xs
xsm
sm
md
lg

“ขาใหญ่”วอลล์สตรีท“อ่วม”ต้องเร่งแก้เกม หลังหุ้น“แบงก์”พุ่งและ“น้ำมัน”กลับตกฮวบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รอยเตอร์ – สถานการณ์ในตลาดสหรัฐฯกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อราคาน้ำมันเริ่มลดลง และหุ้นธนาคารเริ่มพุ่งขึ้น ทำให้นักลงทุนต้องเปลี่ยนแนวการลงทุนเสียใหม่
ก่อนหน้านี้นักลงทุนในตลาดสหรัฐฯพากันทุ่มเม็ดเงินไปที่น้ำมันเพราะเก็งกันว่าราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นในขณะที่หุ้นธนาคารจะทรุดลง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากความปั่นป่วนในตลาดการเงินของสหรัฐฯที่ส่งผ่านไปทั่วโลก
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯและหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อนี้ประสบปัญหาหนี้เสียอย่างรุนแรง ราคาบ้านลดลงอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้บรรดานักลงทุนคาดกันว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เบน เบอร์นันกีจะถูกบีบให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อบรรเทาสภาพสินเชื่อตึงตัวที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อมาของการลดอัตราดอกเบี้ยก็คือ เงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆของโลก ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐฯอย่างเช่นน้ำมันมีราคาพุ่งขึ้นมาก นอกจากนี้บรรดนักลงทุนก็ยังเก็งกันอีกด้วยว่าวิกฤตสินเชื่อจะดำเนินต่อไปอีกนาน และจะกัดเซาะผลประกอบการของทั้งธนาคารและบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ด้วย
การเก็งของพวกนี้เป็นความจริง ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นสองเท่านับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา และพุ่งขึ้นแตะระดับเกือบ 150 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อหนึ่งบาร์เรลเมื่อสองสัปดาห์ก่อน อันเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะเดียวกันหุ้นธนาคารต่าง ๆพากันร่วงลงรุนแรง อย่างเช่น หุ้นซิติแบงก์ และ เมอริล ลินช์ก็หล่นลงไปถึง 70%
“การซื้อตราสารน้ำมันปริมาณมากที่เราเห็นมาตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมจนถึงเดือนกันยายนปีที่แล้วล้วนแล้วแต่สืบเนื่องมาจากนโยบาย “โปร่งใส” ของเบน เบอร์นันกีทำให้ทุกคนเดาได้ว่าเขาจะลดอัตราดอกเบี้ยแต่เนิ่น ๆรวมทั้งจะลดลงหลายครั้งด้วย” ปีเตอร์ บิวเทล ประธานของคาเมรอน แฮนโนเวอร์ บริษัทที่ปรึกษาการค้าหลักทรัพย์ในเมืองนิวคะนาอัน มลรัฐคอนเนตทิคัต กล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น และหุ้นธนาคารหล่นนั้น กำลังเปลี่ยนทิศกลับทางเป็นตรงกันข้ามอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันมานี้
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแรกสุดก็คือ ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯที่ระบุว่าความต้องใช้น้ำมันในประเทศเริ่มลดลง อันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่เตือนว่าราคาน้ำมันไม่สามารถที่จะเพิ่มขึ้นตลอดไปได้
ต่อมาวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังก็ประสานพลังกับธนาคารกลางสหรัฐฯออกแผนพยุงแฟนนี เม และเฟรดดี แม็ค สองสถาบันให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
นอกจากนั้น ทางด้านการซื้อขายในตลาดก็เริ่มแสดงชัดให้เห็นว่าเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (เอสอีซี) ประกาศมาตรการปรามการทำชอร์ตเซลล์ (short selling) ในหุ้นสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้หุ้นธนาคารพุ่งขึ้น
นอกจากนี้ปริมาณน้ำมันดิบสำรองตามคลังเก็บในตลาดสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ก็ยิ่งกดดันให้ราคาน้ำมันร่วงลงมาอีก ตอนนี้พวกค้าตราสารน้ำมันต้องเริ่มหันมาเก็งว่าราคาน้ำมันจะไม่เพิ่มขึ้นไปอีกแล้ว
ส่วนดัชนีเคบีดับบลิว แบงก์ ซึ่งวัดหุ้นสายธนาคาร ได้พุ่งขึ้น 17.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่ดัชนีถูกตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1992
กระแสการค้าที่หวนกลับตาลปัตรโดยฉับพลันนี้ ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นจากการที่ราคาหุ้นสถาบันการเงินยังคงพุ่งขึ้นเรื่อย และราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงๆ ติดต่อกันเกือบสองสัปดาห์ ทำเอานักลงทุนแห่ตามกระแสไปซื้อหุ้นธนาคารมาเก็บไว้โดยไม่สนใจผลประกอบการที่น่าผิดหวังของธนาคารบางแห่งที่ประกาศออกมาในสัปดาห์นี้
“กองทุนเฮดฟันด์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายชอร์ตต่างใช้นโยบายซื้อตราสารน้ำมันหวังราคาขึ้น รวมทั้งขายชอร์ตหุ้นสถาบันการเงินกันมาหลายเดือนแล้ว” ริค เมคเลอร์ ประธานของลิเบอร์ตี วิว แคปิตอล แมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่ตั้งอยู่ในเมืองเจอร์ซีย์ซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์กล่าว
“ดังนั้นเพื่อกระแสการลงทุนกำลังเปลี่ยนทิศ พวกเขาก็โดดเข้าไปถือหุ้นธนาคารกันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่หุ้นธนาคารที่มีผลประกอบการย่ำแย่” เขาเสริม
ตอนนี้ราคาน้ำมันร่วงลงมาแล้วเกือบ 15% เทียบกับช่วงที่ขึ้นไปสูงสุด ในขณะที่ดัชนีเคบีดับบลิวซึ่งรวมเอาหุ้นธนาคารใหญ่ ๆในสหรัฐฯเข้ามาคำนวณพุ่งขึ้นมากกว่า 45% หลังจากลดลงอยู่ที่จุดต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ และนักวิเคราะห์ก็กำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น