xs
xsm
sm
md
lg

ส่งออกมิ.ย.นิวไฮต์ 1.6หมื่นล้านUSD คงเป้าทั้งปี12.5%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน-ส่งออกมิ.ย.ยอดพุ่ง 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.4% สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์อีกครั้ง ทุบสถิติเดิมเมื่อเดือนที่แล้ว และยังเกินดุลการค้าต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ส่วนยอดรวมครึ่งปีแรก ส่งออกมูลค่า 8.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.1% “พาณิชย์”ยันคงเป้า 12.5% และมีเป้าทำงาน 15% เช่นเดิม
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนมิ.ย. มีมูลค่า 16,268.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 27.4% เป็นมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และทำลายสถิติการส่งออกสูงสุดจากเดือนที่แล้วที่ส่งออกได้มูลค่า 15,463.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 15,640.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.7% ส่งผลให้เดือนมิ.ย.ไทยเกินดุลการค้า 627.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการเกินดุลเดือนที่ 2 ติดต่อกันจากเดือน พ.ค. ที่เกินดุล 1,294.8 ล้านเหรียญ
ส่วนการส่งออกรวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 87,212.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.1% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 88,279.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 33.6% และมียอดขาดดุลการค้ารวม 1,067.3 ล้านเหรียญ
“ยอดส่งออกสะสม 6 เดือนแรก โต 23.1% ถ้าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เป้าส่งออกทั้งปี 12.5% และเป้าพยายามทำงาน 15% ทำได้อย่างแน่นอน ข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก โดยเฉพาะราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะมีการติดตามและประเมินผล โดยจะไม่มีการปรับเป้าหมายการส่งออก แต่จะมีการผลักดันการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังอย่างเต็มที่” นายศิริพลกล่าว
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า การส่งออกในเดือนมิ.ย.ที่ส่งออกสูงสุดนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 51.7% คิดเป็นมูลค่า 2,824 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น ข้าวส่งออกเพิ่มขึ้น 201.9% มูลค่า 805 ล้านเหรียญสหรัฐ ยางพาราเพิ่มขึ้น 26.2% มูลค่า 557 ล้านเหรียญสหรัฐ ผักผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูปเพิ่มขึ้น 26.4% มูลค่า 229 ล้านเหรียญสหรัฐ และไก่แช่แข็งและแปรรูปเพิ่มขึ้น 63.5% มูลค่า 122 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญรวมเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 26.3% มูลค่า 12,572 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่ขยายตัวสูงสุด เช่น อัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้น 157% มูลค่า 792 ล้านเหรียญสหรัฐ น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 146.8% มูลค่า 773 ล้านเหรียญสหรัฐ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์สปาเพิ่มขึ้น 506.9% มูลค่า 677 ล้านเหรียญสหรัฐ น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 93.2% มูลค่า 173 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ สินค้าเม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกล สิ่งพิมพ์กระดาษ อาหารสัตว์ ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์ยาง ก็ยังขยายตัวเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนการนำเข้า พบว่า มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า โดยในเดือนมิ.ย.ยอดนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 66.4% มูลค่า 3,472.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีการนำเข้าแท่นขุดเจาะน้ำมันอีก 145 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสินค้ากลุ่มทุนเพิ่มขึ้น 15% มูลค่า 3,737.1 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 27.6% มูลค่า 6,585.6 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 44% มูลค่า 1,347.8 ล้านเหรียญ สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งเพิ่มขึ้น 32.9% มูลค่า 487.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับตลาดส่งออกยังเติบโตได้ดีทุกตลาด โดยตลาดหลักเติบโตรวม 23.2% ได้แก่ สหรัฐฯ โต 3.2% ญี่ปุ่น 12.5% สหภาพยุโรป 15 ประเทศ 1.3% และอาเซียน 64.8% ตลาดใหม่ขยายตัวรวม 31.9% เช่น แอฟริกาโต 53.3% ออสเตรเลีย 51.3% อินโดนจีนและพม่า 47.2% ตะวันออกกลาง 42.6% ฮ่องกง 40.8% ลาตินอเมริกา 25.7% เกาหลีใต้ 21.7% ยุโรปตะวันออก 21% จีน 20.8% และแคนาดา 6% เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้การส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกจะขยายตัวสูงถึง 23.1% แต่กรมฯ ยังคงเป้าหมายการส่งออกทั้งปีที่ 12.5% เป้าทำงาน 15% ไว้เช่นเดิม โดยจะไม่มีการปรับเป้าหมายอัตราการขยายตัว ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง กรมฯ จะเร่งผลักดันการส่งออกอย่างเต็มที่ เพราะตลาดยังมีความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่เห็นได้ ก็คือ สินค้าเกษตรจะเป็นสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวมาก จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นส่วนตลาดส่งออก ที่คาดว่าจะมีปัญหาอย่างสหรัฐฯ ขณะนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ญี่ปุ่น ก็เพิ่มขึ้นโดยได้รับอานิสงค์จากข้อตกลง JTEPA สำหรับตลาดใหม่ คาดว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนการส่งออกไปตลาดหลักกับตลาดใหม่เมื่อสิ้นปีจะเหลือ 51.2% กับ 48.8%
กำลังโหลดความคิดเห็น