เอเอฟพี - เมื่อถึงวันนั้น คนส่วนใหญ่จะฝากสังขารไว้ใต้ผืนดิน หรือเผาไหม้เหลือเพียงอัฐิ บางคนเลือกแช่แข็งร่างกายหรืออาบน้ำยาเป็นมัมมี่
แต่บางคนที่โชคดีหน่อยอาจกลายเป็นอมตะในรูปเพชร ด้วยเทคโนโลยีการแปลงสภาพทางเคมีอันมหัศจรรย์
อัลกอร์แดนซาในโกรเบนเดน ทางตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้บริการเปลี่ยนอัฐิเป็นหินล้ำค่า
ทุกเดือน จะมีลูกค้าขอใช้บริการจากอัลกอร์แดนซาราว 40-50 ราย บางคนมาไกลจากญี่ปุ่น
หนึ่งในลูกค้าเหล่านี้คือ ลิลลี เฮสส์-ซอลล์เบอร์เกอร์ ที่เห็นบทความเกี่ยวกับบริการนี้ และขอให้มิเชล กัลมารินี-เฮสส์ ลูกสาว สัญญาว่าจะติดต่อไปยังอัลบอร์แดนซาเมื่อเธอจากไป
เฮสส์-ซอลล์เบอร์เกอร์เสียชีวิตเมื่อสามปีที่แล้ว ในวัย 82 ปี แต่ตอนนี้อัฐิของเธอกลายเป็นเพชรสีฟ้าห้อยอยู่ที่คอลูกสาว
“ฉันสวมสร้อยเพชรเส้นนี้ทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ตอนเข้านอน สำหรับฉัน แม่ไม่ได้ไปไหน และนั่นทำให้ฉันรู้สึกดี” กัลมารินี-เฮสส์ บอก
เธอยังเล่าว่า บางคนกลัว แต่บางคนก็คิดว่าความคิดนี้เข้าท่า มีบางคนถึงขั้นขอจูบเพชรจากอัฐิแม่ของเธอ
ไรนัลโด วิลลี วัย 28 ปี หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งอัลกอร์แดนซา บอกว่าลูกค้าของบริษัทมีตั้งแต่คนขับรถประจำทางไปจนถึงศาสตราจารย์สาขาปรัชญา
ในห้องวิจัยของบริษัท มีเครื่องยนต์ 15 เครื่องที่ทำงานตลอดเวลาไม่มีหยุด เคียงข้างกับพนักงานที่สวมแว่นตานิรภัยพลาสติก และทำงานหลังเส้นสีเหลือง-ดำที่เป็นเขตต้องห้ามสำหรับบุคคลภายนอก ทั้งนี้ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ล่วงลับ
วิลลีอธิบายว่า อัฐิ 500 กรัมเพียงพอต่อนำมาแปรสภาพเป็นเพชร จากเถ้าธุลีของมนุษย์แต่ละคนที่มีน้ำหนักทั้งหมดเฉลี่ย 2.5-3 กิโลกรัม
ขั้นตอนแรกคือ การแยกโปแตสเซียมและแคลเซียม ที่เป็นส่วนประกอบถึง 85% ของอัฐิ ออกจากคาร์บอน จากนั้นจึงนำคาร์บอนไปผ่านความดันและความร้อนสูง 1,700 องศาเซลเซียสเพื่อบีบอัดเป็นกราไฟต์ หรืออัญรูปของคาร์บอนที่มีรูปแบบโครงสร้างต่างจากคาร์บอน ก่อนจะเพิ่มความดันและความร้อนเข้าไปให้กราไฟต์กลายสภาพเป็นเพชร อัญรูปที่แข็งที่สุดของคาร์บอน
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลา 6-8 สัปดาห์ น้อยมากหากเทียบกับเวลาในการก่อตัวของเพชรตามธรรมชาติที่นานนับพันปี
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ เพชรดิบยังต้องผ่านการขัดและเจียระไน บ้างตัดเป็นรูปหัวใจที่สามารถนำไปสวมใส่เป็นจี้หรือประดับหัวแหวน
“เพชรแต่ละเม็ดมีความพิเศษในตัวเอง สีสันจะแตกต่างกันไปตั้งแต่ฟ้าเข้มจนเกือบขาว สะท้อนถึงตัวตนของเจ้าของอัฐิ” วิลลีบอก
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์ว่าเพชรแต่ละเม็ดมาจากอัฐิของใคร เนื่องจากดีเอ็นไอถูกเผาไหม้หมดสิ้นในกระบวนการ
กระนั้น ‘รอยประทับทางเคมี’ ของอัฐิที่ถูกระบุเมื่ออัฐิส่งถึงห้องแล็บ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการจัดทำเอกสารข้อมูล และสำหรับการระบุตัวเพชรเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ
กระบวนการทั้งหมดนี้มีค่าใช้จ่ายระหว่าง 2,800-10,600 ยูโร (4,400-16,700 ดอลลาร์) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของเพชร (0.25-1 กะรัต)
อัลกอร์แดนซา ซึ่งแปลว่า ‘ความทรงจำ’ ในภาษาโรมานช์ หนึ่งในภาษาทางการของสวิตเซอร์แลนด์ ยืนยันว่านี่เป็นราคาที่สมเหตุสมผล อาทิ เมื่อเทียบกับค่าเผาศพในเยอรมนีที่สูงถึง 12,000 ยูโร
แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วย ยานนิก เอเบ-คอนดอซ ผู้จัดการศพที่ทำงานให้กับบริษัทรับจัดพิธีศพแห่งหนึ่งในเจนีวา บอกว่าไม่เคยได้รับการร้องขอให้แปลงสภาพอัฐิเป็น ‘อัญมณีชีวิต’ และไม่มีแผนให้บริการนี้แต่อย่างใด
“เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับจรรยาบรรณการทำศพและการทำพิธีไว้อาลัยของเรา นอกจากนั้น การนำอัฐิของบุคคลอันเป็นที่รักมาสวมใส่เป็นแหวนติดตัวตลอดเวลา ยังทำให้คุณไม่สามารถตัดขาดจากคนๆ นั้นได้ จึงยากในการทำใจให้หลุดพ้นจากความเศร้า”
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรม ‘เพชรมนุษย์’ กำลังบูมในขณะนี้ โดยมีบริษัทในลักษณะเดียวกับอัลกอร์แดนซาเปิดตัวในรัสเซีย สเปน ยูเครน และสหรัฐฯ
ในส่วนอัลกอร์แดนซาที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้วนั้น ปัจจุบันขยายสาขาเข้าสู่ 20 ประเทศ ซึ่ง 6 ประเทศในจำนวนนี้อยู่นอกยุโรป และว่าจ้างพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 100 คน
วิลลีเสริมว่า บริการนี้ได้รับความนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น ที่มีลูกค้าส่งอัฐิมาให้วันละ 2-4 ราย นอกจากนั้น บริษัทยังเล็งเข้าไปทำตลาดในแคนาดาและอินเดีย
สำหรับวิลลี โลกที่ไม่หยุดนิ่งกระตุ้นดีมาน์สำหรับบริการนี้ เนื่องจากคนมากมายอยู่ไกลจากบ้าน ดังนั้น การแวะเวียนไปเยี่ยมสุสานจึงเป็นเรื่องยาก และแม้การเผาศพได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่การจัดส่งอัฐิข้ามประเทศก็ต้องมีการขออนุญาตเป็นพิเศษจากทางการ
แม้ว่าดีมานด์ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวหลังจากบุคคลอันเป็นที่รักจากไป แต่วิลลีบอกว่า ขณะนี้ คนจำนวนมากขึ้นเริ่มขอใช้บริการสำหรับตัวเองในอนาคต โดยลูกค้าเหล่านี้สามารถจ่ายเงินล่วงหน้า เพื่อรับกรมธรรพ์ประกันว่า ความปรารถนาจะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอนในการแปรสภาพตัวตนสุดท้ายกลายเป็นเพชรอมตะนิรันดร์กาล
แต่บางคนที่โชคดีหน่อยอาจกลายเป็นอมตะในรูปเพชร ด้วยเทคโนโลยีการแปลงสภาพทางเคมีอันมหัศจรรย์
อัลกอร์แดนซาในโกรเบนเดน ทางตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้บริการเปลี่ยนอัฐิเป็นหินล้ำค่า
ทุกเดือน จะมีลูกค้าขอใช้บริการจากอัลกอร์แดนซาราว 40-50 ราย บางคนมาไกลจากญี่ปุ่น
หนึ่งในลูกค้าเหล่านี้คือ ลิลลี เฮสส์-ซอลล์เบอร์เกอร์ ที่เห็นบทความเกี่ยวกับบริการนี้ และขอให้มิเชล กัลมารินี-เฮสส์ ลูกสาว สัญญาว่าจะติดต่อไปยังอัลบอร์แดนซาเมื่อเธอจากไป
เฮสส์-ซอลล์เบอร์เกอร์เสียชีวิตเมื่อสามปีที่แล้ว ในวัย 82 ปี แต่ตอนนี้อัฐิของเธอกลายเป็นเพชรสีฟ้าห้อยอยู่ที่คอลูกสาว
“ฉันสวมสร้อยเพชรเส้นนี้ทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ตอนเข้านอน สำหรับฉัน แม่ไม่ได้ไปไหน และนั่นทำให้ฉันรู้สึกดี” กัลมารินี-เฮสส์ บอก
เธอยังเล่าว่า บางคนกลัว แต่บางคนก็คิดว่าความคิดนี้เข้าท่า มีบางคนถึงขั้นขอจูบเพชรจากอัฐิแม่ของเธอ
ไรนัลโด วิลลี วัย 28 ปี หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งอัลกอร์แดนซา บอกว่าลูกค้าของบริษัทมีตั้งแต่คนขับรถประจำทางไปจนถึงศาสตราจารย์สาขาปรัชญา
ในห้องวิจัยของบริษัท มีเครื่องยนต์ 15 เครื่องที่ทำงานตลอดเวลาไม่มีหยุด เคียงข้างกับพนักงานที่สวมแว่นตานิรภัยพลาสติก และทำงานหลังเส้นสีเหลือง-ดำที่เป็นเขตต้องห้ามสำหรับบุคคลภายนอก ทั้งนี้ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ล่วงลับ
วิลลีอธิบายว่า อัฐิ 500 กรัมเพียงพอต่อนำมาแปรสภาพเป็นเพชร จากเถ้าธุลีของมนุษย์แต่ละคนที่มีน้ำหนักทั้งหมดเฉลี่ย 2.5-3 กิโลกรัม
ขั้นตอนแรกคือ การแยกโปแตสเซียมและแคลเซียม ที่เป็นส่วนประกอบถึง 85% ของอัฐิ ออกจากคาร์บอน จากนั้นจึงนำคาร์บอนไปผ่านความดันและความร้อนสูง 1,700 องศาเซลเซียสเพื่อบีบอัดเป็นกราไฟต์ หรืออัญรูปของคาร์บอนที่มีรูปแบบโครงสร้างต่างจากคาร์บอน ก่อนจะเพิ่มความดันและความร้อนเข้าไปให้กราไฟต์กลายสภาพเป็นเพชร อัญรูปที่แข็งที่สุดของคาร์บอน
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลา 6-8 สัปดาห์ น้อยมากหากเทียบกับเวลาในการก่อตัวของเพชรตามธรรมชาติที่นานนับพันปี
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ เพชรดิบยังต้องผ่านการขัดและเจียระไน บ้างตัดเป็นรูปหัวใจที่สามารถนำไปสวมใส่เป็นจี้หรือประดับหัวแหวน
“เพชรแต่ละเม็ดมีความพิเศษในตัวเอง สีสันจะแตกต่างกันไปตั้งแต่ฟ้าเข้มจนเกือบขาว สะท้อนถึงตัวตนของเจ้าของอัฐิ” วิลลีบอก
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์ว่าเพชรแต่ละเม็ดมาจากอัฐิของใคร เนื่องจากดีเอ็นไอถูกเผาไหม้หมดสิ้นในกระบวนการ
กระนั้น ‘รอยประทับทางเคมี’ ของอัฐิที่ถูกระบุเมื่ออัฐิส่งถึงห้องแล็บ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการจัดทำเอกสารข้อมูล และสำหรับการระบุตัวเพชรเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ
กระบวนการทั้งหมดนี้มีค่าใช้จ่ายระหว่าง 2,800-10,600 ยูโร (4,400-16,700 ดอลลาร์) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของเพชร (0.25-1 กะรัต)
อัลกอร์แดนซา ซึ่งแปลว่า ‘ความทรงจำ’ ในภาษาโรมานช์ หนึ่งในภาษาทางการของสวิตเซอร์แลนด์ ยืนยันว่านี่เป็นราคาที่สมเหตุสมผล อาทิ เมื่อเทียบกับค่าเผาศพในเยอรมนีที่สูงถึง 12,000 ยูโร
แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วย ยานนิก เอเบ-คอนดอซ ผู้จัดการศพที่ทำงานให้กับบริษัทรับจัดพิธีศพแห่งหนึ่งในเจนีวา บอกว่าไม่เคยได้รับการร้องขอให้แปลงสภาพอัฐิเป็น ‘อัญมณีชีวิต’ และไม่มีแผนให้บริการนี้แต่อย่างใด
“เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับจรรยาบรรณการทำศพและการทำพิธีไว้อาลัยของเรา นอกจากนั้น การนำอัฐิของบุคคลอันเป็นที่รักมาสวมใส่เป็นแหวนติดตัวตลอดเวลา ยังทำให้คุณไม่สามารถตัดขาดจากคนๆ นั้นได้ จึงยากในการทำใจให้หลุดพ้นจากความเศร้า”
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรม ‘เพชรมนุษย์’ กำลังบูมในขณะนี้ โดยมีบริษัทในลักษณะเดียวกับอัลกอร์แดนซาเปิดตัวในรัสเซีย สเปน ยูเครน และสหรัฐฯ
ในส่วนอัลกอร์แดนซาที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้วนั้น ปัจจุบันขยายสาขาเข้าสู่ 20 ประเทศ ซึ่ง 6 ประเทศในจำนวนนี้อยู่นอกยุโรป และว่าจ้างพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 100 คน
วิลลีเสริมว่า บริการนี้ได้รับความนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น ที่มีลูกค้าส่งอัฐิมาให้วันละ 2-4 ราย นอกจากนั้น บริษัทยังเล็งเข้าไปทำตลาดในแคนาดาและอินเดีย
สำหรับวิลลี โลกที่ไม่หยุดนิ่งกระตุ้นดีมาน์สำหรับบริการนี้ เนื่องจากคนมากมายอยู่ไกลจากบ้าน ดังนั้น การแวะเวียนไปเยี่ยมสุสานจึงเป็นเรื่องยาก และแม้การเผาศพได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่การจัดส่งอัฐิข้ามประเทศก็ต้องมีการขออนุญาตเป็นพิเศษจากทางการ
แม้ว่าดีมานด์ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวหลังจากบุคคลอันเป็นที่รักจากไป แต่วิลลีบอกว่า ขณะนี้ คนจำนวนมากขึ้นเริ่มขอใช้บริการสำหรับตัวเองในอนาคต โดยลูกค้าเหล่านี้สามารถจ่ายเงินล่วงหน้า เพื่อรับกรมธรรพ์ประกันว่า ความปรารถนาจะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอนในการแปรสภาพตัวตนสุดท้ายกลายเป็นเพชรอมตะนิรันดร์กาล
