"เมเจอร์"ใจเย็นรับพิษเศรษฐกิจ ชี้ครึ่งปีหลังหนทางสดใส เหตุหนังฟอร์มยักษ์จ่อคิวเข้าฉายเพียบ บวกกลยุทธ์ผนึกพันธมิตรดึงฐานคนดูหนังมากขึ้น แม้ครึ่งปีแรกเจอผลกระทบบ้าง แต่ประคองตัวไว้ได้ ผ่านการจัดการที่มีคุณภาพ พร้อมปรับค่าครองชีพพนักงาน ยิ้มสาขาในเมืองยังมีจำนวนคนหมุนเวียนสูงขึ้น ส่วนต่างจังหวัดทรงตัว มั่นใจสิ้นปีมาร์จิ้นดีกว่าปีก่อน
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สภาพการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ค่อนข้างจะแย่ลง แต่มองว่าผู้บริโภคเองต่างก็สามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน ซึ่งผู้บริโภคเองยังต้องกินต้องใช้ ธุรกิจต่างๆ ก็ยังดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับค่าครองชีพเลย โดยมองว่าปัญหาเศรษฐกิจเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หรือราคาน้ำมัน เป็นตัวที่สร้างผลกระทบเกี่ยวกับค่าครองชีพและการตัดสินใจในการใช้จ่ายมากกว่า
แนวโน้มการดำเนินธุรกิจโรงภาพยนตร์ในครึ่งปีหลังนี้ มองว่ายังไปได้ดีอยู่และดีกว่าครึ่งปีแรก มาจากหลายปัจจัย เช่น 1. ภาพยนตร์ที่เข้าฉายมีมากกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ เช่น เฮลล์บอย, แบทแมน, มัมมี่, แฮร์รี่ พ๊อตเตอร์ รวมถึงเจมส์บอนด์ 007 2.เชื่อว่าสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจไม่น่าจะเลวร้ายไปกว่านี้ บวกกับผู้บริโภคปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้แล้ว 3.การใช้กลยุทธ์พันธมิตรสำหรับภาพยนตร์ที่เข้าฉายทุกเรื่อง จะช่วยดึงคนมาดูภาพยนตร์เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการโปรโมทภาพยนตร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการที่เมเจอร์ที่หลายธุรกิจในเครือ จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ในส่วนของแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง ยังคงดำเนินไปตามเดิม โดยจะยังคงมีการจัดโปรโมชันทุกเดือนกระตุ้นให้คนดูภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันในส่วนของการขยายสาขา ครึ่งปีหลังนี้ยังจะขยายอีก 3-4 สาขา ในซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้งบิ๊กซี และเทสโก้โลตัส โดยครึ่งปีแรกเปิดเพิ่มไปแล้ว 4 สาขา คือ อยุธยา เพชรบูรณ์ กระบี่ และชลบุรี
ล่าสุดบริษัทฯร่วมกับสถาบัน EF Education First และกลุ่มบริษัท ดัชมิลล์ เปิดตัวโครงการ "English on Screen (EOS)" แคมป์สอนภาษาอังกฤษในโรงภาพยนตร์ ปีที่2 เปิดรับสมัครนักเรียนระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ จำนวน 2,000 คน และครูสอนภาษา จำนวน 500 คน เข้าอบรมฟรี โดยนักเรียนที่ผ่านการอบรมสามารถสอบชิงทุนเข้าคอร์สภาษาที่ประเทศอังกฤษ จำนวน 10ทุน มูลค่า 2 ล้านบาท
นายอนวัช กล่าวว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยอมรับว่าธุรกิจโรงภาพยนตร์ได้รับผลกระทบบ้าง โดยในส่วนของพนักงาน บริษัทฯมีการปรับค่างครองชีพเพิ่มขึ้นให้ ไปเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมหันมาเน้นเรื่องการบริหารจัดการในแต่ละสาขาให้ดีขึ้น ยึดเอากลุ่มเป้าหมายในบริเวณนั้นๆเป็นตัววางโปรแกรมภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด ในภาวะที่ผู้บริโภคเองต่างก็มีการพิจารณาในการใช้เงินมากขึ้น แต่ทั้งนี้พบว่าสาขาในตัวเมืองยังคงมีทราฟฟิกของคนที่เข้าดูหนังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ 4 สาขาหลัก อย่าง รัชโยธิน ปิ่นเกล้า สุขุมวิท และรังสิต ยังคงเป็นสาขาที่มีปริมาณคนหมุนเวียนสูงสุด รวมแล้วสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทฯกว่า 25% จากรายได้รวมทั้งหมด ขณะที่สาขาชานเมืองปริมาณคนหมุนเวียนถือว่ายังทรงตัวอยู่ ซึ่งหากมองในภาพรวมทั้งปีแล้ว มั่นใจว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างกำไรได้ดีกว่าปีก่อน
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สภาพการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ค่อนข้างจะแย่ลง แต่มองว่าผู้บริโภคเองต่างก็สามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน ซึ่งผู้บริโภคเองยังต้องกินต้องใช้ ธุรกิจต่างๆ ก็ยังดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับค่าครองชีพเลย โดยมองว่าปัญหาเศรษฐกิจเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หรือราคาน้ำมัน เป็นตัวที่สร้างผลกระทบเกี่ยวกับค่าครองชีพและการตัดสินใจในการใช้จ่ายมากกว่า
แนวโน้มการดำเนินธุรกิจโรงภาพยนตร์ในครึ่งปีหลังนี้ มองว่ายังไปได้ดีอยู่และดีกว่าครึ่งปีแรก มาจากหลายปัจจัย เช่น 1. ภาพยนตร์ที่เข้าฉายมีมากกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ เช่น เฮลล์บอย, แบทแมน, มัมมี่, แฮร์รี่ พ๊อตเตอร์ รวมถึงเจมส์บอนด์ 007 2.เชื่อว่าสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจไม่น่าจะเลวร้ายไปกว่านี้ บวกกับผู้บริโภคปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้แล้ว 3.การใช้กลยุทธ์พันธมิตรสำหรับภาพยนตร์ที่เข้าฉายทุกเรื่อง จะช่วยดึงคนมาดูภาพยนตร์เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการโปรโมทภาพยนตร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการที่เมเจอร์ที่หลายธุรกิจในเครือ จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ในส่วนของแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง ยังคงดำเนินไปตามเดิม โดยจะยังคงมีการจัดโปรโมชันทุกเดือนกระตุ้นให้คนดูภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันในส่วนของการขยายสาขา ครึ่งปีหลังนี้ยังจะขยายอีก 3-4 สาขา ในซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้งบิ๊กซี และเทสโก้โลตัส โดยครึ่งปีแรกเปิดเพิ่มไปแล้ว 4 สาขา คือ อยุธยา เพชรบูรณ์ กระบี่ และชลบุรี
ล่าสุดบริษัทฯร่วมกับสถาบัน EF Education First และกลุ่มบริษัท ดัชมิลล์ เปิดตัวโครงการ "English on Screen (EOS)" แคมป์สอนภาษาอังกฤษในโรงภาพยนตร์ ปีที่2 เปิดรับสมัครนักเรียนระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ จำนวน 2,000 คน และครูสอนภาษา จำนวน 500 คน เข้าอบรมฟรี โดยนักเรียนที่ผ่านการอบรมสามารถสอบชิงทุนเข้าคอร์สภาษาที่ประเทศอังกฤษ จำนวน 10ทุน มูลค่า 2 ล้านบาท
นายอนวัช กล่าวว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยอมรับว่าธุรกิจโรงภาพยนตร์ได้รับผลกระทบบ้าง โดยในส่วนของพนักงาน บริษัทฯมีการปรับค่างครองชีพเพิ่มขึ้นให้ ไปเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมหันมาเน้นเรื่องการบริหารจัดการในแต่ละสาขาให้ดีขึ้น ยึดเอากลุ่มเป้าหมายในบริเวณนั้นๆเป็นตัววางโปรแกรมภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด ในภาวะที่ผู้บริโภคเองต่างก็มีการพิจารณาในการใช้เงินมากขึ้น แต่ทั้งนี้พบว่าสาขาในตัวเมืองยังคงมีทราฟฟิกของคนที่เข้าดูหนังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ 4 สาขาหลัก อย่าง รัชโยธิน ปิ่นเกล้า สุขุมวิท และรังสิต ยังคงเป็นสาขาที่มีปริมาณคนหมุนเวียนสูงสุด รวมแล้วสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทฯกว่า 25% จากรายได้รวมทั้งหมด ขณะที่สาขาชานเมืองปริมาณคนหมุนเวียนถือว่ายังทรงตัวอยู่ ซึ่งหากมองในภาพรวมทั้งปีแล้ว มั่นใจว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างกำไรได้ดีกว่าปีก่อน