โดย...อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ขณะที่เส้นกราฟแสดงตัวเลขรายรับของหนัง The Mummy ภาค 3 ยังคงปีนป่ายไต่สูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะในบ้านเรา นี่คือหนังที่หลายๆ คนคาดการณ์กันว่าจะเป็นหนังที่ทำเงินได้ทะลุ 100 ล้านบาทเป็นเรื่องแรกของปีนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ บางที รายรับกับคุณภาพของหนังก็ใช่ว่าจะเดินทางร่วมกันเสมอไป จริงไหม?
ดังนั้น ต่อให้มัมมี่ภาคนี้ทำเงินได้แค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมเชื่อว่า มันน่าจะติดอยู่ในใจของผู้กำกับเจ้าของผลงานอย่าง “ร็อบ โคเฮ็น” ตลอดไปก็คือ เสียงของนักวิจารณ์ที่ออกความคิดเห็นไปในทิศทางคล้ายๆ กันว่า มัมมี่ภาคนี้คือภาคที่ด้อยที่สุดในแง่คุณภาพ (อันที่จริง ถ้าบอกว่า ห่วยที่สุด น่าจะถูกต้องยิ่งกว่า)
ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของหนังภาคต่อทุกๆ เรื่องที่มักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับฉบับก่อนหน้า นั่นย่อมหมายความว่า ยิ่งผลงานเวอร์ชั่นแรกๆ สร้างคุณงามความดีที่ประทับใจคนดูไว้มากเท่าไร ฉบับถัดไปก็ยิ่งจะต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นหลายเท่า
แต่ก็อย่างที่หลายๆ คนพูดกันว่า ร็อบ โคเฮ็น คงจะไม่ได้รู้สึกกดดันหรือแม้แต่จะคิดถึง “กฎสามัญ” ข้อนี้เท่าไหร่นัก และนี่ก็อาจเป็นเหตุผลข้อหนึ่งซึ่งส่งผลให้มัมมี่ภาค 3 มีรูปลักษณ์หน้าตาออกมาในแบบที่เรียกได้ว่า แทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยกับพวกหนังเกรดต่ำๆ ที่ไม่มีอะไรน่าจดจำแต่อย่างใด (หรือถ้าจะมีอะไรให้จดจำสักหน่อยก็คงเป็นกองทัพ “มัมมี่ผีดินเผา” นั่นแหละท่าน ที่พอจะยอมรับได้บ้างว่า “ค่อนข้างมีไอเดีย” หน่อย :)
มัมมี่เวอร์ชั่นนี้มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า The Mummy : Tomb of the Dragon Emperor ด้วยเนื้อหาที่ยังคงนำเสนอเรื่องราวของชาวมัมมี่เหมือนภาคที่ผ่านๆ มา เพียงแต่ที่แปลกออกไปคือ ร็อบ โคห์น เดินออกมาจากตำนานมัมมี่แถวๆ อียิปต์ แล้วหันไปใช้บริการมัมมี่จากฝั่งจีนแทน โดยพาคนดูย้อนไปสู่ยุคสมัยที่แผ่นดินใหญ่เริ่มก่อร่างสร้างกำแพงเมืองจีนโดยมีจอมจักรพรรดิผู้หิวกระหายอำนาจพยายามตั้งตนเป็นศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งก็ทำได้สำเร็จ แต่ในที่สุด กลับมาตกม้าตายเพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่กลายเป็นชนวนเหตุให้จอมจักรพรรดิตกอยู่ใต้มนต์ดำของคำสาป กลายเป็นมัมมี่เฝ้าสุสานกษัตริย์เนิ่นนานหลายร้อยปี จนกระทั่ง...
มัมมี่จอมจักรพรรดิผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นอมตะในภาคนี้รับบทโดย “เจ็ต ลี” พระเอกเบอร์ต้นๆ ของเอเชีย และไม่ต้องแปลกใจ ถ้าบทบาทนี้จะไม่ได้เพิ่ม “คะแนนนิยม” ให้กับเจ็ต ลี เลยแม้แต่น้อย ซึ่งถ้าพูดกันแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ เขาไม่น่ามารับบทนี้เลย เพราะมันทำให้เขามองดูเหมือนพวก “ดาราตกชั้น” ไปทันที และถึงแม้บทมัมมี่จะเป็น “พระเอก” ของหนังเรื่องนี้ก็จริง แต่เอาไปเอามา มันก็ไม่มีบทบาทอะไรให้เจ็ต ลี ได้เล่นมากไปกว่าฆ่าๆๆ แล้วก็ฆ่า เหมือนพวกผีบ้าพลัง!! (ถึงตอนนี้ ผมก็ค่อนข้างจะเห็นดีเห็นงามกับนักแสดงอย่าง “ราเชล ไวส์” แล้วล่ะว่า เธอคิดถูกที่ไม่มาร่วมวงศ์ไพบูลย์กับมัมมี่ภาคนี้ด้วย หลังจากทำได้ดีมาแล้วในสองภาคก่อน)
ขณะเดียวกัน การแสดงของนักแสดงคนอื่นๆ ก็จัดอยู่ในขั้น “งั้นๆ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองดาราสาวใหญ่อย่าง มิเชล โหย่ว กับมาเรีย เบลโล่ ที่บอกได้คำเดียวว่า “จืดสนิท” ! (ไม่รู้ว่าฝ่ายเมกอัพของหนังเรื่องนี้เมาหรือเปล่า ถึงได้ปล่อยให้หน้าตาของมิเชล โหย่ว หลุดออกมาเหมือนอาซิ้มป่วยเอามากๆ จนยากจะทำใจเชื่อได้ว่า นี่น่ะหรือคือหญิงสาวผู้เป็นต้นเหตุให้มิตรสหายต้องมาประหัตประหารแย่งชิงกันเอง!!)
ทั้งหมดทั้งมวลยังเทียบไม่ได้กับบทหนังพื้นๆ ซึ่งมาพร้อมกับวิธีการเล่าเรื่องแบบพื้นๆ (ตามสูตร 1-2-3-4 ) ที่ใครๆ ก็เดาได้ว่า เรื่องจะจบลงแบบไหน เพราะต่อให้สู้รบปรบมือกันเอาเป็นเอาตายยังไง แต่สุดท้าย อะไรๆ ก็จะจบลงด้วยดีแบบ happy ending (ง่ายมาก!!!) ไม่มีลีลาชั้นเชิงหรือเหลี่ยมมุมอะไรเอาซะเลย!
และสิ่งที่ทำให้หนังดูโลว์คลาสไปเลยก็คือ การเข้าบทซึ้งในบางช่วงบางตอน ซึ่งเล่นเข้ากันแบบทื่อๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีการปูพื้นฐานอารมณ์อะไรมาก่อน และเรื่องราวในหนังก็ไม่เห็นจะเอื้อให้เกิดความซึ้งอะไรนัก มันทำให้คนดูเกิดความรู้สึกประดักประเดิด อิหลักอิเหลื่อ ประมาณว่า เอ่อ...มันไปได้ยังไงเนี่ยยย....(จริงๆ ในมุมมองของผม หนังไม่จำเป็นต้องมาทำซึ้งอย่างนี้ก็ได้นะ เพราะไหนๆ หนังก็ตั้งหน้าตั้งตาจะขายเทคนิคพิเศษพวกสเปเชี่ยลเอฟเฟคต์มาซะชัดขนาดนั้นแล้ว จริงไหม?)
ในส่วนของซาวน์เอฟเฟคต์ก็เช่นเดียวกัน คือมันเป็นอะไรที่พื้นๆ ง่ายๆ ซึ่งพบเห็นได้ในหนังแนวนี้แทบทุกเรื่อง อย่าได้คิดมักง่ายไปนะครับว่า การปล่อยเสียงดังๆ ตูมๆ ตามๆ ถล่มใส่หูคนดูตลอดเวลานั้นจะทำให้เกิดอารมณ์แบบลุ้นระทึกเสมอไป เพราะมุกแบบนี้อาจได้ผลบ้างในบางขณะ แต่ไม่ใช่ว่าตลอดทั้งเรื่อง ตรูก็จะใช้ซาวน์ประกอบฉากแอกชั่นสไตล์เดิมๆ ทุกครั้งไป
สรุปก็คือ The Mummy 3 เป็นหนังพื้นๆ ที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่มีอะไรน่าเก็บจำ เป็นได้อย่างมากก็เพียงความบันเทิงเบาสมอง 2 ชั่วโมง จบแล้วก็ลืมเลย
แต่เอาล่ะ ถ้าจะให้ค้นหากันจริงๆ ว่า หนังเรื่องนี้ไม่มีดีอะไรเลยหรือ? คำตอบก็คือ มีครับ เพียงแต่ส่วนที่ดีที่สุดของหนังกลับไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบทภาพยนตร์ ศิลปะแห่งการเล่าเรื่อง หรือลีลาการแสดงของดาราคนไหน แต่เกี่ยวกับประเด็นๆ หนึ่งซึ่งหนังพูดขึ้นมา และผมคิดว่ามันเข้าจังหวะกับสถานการณ์ของบ้านเราเมืองเราพอดิบพอดี
นั่นก็คือ การที่ตัวละครฝ่ายดีในหนังเรื่องนี้ต่างร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่เพื่อสกัดกั้นการฟื้นคืนชีพของมัมมี่ที่เป็นอดีตทรราช และถึงแม้ว่าคนบ้าอำนาจจะพื้นคืนชีพขึ้นมาได้ แต่พวกเขาก็ยังช่วยกันฟาดฟันจนหยดสุดท้าย
นั่นทำให้ผมคิดถึง “มัมมี่ทรราช” บางตัวในบ้านเมืองเราที่ดูเหมือนจะ “ตายยาก” (ยิ่งกว่า Die Hard) ยิ่งขึ้นทุกขณะ และหลายๆ คนหลายๆ ฝ่ายก็กำลังร่วมกันสกัดกั้นการรีเทิร์นของมันอยู่ในตอนนี้ (ขณะที่มันก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนผีบ้าไปแล้ว!!)
คงไม่ต้องบอกนะครับว่า เจ้า “มัมมี่ทรราช” ตัวที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้มีชื่อว่าอะไร? (เปิดโอกาสให้เดา แต่ไม่มีรางวัลตอบแทนหากตอบถูก!!)