้พวกแกตายหมดแล้ว”
มีแพทย์สองคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาลจากระเบิดลูกหนึ่งซึ่งผูกติดมากับถังก๊าซ รถจักรยานและมอเตอร์ไซค์ที่ไหม้เกรียมหลายคันล้มอยู่ภายนอก และเหยื่อร่างท่วมเลือดก็ร้องครวญครางอยู่บนพื้นของโรงพยาบาล
อาห์เมดาบัดซึ่งเป็นเมืองใหญ่และค่อนข้างร่ำรวยของรัฐคุชราต เคยเกิดเหตุจลาจลรุนแรงเมื่อปี 2002 จนคาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 2,500 ราย และส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่ถูกฝูงชนชาวฮินดูเข้าทำร้ายด้วยความโกรธแค้น
ทั้งอาห์เมดาบัดและบังกาลอร์ เวลานี้มีพรรคภารติยะ ชนะตะ ซึ่งเป็นพวกชาตินิยมฮินดู คุมอำนาจอยู่ ขณะที่ นเรนทรา โมดี ซึ่งเป็นมุขมนตรีของรัฐคุชราต ก็ถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉยต่อเหตุจลาจลหลายต่อหลายครั้ง ทำให้นักวิเคราะห์บางคนมองว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในระยะหลังอาจเป็นการตอบโต้ของกลุ่มมุสลิมที่อาจได้รับการฝึกรบและได้รับเงินสนับสนุนจากปากีสถานและบังกลาเทศ
“ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ความไม่พอใจในหมูชาวมุสลิมอินเดียได้ผนวกปมเข้ากับการต่อสู้ด้วยการญิฮาดทั้งระดับโลกและภูมิภาค” ซี อุทัย ภาสกร นักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ และอดีตผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์ด้านการทหารแห่งนิวเดลี กล่าวและเสริมว่า
“ถ้ามีชาวมุสลิม 150 ล้านคนในอินเดีย เอาเพียงแค่ 0.01 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก็หมายถึงว่าจะมีผู้ที่จะเป็นแกนกลางของพวกหัวรุนแรงประมาณ 15,000 คนแล้ว”