ผู้จัดการรายวัน - BSEC เผยแผนครึ่งปีหลังเดินหน้ากระจายช่องทางหารายได้ต่อเนื่องทั้งด้านวาณิชธนกิจและพอร์ตลงทุน หลังสองไตรมาสแรกผลงานเจ๋ง เชื่อหนุนผลประกอบการครึ่งปีหลังเติบโตต่อได้ แม้ตลาดหุ้นยังผันผวน ปัจจัยทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ กดดัน มั่นใจจะครองมาร์เก็ตแชร์ได้ตามเป้า
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) กล่าวถึงทิศทางการขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า ยังให้ความสำคัญกับนโยบายกระจายฐานรายได้ทั้งทางด้านวาณิชธนกิจ พอร์ตลงทุน ตลาดตราสารอนุพันธ์ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังพบว่านโยบายดังกล่าว ทำให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตได้ดี ท่ามกลางแรงกดดันของปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมือง
ทั้งนี้ ไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิสูงถึง 55.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25.44 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจากการมุ่งกระจายฐานรายได้ดังกล่าว จึงเชื่อว่านโยบายข้างต้นจะทำให้ผลประกอบการครึ่งปีหลังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในภาวะปกติหรือไม่ ซึ่งปี 50 บริษัท มีรายได้จากนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 80% ซึ่งจะมีความสมดุลมากขึ้นอีกในปีนี้
โดยจะมีรายได้จากงานด้านวาณิชธนกิจ พอร์ตการลงทุน และตราสารอนุพันธ์เสริม ซึ่งเป็นผลจากการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างและวางแผนการดำเนินงานในอนาคต เพื่อให้สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและแข่งขันในธุรกิจได้คล่องตัว จะเห็นได้จากในอดีต BSEC เคยมีสัดส่วนรายได้จากด้านนายหน้าค้าหลักทรัพย์ถึง 90% ของรายได้รวม แต่ระยะต่อมาโครงสร้างรายได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นไม่ว่าสภาวะตลาดหุ้นจะผันผวนหรืออยู่ในภาวะปกติ เชื่อว่า BSEC จะสามารถเติบโตต่อเนื่อง ได้อย่างแข็งแกร่ง" นาย ประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่าปีนี้บริษัทวางเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าเพิ่ม โดยจะเพิ่มจำนวนบัญชีขึ้นอีก 5-10% ของยอดลูกค้าทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5-6 พันบัญชี เพื่อให้ปริมาณการซื้อขายในระยะยาวของบริษัทเติบโตต่อไป ขณะเดียวกันก็จะมุ่งเพิ่มช่องทางทำรายได้เพิ่ม โดยเฉพาะการซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เทรดดิ้ง ซึ่งบริษัทจะเปิดสาขาสำหรับให้บริการซื้อขายแบบอินเตอร์เน็ต (ไซเบอร์ บรานช์) เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีเฉพาะสาขาหลักที่ให้บริการเต็มรูปแบบเท่านั้น
ทั้งนี้ ต้นทุนการเปิดไซเบอร์ บรานช์แต่ละสาขาจะไม่สูงมาก ใช้งบลงทุนประมาณ 1-2 แสนบาท ต่อสาขา โดยจะทยอยเปิดสาขาตั้งแต่ไตรมาส 3/2551 เป็นต้นไป ปัจจุบัน BSEC มีส่วนแบ่งการตลาดด้านอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง อยู่เป็นอันดับต้น ๆ และในปีนี้มั่นใจว่าจะคงอยู่ในช่วงอันดับ TOP 3 ได้ต่อไปเช่นเดียวกับต้นปีที่ผ่านมา
"ปีนี้เรายังมั่นใจว่าจะสามารถทำมาร์เก็ตแชร์ได้ 4% ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจให้กับผู้ลงทุนเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นจะผันผวนสูง จากปัญหาการเมือง และน้ำมันราคาสูงที่เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย แต่จากการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกระจายช่องทางสร้างรายได้ให้หลากหลายมากขึ้น จะทำให้ BSEC สร้างรายได้และผลกำไรให้ขยายตัวต่อเนื่องได้ในทุกไตรมาส เช่นเดียวกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา " นายประสิทธิ์กล่าว
ล่าสุด ผลงานไตรมาส 2 ปีนี้พบว่าบริษัท กำไรขยับเล็กน้อยคือ 34.43 ล้านบาท จากปี 50 ที่มี 34.10 ล้าน บาทหรือเพิ่มขึ้น 1.82% โดยรายได้รวมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น 20.27 % ส่วนใหญ่เป็นค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ถือเป็นรายได้หลักของบริษัท เพิ่มขึ้น 26.54 ล้านบาทคิดเป็น 20.68 %เมื่อเปรียบเทียบจาก128.30 ล้านบาทในปี 50 เป็น 154.84 ล้านบาทในปี 51 ทั้งนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ตลอดจนส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทฯ รายการดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 6.84 ล้านบาทหรือ 136.25 % ซึ่งแปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าบริษัทฯ ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ รายได้ที่มีการปรับตัวสูงขึ้นได้แก่ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้อื่น
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มีการปรับตัวลดลงได้แก่ค่าธรรมเนียมและบริการ ลดลง1.94 ล้านบาทหรือ 42.52 %และรายการดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง 0.47 ล้านบาทหรือ 3.16 %เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายรวมเพิ่ม 26%
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) กล่าวถึงทิศทางการขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า ยังให้ความสำคัญกับนโยบายกระจายฐานรายได้ทั้งทางด้านวาณิชธนกิจ พอร์ตลงทุน ตลาดตราสารอนุพันธ์ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังพบว่านโยบายดังกล่าว ทำให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตได้ดี ท่ามกลางแรงกดดันของปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมือง
ทั้งนี้ ไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิสูงถึง 55.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25.44 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจากการมุ่งกระจายฐานรายได้ดังกล่าว จึงเชื่อว่านโยบายข้างต้นจะทำให้ผลประกอบการครึ่งปีหลังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในภาวะปกติหรือไม่ ซึ่งปี 50 บริษัท มีรายได้จากนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 80% ซึ่งจะมีความสมดุลมากขึ้นอีกในปีนี้
โดยจะมีรายได้จากงานด้านวาณิชธนกิจ พอร์ตการลงทุน และตราสารอนุพันธ์เสริม ซึ่งเป็นผลจากการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างและวางแผนการดำเนินงานในอนาคต เพื่อให้สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและแข่งขันในธุรกิจได้คล่องตัว จะเห็นได้จากในอดีต BSEC เคยมีสัดส่วนรายได้จากด้านนายหน้าค้าหลักทรัพย์ถึง 90% ของรายได้รวม แต่ระยะต่อมาโครงสร้างรายได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นไม่ว่าสภาวะตลาดหุ้นจะผันผวนหรืออยู่ในภาวะปกติ เชื่อว่า BSEC จะสามารถเติบโตต่อเนื่อง ได้อย่างแข็งแกร่ง" นาย ประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่าปีนี้บริษัทวางเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าเพิ่ม โดยจะเพิ่มจำนวนบัญชีขึ้นอีก 5-10% ของยอดลูกค้าทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5-6 พันบัญชี เพื่อให้ปริมาณการซื้อขายในระยะยาวของบริษัทเติบโตต่อไป ขณะเดียวกันก็จะมุ่งเพิ่มช่องทางทำรายได้เพิ่ม โดยเฉพาะการซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เทรดดิ้ง ซึ่งบริษัทจะเปิดสาขาสำหรับให้บริการซื้อขายแบบอินเตอร์เน็ต (ไซเบอร์ บรานช์) เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีเฉพาะสาขาหลักที่ให้บริการเต็มรูปแบบเท่านั้น
ทั้งนี้ ต้นทุนการเปิดไซเบอร์ บรานช์แต่ละสาขาจะไม่สูงมาก ใช้งบลงทุนประมาณ 1-2 แสนบาท ต่อสาขา โดยจะทยอยเปิดสาขาตั้งแต่ไตรมาส 3/2551 เป็นต้นไป ปัจจุบัน BSEC มีส่วนแบ่งการตลาดด้านอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง อยู่เป็นอันดับต้น ๆ และในปีนี้มั่นใจว่าจะคงอยู่ในช่วงอันดับ TOP 3 ได้ต่อไปเช่นเดียวกับต้นปีที่ผ่านมา
"ปีนี้เรายังมั่นใจว่าจะสามารถทำมาร์เก็ตแชร์ได้ 4% ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจให้กับผู้ลงทุนเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นจะผันผวนสูง จากปัญหาการเมือง และน้ำมันราคาสูงที่เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย แต่จากการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกระจายช่องทางสร้างรายได้ให้หลากหลายมากขึ้น จะทำให้ BSEC สร้างรายได้และผลกำไรให้ขยายตัวต่อเนื่องได้ในทุกไตรมาส เช่นเดียวกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา " นายประสิทธิ์กล่าว
ล่าสุด ผลงานไตรมาส 2 ปีนี้พบว่าบริษัท กำไรขยับเล็กน้อยคือ 34.43 ล้านบาท จากปี 50 ที่มี 34.10 ล้าน บาทหรือเพิ่มขึ้น 1.82% โดยรายได้รวมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น 20.27 % ส่วนใหญ่เป็นค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ถือเป็นรายได้หลักของบริษัท เพิ่มขึ้น 26.54 ล้านบาทคิดเป็น 20.68 %เมื่อเปรียบเทียบจาก128.30 ล้านบาทในปี 50 เป็น 154.84 ล้านบาทในปี 51 ทั้งนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ตลอดจนส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทฯ รายการดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 6.84 ล้านบาทหรือ 136.25 % ซึ่งแปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าบริษัทฯ ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ รายได้ที่มีการปรับตัวสูงขึ้นได้แก่ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้อื่น
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มีการปรับตัวลดลงได้แก่ค่าธรรมเนียมและบริการ ลดลง1.94 ล้านบาทหรือ 42.52 %และรายการดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง 0.47 ล้านบาทหรือ 3.16 %เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายรวมเพิ่ม 26%