ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ทรงเสด็จไปดีแล้ว ทรงมอบพระธรรมวินัยและพระสงฆ์สาวกเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก
อีกไม่ถึงสัปดาห์ก็จะถึงวันอาสาฬหบูชาแล้ว ดังนั้นในวันนี้จะยังคงทำหน้าที่พุทธบริษัทประกาศพระธรรมคำสอนในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นต่อไปตามที่ได้ตั้งใจไว้เดิม
ในวันนี้เห็นสมควรที่จะแสดงในหัวข้อเรื่องการปฏิวัติของพระพุทธเจ้า เพราะการประกาศพระธรรมคำสอนในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ผู้คนกำลังเดินไปในหนทางสุดโต่งทั้งสองทาง
คือหนทางสายตึงหรือที่เรียกว่าอัตตะกิลละมัตถานุโยคอย่างหนึ่ง กับหนทางสายหย่อนหรือที่เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยคอีกอย่างหนึ่ง โดยทรงประกาศปฏิวัติด้วยหนทางสายใหม่ หรือที่เรียกว่าทางสายกลาง ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาบาลีว่ามัชฌิมาปฏิปทา
หลังจากทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ หรือในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีที่ 45 ก่อนพุทธปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จประทับอยู่ ณ โคนไม้ 7 แห่งเพื่อเสวยอภิเนษกรมณ์ หรือเรียกว่าการพักผ่อนของพระอริยเจ้าเพื่อเสวยรสชาติแห่งความสุขจากการตรัสรู้นั้น โดยมิได้ทรงเสวยสิ่งใดๆ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ได้ด้วยอำนาจแห่งปีติสุขอันเป็นผลโดยตรงจากการตรัสรู้
ทรงเสด็จเสวยอภิเนษกรมณ์อยู่ในแต่ละแห่งเป็นเวลาแห่งละ 7 วัน จึงรวมเวลาที่ทรงเสด็จเสวยอภิเนษกรมณ์นี้ 49 วัน ซึ่งสิ้นสุดราวๆ วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ก่อนวันอาสาฬหะราว 11 วัน
ในระหว่างห้วงเวลาดังกล่าวนี้ นอกจากทรงเสวยสุขจากการตรัสรู้แล้ว ยังทรงพิจารณาทบทวนพระธรรมที่ทรงค้นพบนั้น ประกอบกับความเป็นไปของสถานการณ์ของประชาชนในยุคนั้น
เริ่มแรก พระพุทธองค์ทรงหวั่นว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้มีความละเอียดอ่อนประณีตสุขุม เป็นสิ่งเข้าใจและประพฤติปฏิบัติตามได้โดยยาก หากประกาศพระธรรมนั้นอาจจะไม่เป็นผลสำเร็จและเป็นการเสียเวลาเปล่า น่าจะเก็บสิ่งที่ทรงตรัสรู้ไว้เฉพาะพระองค์ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็จะทรงเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คือเป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วมิได้ประกาศพระธรรมแก่เวไนยสัตว์ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายพระองค์
ถัดมา พระพุทธองค์ทรงรำลึกว่าสังคมมนุษย์ในยุคนั้นคลาคล่ำและกลาดเกลื่อนไปด้วยความเห็นผิด โดยเฉพาะความเห็นผิดในสองทาง คือความเห็นทางสุดโต่งสายหนึ่งที่ว่าการล่วงทุกข์ได้ก็แต่โดยการทรมานตนจนถึงที่สุด จนเกิดความเบื่อหน่ายแล้วสละละวางความเห็นแก่ตัวลงจนถึงที่สุด กับทางสุดโต่งอีกสายหนึ่งที่เห็นว่าการล่วงทุกข์ได้ก็ต้องอิ่มล้นในความสุขอันเป็นโลกียะ และเมื่ออิ่มแปล้แล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่ายสละละวางความเห็นแก่ตัวลงจนถึงที่สุดได้เช่นเดียวกัน
สังคมมนุษย์ในยุคนั้นติดยึดเหนียวแน่นและมั่นคงอยู่ในหนทางทั้งสองสายนี้ เป็นความเคยชินจากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่นหนึ่งจนเหนียวแน่นยากที่จะถอนฉุดออกมา จึงอาจเป็นการเสียเวลาเปล่า
แต่ในที่สุดก็ทรงเห็นว่ามนุษย์เรานั้นอาจจำแนกได้เป็น 4 จำพวกเช่นเดียวกับบัว 4 เหล่า ได้แก่บัวที่พ้นน้ำแล้วพอต้องแสงพระอาทิตย์ก็บาน บัวที่ใกล้จะพ้นน้ำพอพ้นน้ำแล้วต้องแสงอาทิตย์ก็บาน บัวใต้น้ำลึกที่ต้องเสียเวลาสักหน่อยจึงจะพ้นน้ำได้ และบัวที่อยู่ติดกับโคลนตมที่มีแต่จะเป็นเหยื่อของเต่าปูปลา
จึงทรงเห็นว่ามนุษย์จำพวกบัวพ้นน้ำหรือใกล้จะพ้นน้ำหรือกลางน้ำ อยู่ในวิสัยที่จะเข้าใจพระธรรมอันทรงตรัสรู้ได้ ทั้งทรงเห็นว่าแม้สังคมคลาคล่ำหนาแน่นไปด้วยความคิดเห็นที่ผิดในสองทางสุดโต่ง แต่มนุษย์นั้นเป็นเวไนยสัตว์ มีวิสัยที่จะพัฒนาความคิดความเห็นที่ผิดไปสู่ความเห็นที่ถูกได้
ประกอบทั้งทรงมีน้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ พระกรุณาธิคุณ พระวิสุทธิคุณแก่สัตว์ทั้งหลาย จึงทรงตัดสินพระทัยว่าความตรัสรู้ของพระองค์จะเสียเปล่าหากทรงเก็บไว้แต่พระองค์เอง การประกาศพระธรรมจะทำให้มวลมนุษย์ได้รับประโยชน์และความสุขตามควรแก่ฐานะของเวไนยสัตว์นั้นๆ
ดังนั้นจึงทรงตัดสินพระทัยประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นแก่เวไนยสัตว์ เมื่อตัดสินพระทัยแน่วแน่เช่นนั้นแล้ว ก็ทรงเสด็จออกจากอภิเนษกรมณ์
นี่คือการตัดสินพระทัยครั้งยิ่งใหญ่ของพระมหาสัตว์ผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นการตัดสินพระทัยเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก เป็นการตัดสินพระทัยด้วยความเสียสละอย่างถึงที่สุดที่ไม่มีมนุษย์ใดเสมอเหมือน และเป็นการตัดสินพระทัยด้วยความกล้าหาญและอดทน ไม่ระย่อท้อถอยต่อความยากลำบากใดๆ แม้กระทั่งความตาย
นี่คือการตัดสินพระทัยปฏิวัติสังคมครั้งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ซึ่งอาจเรียกเป็นภาษาปัจจุบันได้ว่าเป็นการตัดสินพระทัยนำการเมืองใหม่เข้าแทนที่การเมืองเก่า และต้องชำระสะสางการเมืองเก่าให้สิ้นซาก เหมือนกับการรื้อฐานรากสิ่งก่อสร้างเก่าที่เน่าเฟะผุพัง แล้วสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่อันงดงามตระการตาฉะนั้น
เมื่อเป็นดังนั้นแล้วก็ทรงดำริว่าแนวทางในการประกาศพระธรรมและสถาปนาพระพุทธศาสนาให้หยั่งรากลึกลงในชมพูทวีปนั้นจะพึงอาศัยแนวทางใด
ในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยบุกเมืองหลวงของแคว้นมหาอำนาจ เพื่อประกาศและประดิษฐานพระธรรมอันประเสริฐไว้ที่เมืองหลวงเมืองใหญ่อันเป็นศูนย์กลางของการปกครองแผ่นดิน ซึ่งจะส่งผลสะเทือนและทำให้การประกาศพระธรรมนั้นขยายตัวไปอย่างกว้างขวางทั่วชมพูทวีป
ดังนั้นจึงทรงตัดสินพระทัยที่จะเสด็จพุทธดำเนินไปยังแคว้นมคธ ซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดและเรืองอำนาจมากที่สุดในยุคนั้น เรียกได้ว่าเป็นแคว้นที่เป็นมหาอำนาจในยุคสมัยนั้น หากประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ในแคว้นมหาอำนาจเป็นผลสำเร็จ ก็จะทำให้พระธรรมที่ทรงตรัสรู้แผ่ขยายเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ชนหมู่มากในโลกอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแต่ทรงตั้งความประสงค์ที่จะยึดเอาเมืองใหญ่ของแคว้นใหญ่ที่เป็นมหาอำนาจเป็นที่ประดิษฐานเพียงจุดเดียวเท่านั้น ทรงเล็งเห็นว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ ประชาชนมีหลากหลายในทุกหัวระแหง โดยเฉพาะนิคมคามชนบท หากจะประดิษฐานพระธรรมไว้เฉพาะที่แคว้นใหญ่ มวลมนุษย์ในนิคมคามชนบทก็ไม่อาจได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ทรงตรัสรู้
ดังนั้นจึงทรงตัดสินพระทัยใช้แนวทางชนบทล้อมเมือง ทรงเตรียมความคิดที่จะส่งพุทธสาวกออกไปประกาศพระธรรมทั่วทุกนิคมคามชนบทอีกแนวทางหนึ่งด้วย
ดังนั้นแนวทางการประกาศพระธรรมของพระตถาคตเจ้าจึงอาจสรุปได้ว่าเป็นแนวทางยึดเมืองหลวง ประสานกับแนวทางชนบทล้อมเมือง
ดูไปแล้วการขับเคลื่อนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ตั้งธงการเมืองโค่นระบอบทักษิณ ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ และสถาปนาการเมืองใหม่ขึ้นในราชอาณาจักรไทย โดยวางศูนย์กลางไว้ที่กรุงเทพมหานคร และก่อการเคลื่อนไหวขึ้นในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ช่างสอดคล้องกับแนวทางประดิษฐานพระพุทธศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ผิดเพี้ยนเลย
ถัดจากนั้นก็ทรงมีพุทธดำริว่าลำพังพระองค์เดียวหากจะทรงจาริกไปเพื่อประกาศพระธรรมก็จะขาดพลัง และทำให้การประดิษฐานพระพุทธศาสนาล่าช้า
จึงทรงกำหนดแนวทางในการสร้างกองทัพธรรมขึ้นกองทัพหนึ่ง และเช่นเดียวกันกับแนวคิดในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ที่แคว้นไหน จึงทรงกำหนดที่จะแสวงหาพระสาวกเพื่อเป็นกำลังในการประกาศพระธรรม ซึ่งทรงตัดสินพระทัยที่จะเริ่มต้นจากนักบวชซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของมหาชนก่อน
เพราะเมื่อใดที่นักบวชซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของมหาชนเลื่อมใสในพระธรรมที่ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ย่อมง่ายต่อการชักนำให้บริษัทบริวารทั้งหลายของนักบวชนั้นเลื่อมใสและประพฤติปฏิบัติตามได้
ทรงรำลึกถึงพระอาจารย์ทั้งสองคืออาฬารดาบสและอุทกดาบสก่อน เพราะเป็นนักบวชที่มีผู้คนนับถือมาก แต่ทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐว่าพระอาจารย์ทั้งสองได้ละสังขารแล้ว จึงทรงรำลึกถึงปัญจวัคคีย์ นักบวชสายตึงซึ่งเคยถวายการปรนนิบัติรับใช้พระองค์มาก่อน แล้วทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐว่าเวลาบัดนี้ปัญจวัคคีย์มีสำนักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตแขวงเมืองพาราณสี
จึงทรงเสด็จพุทธดำเนินออกจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ตรงไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ณ เวลานั้น
ทรงเสด็จพุทธดำเนินออกจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคมประมาณวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 และเสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสีในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 รวมระยะเวลาที่เสด็จพุทธดำเนินด้วยระยะทางอันไกลแสนไกลเป็นเวลา 10 วัน
ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งหลายไม่ปรากฏว่าทรงเสด็จโดยสารรถไฟ รถยนต์ เรือเมล์ เรือยนต์ หรือม้า หรือเกวียน หรือด้วยสัตว์ยานพาหนะใดๆ เลย อันแสดงความหมายว่าทรงเสด็จพุทธดำเนินด้วยพระบาทโดยแท้ โดยระยะทางอันไกลแสน เป็นเวลาต่อเนื่องถึง 10 วัน
ขออย่าได้สงสัยเกี่ยวกับการเสด็จพุทธดำเนินในระยะทางไกลแสนด้วยเวลาเพียง 10 วันเลย เพราะว่าพระตถาคตเจ้านั้นนอกจากทรงมีความเพียรอันล่วงพ้นวิสัยมนุษย์แล้ว ยังทรงมีพระอิทธิและฤทธิ์ที่จะย่นย่อระยะทางได้
อันการย่นย่อระยะทางด้วยอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์นั้น อย่าว่าแต่ผู้บรรลุภูมิธรรมขั้นสูงสุดเลย แม้พระสาวกธรรมดาหรือชาวบ้านธรรมดาบางคนที่ได้ฝึกฝนปฏิบัติทางจิตถึงขั้นหนึ่งแล้วก็กระทำได้และมีอยู่ถมไป แม้กระทั่งถึงในทุกวันนี้
การปฏิวัติของพระพุทธเจ้ากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว! และนี่คือการประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก มิใช่ประโยชน์และความสุขของตนเอง
การปฏิวัติที่แท้จริงจึงต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
การปฏิวัติที่แท้จริงจึงต้องเป็นไปเพื่อโค่นล้มทำลายความผุพังเน่าเฟะอันเป็นต้นเหตุของสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัยทั้งหลาย แล้วสถาปนาสิ่งใหม่ที่ดีงามล้ำเลิศขึ้นในโลก
การปฏิวัติที่แท้จริงจึงต้องมีอุดมการณ์คือพระธรรมอันประเสริฐ ต้องมีการกำหนดภูมิประเทศที่เหมาะสมในการประดิษฐานสิ่งใหม่นั้น ต้องมีการประสานทั้งเมืองหลวงและชนบทอันไพศาล ต้องมีกองทัพแห่งธรรมที่จะต่อสู้และประกาศธรรมอย่างเด็ดเดี่ยวถึงที่สุด
ธรรมนั้นย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเสมอ!
อีกไม่ถึงสัปดาห์ก็จะถึงวันอาสาฬหบูชาแล้ว ดังนั้นในวันนี้จะยังคงทำหน้าที่พุทธบริษัทประกาศพระธรรมคำสอนในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นต่อไปตามที่ได้ตั้งใจไว้เดิม
ในวันนี้เห็นสมควรที่จะแสดงในหัวข้อเรื่องการปฏิวัติของพระพุทธเจ้า เพราะการประกาศพระธรรมคำสอนในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ผู้คนกำลังเดินไปในหนทางสุดโต่งทั้งสองทาง
คือหนทางสายตึงหรือที่เรียกว่าอัตตะกิลละมัตถานุโยคอย่างหนึ่ง กับหนทางสายหย่อนหรือที่เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยคอีกอย่างหนึ่ง โดยทรงประกาศปฏิวัติด้วยหนทางสายใหม่ หรือที่เรียกว่าทางสายกลาง ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาบาลีว่ามัชฌิมาปฏิปทา
หลังจากทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ หรือในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีที่ 45 ก่อนพุทธปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จประทับอยู่ ณ โคนไม้ 7 แห่งเพื่อเสวยอภิเนษกรมณ์ หรือเรียกว่าการพักผ่อนของพระอริยเจ้าเพื่อเสวยรสชาติแห่งความสุขจากการตรัสรู้นั้น โดยมิได้ทรงเสวยสิ่งใดๆ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ได้ด้วยอำนาจแห่งปีติสุขอันเป็นผลโดยตรงจากการตรัสรู้
ทรงเสด็จเสวยอภิเนษกรมณ์อยู่ในแต่ละแห่งเป็นเวลาแห่งละ 7 วัน จึงรวมเวลาที่ทรงเสด็จเสวยอภิเนษกรมณ์นี้ 49 วัน ซึ่งสิ้นสุดราวๆ วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ก่อนวันอาสาฬหะราว 11 วัน
ในระหว่างห้วงเวลาดังกล่าวนี้ นอกจากทรงเสวยสุขจากการตรัสรู้แล้ว ยังทรงพิจารณาทบทวนพระธรรมที่ทรงค้นพบนั้น ประกอบกับความเป็นไปของสถานการณ์ของประชาชนในยุคนั้น
เริ่มแรก พระพุทธองค์ทรงหวั่นว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้มีความละเอียดอ่อนประณีตสุขุม เป็นสิ่งเข้าใจและประพฤติปฏิบัติตามได้โดยยาก หากประกาศพระธรรมนั้นอาจจะไม่เป็นผลสำเร็จและเป็นการเสียเวลาเปล่า น่าจะเก็บสิ่งที่ทรงตรัสรู้ไว้เฉพาะพระองค์ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็จะทรงเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คือเป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วมิได้ประกาศพระธรรมแก่เวไนยสัตว์ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายพระองค์
ถัดมา พระพุทธองค์ทรงรำลึกว่าสังคมมนุษย์ในยุคนั้นคลาคล่ำและกลาดเกลื่อนไปด้วยความเห็นผิด โดยเฉพาะความเห็นผิดในสองทาง คือความเห็นทางสุดโต่งสายหนึ่งที่ว่าการล่วงทุกข์ได้ก็แต่โดยการทรมานตนจนถึงที่สุด จนเกิดความเบื่อหน่ายแล้วสละละวางความเห็นแก่ตัวลงจนถึงที่สุด กับทางสุดโต่งอีกสายหนึ่งที่เห็นว่าการล่วงทุกข์ได้ก็ต้องอิ่มล้นในความสุขอันเป็นโลกียะ และเมื่ออิ่มแปล้แล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่ายสละละวางความเห็นแก่ตัวลงจนถึงที่สุดได้เช่นเดียวกัน
สังคมมนุษย์ในยุคนั้นติดยึดเหนียวแน่นและมั่นคงอยู่ในหนทางทั้งสองสายนี้ เป็นความเคยชินจากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่นหนึ่งจนเหนียวแน่นยากที่จะถอนฉุดออกมา จึงอาจเป็นการเสียเวลาเปล่า
แต่ในที่สุดก็ทรงเห็นว่ามนุษย์เรานั้นอาจจำแนกได้เป็น 4 จำพวกเช่นเดียวกับบัว 4 เหล่า ได้แก่บัวที่พ้นน้ำแล้วพอต้องแสงพระอาทิตย์ก็บาน บัวที่ใกล้จะพ้นน้ำพอพ้นน้ำแล้วต้องแสงอาทิตย์ก็บาน บัวใต้น้ำลึกที่ต้องเสียเวลาสักหน่อยจึงจะพ้นน้ำได้ และบัวที่อยู่ติดกับโคลนตมที่มีแต่จะเป็นเหยื่อของเต่าปูปลา
จึงทรงเห็นว่ามนุษย์จำพวกบัวพ้นน้ำหรือใกล้จะพ้นน้ำหรือกลางน้ำ อยู่ในวิสัยที่จะเข้าใจพระธรรมอันทรงตรัสรู้ได้ ทั้งทรงเห็นว่าแม้สังคมคลาคล่ำหนาแน่นไปด้วยความคิดเห็นที่ผิดในสองทางสุดโต่ง แต่มนุษย์นั้นเป็นเวไนยสัตว์ มีวิสัยที่จะพัฒนาความคิดความเห็นที่ผิดไปสู่ความเห็นที่ถูกได้
ประกอบทั้งทรงมีน้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ พระกรุณาธิคุณ พระวิสุทธิคุณแก่สัตว์ทั้งหลาย จึงทรงตัดสินพระทัยว่าความตรัสรู้ของพระองค์จะเสียเปล่าหากทรงเก็บไว้แต่พระองค์เอง การประกาศพระธรรมจะทำให้มวลมนุษย์ได้รับประโยชน์และความสุขตามควรแก่ฐานะของเวไนยสัตว์นั้นๆ
ดังนั้นจึงทรงตัดสินพระทัยประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นแก่เวไนยสัตว์ เมื่อตัดสินพระทัยแน่วแน่เช่นนั้นแล้ว ก็ทรงเสด็จออกจากอภิเนษกรมณ์
นี่คือการตัดสินพระทัยครั้งยิ่งใหญ่ของพระมหาสัตว์ผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นการตัดสินพระทัยเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก เป็นการตัดสินพระทัยด้วยความเสียสละอย่างถึงที่สุดที่ไม่มีมนุษย์ใดเสมอเหมือน และเป็นการตัดสินพระทัยด้วยความกล้าหาญและอดทน ไม่ระย่อท้อถอยต่อความยากลำบากใดๆ แม้กระทั่งความตาย
นี่คือการตัดสินพระทัยปฏิวัติสังคมครั้งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ซึ่งอาจเรียกเป็นภาษาปัจจุบันได้ว่าเป็นการตัดสินพระทัยนำการเมืองใหม่เข้าแทนที่การเมืองเก่า และต้องชำระสะสางการเมืองเก่าให้สิ้นซาก เหมือนกับการรื้อฐานรากสิ่งก่อสร้างเก่าที่เน่าเฟะผุพัง แล้วสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่อันงดงามตระการตาฉะนั้น
เมื่อเป็นดังนั้นแล้วก็ทรงดำริว่าแนวทางในการประกาศพระธรรมและสถาปนาพระพุทธศาสนาให้หยั่งรากลึกลงในชมพูทวีปนั้นจะพึงอาศัยแนวทางใด
ในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยบุกเมืองหลวงของแคว้นมหาอำนาจ เพื่อประกาศและประดิษฐานพระธรรมอันประเสริฐไว้ที่เมืองหลวงเมืองใหญ่อันเป็นศูนย์กลางของการปกครองแผ่นดิน ซึ่งจะส่งผลสะเทือนและทำให้การประกาศพระธรรมนั้นขยายตัวไปอย่างกว้างขวางทั่วชมพูทวีป
ดังนั้นจึงทรงตัดสินพระทัยที่จะเสด็จพุทธดำเนินไปยังแคว้นมคธ ซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดและเรืองอำนาจมากที่สุดในยุคนั้น เรียกได้ว่าเป็นแคว้นที่เป็นมหาอำนาจในยุคสมัยนั้น หากประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ในแคว้นมหาอำนาจเป็นผลสำเร็จ ก็จะทำให้พระธรรมที่ทรงตรัสรู้แผ่ขยายเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ชนหมู่มากในโลกอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแต่ทรงตั้งความประสงค์ที่จะยึดเอาเมืองใหญ่ของแคว้นใหญ่ที่เป็นมหาอำนาจเป็นที่ประดิษฐานเพียงจุดเดียวเท่านั้น ทรงเล็งเห็นว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ ประชาชนมีหลากหลายในทุกหัวระแหง โดยเฉพาะนิคมคามชนบท หากจะประดิษฐานพระธรรมไว้เฉพาะที่แคว้นใหญ่ มวลมนุษย์ในนิคมคามชนบทก็ไม่อาจได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ทรงตรัสรู้
ดังนั้นจึงทรงตัดสินพระทัยใช้แนวทางชนบทล้อมเมือง ทรงเตรียมความคิดที่จะส่งพุทธสาวกออกไปประกาศพระธรรมทั่วทุกนิคมคามชนบทอีกแนวทางหนึ่งด้วย
ดังนั้นแนวทางการประกาศพระธรรมของพระตถาคตเจ้าจึงอาจสรุปได้ว่าเป็นแนวทางยึดเมืองหลวง ประสานกับแนวทางชนบทล้อมเมือง
ดูไปแล้วการขับเคลื่อนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ตั้งธงการเมืองโค่นระบอบทักษิณ ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ และสถาปนาการเมืองใหม่ขึ้นในราชอาณาจักรไทย โดยวางศูนย์กลางไว้ที่กรุงเทพมหานคร และก่อการเคลื่อนไหวขึ้นในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ช่างสอดคล้องกับแนวทางประดิษฐานพระพุทธศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ผิดเพี้ยนเลย
ถัดจากนั้นก็ทรงมีพุทธดำริว่าลำพังพระองค์เดียวหากจะทรงจาริกไปเพื่อประกาศพระธรรมก็จะขาดพลัง และทำให้การประดิษฐานพระพุทธศาสนาล่าช้า
จึงทรงกำหนดแนวทางในการสร้างกองทัพธรรมขึ้นกองทัพหนึ่ง และเช่นเดียวกันกับแนวคิดในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ที่แคว้นไหน จึงทรงกำหนดที่จะแสวงหาพระสาวกเพื่อเป็นกำลังในการประกาศพระธรรม ซึ่งทรงตัดสินพระทัยที่จะเริ่มต้นจากนักบวชซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของมหาชนก่อน
เพราะเมื่อใดที่นักบวชซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของมหาชนเลื่อมใสในพระธรรมที่ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ย่อมง่ายต่อการชักนำให้บริษัทบริวารทั้งหลายของนักบวชนั้นเลื่อมใสและประพฤติปฏิบัติตามได้
ทรงรำลึกถึงพระอาจารย์ทั้งสองคืออาฬารดาบสและอุทกดาบสก่อน เพราะเป็นนักบวชที่มีผู้คนนับถือมาก แต่ทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐว่าพระอาจารย์ทั้งสองได้ละสังขารแล้ว จึงทรงรำลึกถึงปัญจวัคคีย์ นักบวชสายตึงซึ่งเคยถวายการปรนนิบัติรับใช้พระองค์มาก่อน แล้วทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐว่าเวลาบัดนี้ปัญจวัคคีย์มีสำนักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตแขวงเมืองพาราณสี
จึงทรงเสด็จพุทธดำเนินออกจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ตรงไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ณ เวลานั้น
ทรงเสด็จพุทธดำเนินออกจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคมประมาณวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 และเสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสีในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 รวมระยะเวลาที่เสด็จพุทธดำเนินด้วยระยะทางอันไกลแสนไกลเป็นเวลา 10 วัน
ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งหลายไม่ปรากฏว่าทรงเสด็จโดยสารรถไฟ รถยนต์ เรือเมล์ เรือยนต์ หรือม้า หรือเกวียน หรือด้วยสัตว์ยานพาหนะใดๆ เลย อันแสดงความหมายว่าทรงเสด็จพุทธดำเนินด้วยพระบาทโดยแท้ โดยระยะทางอันไกลแสน เป็นเวลาต่อเนื่องถึง 10 วัน
ขออย่าได้สงสัยเกี่ยวกับการเสด็จพุทธดำเนินในระยะทางไกลแสนด้วยเวลาเพียง 10 วันเลย เพราะว่าพระตถาคตเจ้านั้นนอกจากทรงมีความเพียรอันล่วงพ้นวิสัยมนุษย์แล้ว ยังทรงมีพระอิทธิและฤทธิ์ที่จะย่นย่อระยะทางได้
อันการย่นย่อระยะทางด้วยอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์นั้น อย่าว่าแต่ผู้บรรลุภูมิธรรมขั้นสูงสุดเลย แม้พระสาวกธรรมดาหรือชาวบ้านธรรมดาบางคนที่ได้ฝึกฝนปฏิบัติทางจิตถึงขั้นหนึ่งแล้วก็กระทำได้และมีอยู่ถมไป แม้กระทั่งถึงในทุกวันนี้
การปฏิวัติของพระพุทธเจ้ากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว! และนี่คือการประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก มิใช่ประโยชน์และความสุขของตนเอง
การปฏิวัติที่แท้จริงจึงต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
การปฏิวัติที่แท้จริงจึงต้องเป็นไปเพื่อโค่นล้มทำลายความผุพังเน่าเฟะอันเป็นต้นเหตุของสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัยทั้งหลาย แล้วสถาปนาสิ่งใหม่ที่ดีงามล้ำเลิศขึ้นในโลก
การปฏิวัติที่แท้จริงจึงต้องมีอุดมการณ์คือพระธรรมอันประเสริฐ ต้องมีการกำหนดภูมิประเทศที่เหมาะสมในการประดิษฐานสิ่งใหม่นั้น ต้องมีการประสานทั้งเมืองหลวงและชนบทอันไพศาล ต้องมีกองทัพแห่งธรรมที่จะต่อสู้และประกาศธรรมอย่างเด็ดเดี่ยวถึงที่สุด
ธรรมนั้นย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเสมอ!