เอเอฟพี/รอยเตอร์ – เจ้าหน้าที่สืบสวนระบบความปลอดภัยทางอากาศของออสเตรเลียกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (27) ว่า ถังก๊าซออกซิเจนที่เกิดการระเบิด อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ บนลำตัวเครื่องบินโดยสารของสายการบิน “แควนตัส” ในวันศุกร์ (25) ที่ผ่านมา ทั้งนี้หลังพบถังออกซิเจนสำรองหายไปหนึ่งถัง ขณะเดียวกัน ทางการก็ได้สั่งให้สายการบินแห่งชาติของแดนจิงโจ้แห่งนี้ เร่งตรวจสอบถังออกซิเจนในเครื่องบินโบอิ้ง 747 ทั้งหมดของตน
เครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 747 ของแควนตัสลำที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวันศุกร์นั้น มีต้นทางมาจากลอนดอน โดยมีผู้โดยสารพร้อมลูกเรือทั้งสิ้น 365 คน แต่ขณะเดินทางออกจากฮ่องกงมุ่งสู่เมลเบิร์น จู่ ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังและเกิดรูโหว่ขึ้นที่ลำตัวเครื่องบินด้านขวา จนทำให้ความกดอากาศในห้องโดยสารลดลง และตัวเครื่องบินก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็วถึง 6,000 เมตร
ทว่า นักบินสามารถนำเครื่องบินลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินมะนิลาของฟิลิปปินส์ได้โดยปลอดภัย แม้ภายหลังผู้โดยสารจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นรอยฉีกยาวถึง 3 เมตรที่ตัวเครื่องบินถัดจากปีกด้านขวา
เนวิลล์ ไบลท์ เจ้าหน้าที่สืบสวนของสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งออสเตรเลีย กล่าวที่มะนิลาว่า “ถังออกซิเจนสำรองถังหนึ่งหายไปจากเครื่องบิน แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่านี่คือสาเหตุของการระเบิด”
เขาบอกอีกว่าทีมสืบสวนได้ตัดประเด็นการก่อการร้ายทิ้งไปเพราะ “ไม่มีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงแม้แต่น้อย”
ไบลท์ยังไม่ได้สรุปสาเหตุว่าเป็นเพราะถังออกซิเจนดังกล่าว ซึ่งเป็นถังขนาดพอๆ กับถังออกซิเจนที่นักประดาน้ำใช้กัน เขากล่าวเพียงว่า การสืบสวนในขั้นต้นจะต้องใช้เวลาสองถึงสามวัน ส่วนรายงานผลการสืบสวนขั้นต้นจะเผยแพร่ได้ในอีกสองหรือสามเดือน
ปีเตอร์ กิบสัน โฆษกของสำนักงานความปลอดภัยการบินพลเรือนของออสเตรเลียกล่าวที่ซิดนีย์ว่า แควนตัสตกลงจะตรวจสอบถังออกซิเจนบนเครื่องโบอิ้ง 747 ของตนที่มีอยู่ราว 30 ลำทั้งหมด
เขาระบุด้วยว่า “มีถังออกซิเจนสองถังติดตั้งอยู่ใกล้มากกับจุดที่เกิดรูโหว่บนเครื่องบิน”
“เรารู้แน่ชัดว่ามีถังออกซิเจนสองถังตรงจุดที่เป็นรูโหว่ เรารู้แน่ชัดว่านี่เป็นประเด็นหลักของการสืบสวน และเราคิดว่าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยให้มีการตรวจสอบเสียตั้งแต่ตอนนี้แทนที่จะรอเวลาไว้” เขาบอก
กิบสันกล่าวว่าถังออกซิเจนเหล่านี้เก็บไว้บนเครื่องบินก็เพื่อใช้ในเวลาฉุกเฉิน และหากมีการยืนยันข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็จะมีผลไปถึงเครื่อง 747 ลำอื่นๆ ทั้งหมดของแควนตัส รวมทั้งอาจจะรวมถึงสายการบินอื่นๆ ทั่วโลกด้วย
กิบสันปฏิเสธว่าการระเบิดไม่ได้เกิดจากรอยสนิม เพราะรอยสนิมที่พบในระหว่างการตรวจสภาพเครื่องบินเมื่อสองสามเดือนก่อนนั้น เป็นรอยผุขนาดเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากจุดที่เกิดรูโหว่ แต่ทีมสืบสวนก็จะตรวจสอบเรื่องของรอยสนิมโดยรวมด้วย
แควนตัสนั้นเป็นสายการบินที่ภาคภูมิใจมาตลอดกับสถิติด้านความปลอดภัยระดับดีเยี่ยม ส่วนจอห์น บาร์เท็ลส์ นักบินประจำเครื่องที่เกิดอุบัติเหตุก็แถลงว่าการฝึกฝนด้านการบินอย่างหนักทำให้ลูกเรือรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ด้วยดี
“ทันทีที่เรารู้ว่าเกิดปัญหาความดันในเครื่องบินลดลง ผมก็งัดเอาสิ่งที่ต้องทำตามขั้นตอนออกจากสมองมาใช้เลย” บาร์เทลบอก
“มีเจ้าหน้าที่ในห้องนักบินอยู่สามคน เราทำงานประสานกันทั้งหมด โดยเน้นทำสิ่งที่เราต้องทำเพื่อนำเครื่องลงจอดโดยปลอดภัยให้ได้ ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เราได้รับการฝึกฝนมานั่นเอง”
แม้ว่าผู้โดยสารต่างชื่นชมการแก้ปัญหาของลูกเรือ แต่ก็มีเสียงร้องเรียนว่าหน้ากากออกซิเจนบางชุดใช้การไม่ได้
“ยางรัดเก่าเสียจนเปื่อย ตอนนั้นผมพยายามจะหยิบหนังสือเดินทาง แต่พอจะหยิบมาได้ หน้ากากออกซิเจนก็หลุด จนผมเกือบเป็นลม” เดวิด เซาน์เดอร์ส์ สถาปนิกที่โดยสารในเครื่องบินลำดังกล่าวเล่า
เขาบอกผู้โดยสารคนหนึ่งตื่นตระหนกถึงกับต่อยเพดานตรงที่นั่งจนพังเพื่อดึงเอาหน้ากากออกมา ส่วนเด็กๆ ก็ร้องกันระงม บางคนขาดออกซิเจนจนแก้มและริมฝีปากเขียวคล้ำ
เครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 747 ของแควนตัสลำที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวันศุกร์นั้น มีต้นทางมาจากลอนดอน โดยมีผู้โดยสารพร้อมลูกเรือทั้งสิ้น 365 คน แต่ขณะเดินทางออกจากฮ่องกงมุ่งสู่เมลเบิร์น จู่ ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังและเกิดรูโหว่ขึ้นที่ลำตัวเครื่องบินด้านขวา จนทำให้ความกดอากาศในห้องโดยสารลดลง และตัวเครื่องบินก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็วถึง 6,000 เมตร
ทว่า นักบินสามารถนำเครื่องบินลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินมะนิลาของฟิลิปปินส์ได้โดยปลอดภัย แม้ภายหลังผู้โดยสารจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นรอยฉีกยาวถึง 3 เมตรที่ตัวเครื่องบินถัดจากปีกด้านขวา
เนวิลล์ ไบลท์ เจ้าหน้าที่สืบสวนของสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งออสเตรเลีย กล่าวที่มะนิลาว่า “ถังออกซิเจนสำรองถังหนึ่งหายไปจากเครื่องบิน แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่านี่คือสาเหตุของการระเบิด”
เขาบอกอีกว่าทีมสืบสวนได้ตัดประเด็นการก่อการร้ายทิ้งไปเพราะ “ไม่มีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงแม้แต่น้อย”
ไบลท์ยังไม่ได้สรุปสาเหตุว่าเป็นเพราะถังออกซิเจนดังกล่าว ซึ่งเป็นถังขนาดพอๆ กับถังออกซิเจนที่นักประดาน้ำใช้กัน เขากล่าวเพียงว่า การสืบสวนในขั้นต้นจะต้องใช้เวลาสองถึงสามวัน ส่วนรายงานผลการสืบสวนขั้นต้นจะเผยแพร่ได้ในอีกสองหรือสามเดือน
ปีเตอร์ กิบสัน โฆษกของสำนักงานความปลอดภัยการบินพลเรือนของออสเตรเลียกล่าวที่ซิดนีย์ว่า แควนตัสตกลงจะตรวจสอบถังออกซิเจนบนเครื่องโบอิ้ง 747 ของตนที่มีอยู่ราว 30 ลำทั้งหมด
เขาระบุด้วยว่า “มีถังออกซิเจนสองถังติดตั้งอยู่ใกล้มากกับจุดที่เกิดรูโหว่บนเครื่องบิน”
“เรารู้แน่ชัดว่ามีถังออกซิเจนสองถังตรงจุดที่เป็นรูโหว่ เรารู้แน่ชัดว่านี่เป็นประเด็นหลักของการสืบสวน และเราคิดว่าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยให้มีการตรวจสอบเสียตั้งแต่ตอนนี้แทนที่จะรอเวลาไว้” เขาบอก
กิบสันกล่าวว่าถังออกซิเจนเหล่านี้เก็บไว้บนเครื่องบินก็เพื่อใช้ในเวลาฉุกเฉิน และหากมีการยืนยันข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็จะมีผลไปถึงเครื่อง 747 ลำอื่นๆ ทั้งหมดของแควนตัส รวมทั้งอาจจะรวมถึงสายการบินอื่นๆ ทั่วโลกด้วย
กิบสันปฏิเสธว่าการระเบิดไม่ได้เกิดจากรอยสนิม เพราะรอยสนิมที่พบในระหว่างการตรวจสภาพเครื่องบินเมื่อสองสามเดือนก่อนนั้น เป็นรอยผุขนาดเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากจุดที่เกิดรูโหว่ แต่ทีมสืบสวนก็จะตรวจสอบเรื่องของรอยสนิมโดยรวมด้วย
แควนตัสนั้นเป็นสายการบินที่ภาคภูมิใจมาตลอดกับสถิติด้านความปลอดภัยระดับดีเยี่ยม ส่วนจอห์น บาร์เท็ลส์ นักบินประจำเครื่องที่เกิดอุบัติเหตุก็แถลงว่าการฝึกฝนด้านการบินอย่างหนักทำให้ลูกเรือรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ด้วยดี
“ทันทีที่เรารู้ว่าเกิดปัญหาความดันในเครื่องบินลดลง ผมก็งัดเอาสิ่งที่ต้องทำตามขั้นตอนออกจากสมองมาใช้เลย” บาร์เทลบอก
“มีเจ้าหน้าที่ในห้องนักบินอยู่สามคน เราทำงานประสานกันทั้งหมด โดยเน้นทำสิ่งที่เราต้องทำเพื่อนำเครื่องลงจอดโดยปลอดภัยให้ได้ ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เราได้รับการฝึกฝนมานั่นเอง”
แม้ว่าผู้โดยสารต่างชื่นชมการแก้ปัญหาของลูกเรือ แต่ก็มีเสียงร้องเรียนว่าหน้ากากออกซิเจนบางชุดใช้การไม่ได้
“ยางรัดเก่าเสียจนเปื่อย ตอนนั้นผมพยายามจะหยิบหนังสือเดินทาง แต่พอจะหยิบมาได้ หน้ากากออกซิเจนก็หลุด จนผมเกือบเป็นลม” เดวิด เซาน์เดอร์ส์ สถาปนิกที่โดยสารในเครื่องบินลำดังกล่าวเล่า
เขาบอกผู้โดยสารคนหนึ่งตื่นตระหนกถึงกับต่อยเพดานตรงที่นั่งจนพังเพื่อดึงเอาหน้ากากออกมา ส่วนเด็กๆ ก็ร้องกันระงม บางคนขาดออกซิเจนจนแก้มและริมฝีปากเขียวคล้ำ