เงิน-มีอำนาจศักยภาพไร้เทียมทานในสังคมคนเห็นแก่เงิน
เงิน-จะไร้ค่าสิ้นมนต์ขลังในสังคมคนไม่เห็นแก่เงิน
นั่นเป็นเหรียญสองด้านของโลกแห่งความจริง ที่บอกให้รู้ในขณะเดียวกันว่า เงิน-น่ากลัว และเงิน-ไม่น่ากลัวครับ เพราะปัจจัยชี้ขาดอยู่ที่ใจคนครับ
นับแต่อดีตตราบปัจจุบัน ชาวโลกทราบดีว่าคนไทยนั้น รักเทิดทูนในหลวงยิ่งชีวิต ทำให้รัฐธรรมนูญอันถือเป็นกฎหมายสูงสุด ได้ระบุให้ระบอบประชาธิปไตยไทย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาโดยตลอด
แต่ด้วยสภาวะที่คนในสังคมยังด้อยโอกาสทางการศึกษา และเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร บวกกับสภาพท้องถิ่นหรือชนบทไทย เต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์และอิทธิพลท้องถิ่นมากมายทั่วทุกหย่อมหญ้า
แถมรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับที่ลอกมาจากฝรั่งมังค่า ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยหลายประการ โดยเฉพาะยึดถือการเลือกตั้งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทยมาโดยตลอด
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเลือกตั้งและพรรคการเมืองต่างๆ หันไปสร้างระบบจัดซื้อและกลโกงการเลือกตั้งทุกวิธีการทั้งลับและเปิดเผย เพื่อมุ่งสู่การได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่
สุดนั่นเอง
สนามเลือกตั้งไทยทุกครั้งจึงไร้ความบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีแต่หลุมดำของเงินและอิทธิ
พลสารพัดชนิด ที่บรรดานักเลือกตั้งและทุกพรรคการเมืองงัดออกมาใช้ ทำให้มีการซื้อสิทธิขายเสียงพลเมืองไทยอย่างโจ๋งครึ่มตลอดมา
แน่นอน..ทั้งหมดเพื่อพรรคร่ำรวย จะได้นักเลือกตั้งเข้าไปนั่งในสภาฯ มากที่สุด ตามด้วยการเลือกนายกรัฐมนตรีกับ ครม.อีกทอดหนึ่ง
เงินกับกลโกงสารพัดในการซื้อเสียงเลือกตั้ง ทำให้ที่มาส่วนใหญ่ของผู้แทนราษฎรประ
เทศไทย ล้วนเข้าสภาโดยไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมตั้งแต่เบื้องแรกแล้วครับ
นั่นเป็นร่องรอยความเลวร้ายของประชาธิปไตยไทยที่ผ่านมากว่า 76 ปี!
ทว่า..กว่าทศวรรษที่ผ่านมา มหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยมได้ก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง เขาได้ทำให้ความชั่วร้ายในสังคมการเมืองทวีขึ้น อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย!
ใจที่มากด้วยความละโมบอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้มหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยมใช้เงิน สร้างความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมในการเลือกตั้งทุกมิติ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สั่นคลอน-อ่อนแอทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการซื้อองค์กรอิสระอย่าง กกต.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคัดกรองคนดี ให้เข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภาฯ และบริหารชาติบ้านเมือง
การณ์กลับกลายเป็น กกต. บางคน มีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล ทั้งๆ ที่รู้แจ้งเห็นชัดว่าพรรคการเมืองบางพรรค เป็นนอมินีของอดีตมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม อีกทั้งโกงการเลือกตั้งอย่างมโหฬารมากมาย
ทว่า กกต. บางคนกลับออกมาช่วยทั้งทางตรงทางอ้อม จนพรรคนอมินีของมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม ได้ผู้แทนราษฎรเข้าสภาฯ เป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
ต้องถือว่า กกต. บางคนนั่นแหละ ที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลด้วยกลวิธีน่าเกลียด โดยไม่แย
แสต่อเสียงคัดค้านของประชาชนคนไทยทั้งชาติ
เมื่อมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม ได้ผู้แทนราษฎรขี้เหร่มาเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ แน่นอน..ย่อมทำให้ประเทศไทยได้รัฐบาลที่ขี้เหร่สุดๆ ตามมา หลังจากนั้นบ้านเมืองก็วุ่นวายเพราะรัฐบาลและผู้แทนฯ ขี้เหร่ ที่ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่จะล้มรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เข้ามาแทนที่ โดยไม่สนใจไยดีต่อปัญหาอื่นๆ ในสังคมไทยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ที่กำลังทำให้ประชาชนทั้งประเทศเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส
รัฐบาลของมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนอมินีใหญ่ จึงเป็นรัฐบาลที่มาโดยไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ไร้ซึ่งความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง กอปรกับไร้ผลงานในการบริหารชาติบ้านเมืองเพื่อส่วนรวม หากแต่กระทำทุกอย่างทุกวิธีการเพียงเพื่อช่วย และเอื้อประโยชน์ต่อทักษิณและพวกพ้องเพียงถ่ายเดียว
นั่นเป็นต้นเหตุอันนำมาซึ่งการประท้วงอีกครั้งหนึ่ง ของพันธมิตรฯ และประชาชนหลายแสนคน ที่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องมากว่า 40 วันแล้ว
หากเรามาย้อนดูอดีตการเมืองไทยตราบปัจจุบัน มีคนเพียง 2 กลุ่มเท่านั้นที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามายึดครองอำนาจรัฐไว้ในกำมือ
หนึ่ง-คือคณะบุคคลในเครื่องแบบ ที่ถือปืน-ลากรถถังออกมาฉีกรัฐธรรมนูญของชาติถึง 12 ครั้ง ซึ่งวิธีดังกล่าวนับวันจะถูกชาวโลกประณามหยามเหยียดหรือไม่เห็นด้วย ยิ่งหลังการรัฐประหาร19 กันยายน 2549 ที่นำมาซึ่งรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งทางการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชนได้
นับวันการลากปืน-รถถังออกมาทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ จะยิ่งเป็นสิ่งน่าชิงชังรังเกียจมากขึ้นไปอีก
แต่การใช้เงินและระบบจัดตั้ง-จัดซื้อ-การโกงผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นสิ่งที่ประชาชนและชาวโลกไม่รู้เท่าทันในข้อเท็จจริง กลายเป็นอีกหนทางหนึ่งที่นำไปสู่การยึดอำนาจ ล้มล้างเปลี่ยน
แปลงรัฐธรรมนูญของชาติอย่างสามานย์ได้เช่นกัน
ต้องถือว่า..การถือปืนมาล้มรัฐธรรมนูญนั้น ล้าสมัยหรือล้าหลังไม่เทรนดี้ไม่กิ๊บเก๋อีกต่อ
ไปแล้ว วินาทีนี้ต้องใช้เงินสามานย์ซื้อเสียงผู้คนผ่านการเลือกตั้ง เรียกว่า..ใช้เงินทำรัฐประหารแทนปืน ดูเหมือนจะอำพรางสวมเสื้อคลุม “ประชาธิปไตย” ซึ่งต่างชาติจะยอมรับได้มากกว่า
ทศวรรษที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดว่า การเมืองไทยใครมีเงินมากกว่า..ก็สามารถซื้ออำนาจรัฐและยึดประเทศนี้ได้ และหากวันหนึ่งทุนสามานย์เกิดอยากเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศนี้ขึ้นมา ก็ใช้เงินอีกนั่นแหละเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ครับ
ยิ่งผู้มีอำนาจเงินรู้จักใช้นักเลือกตั้ง รู้จักสร้างเรื่อง รู้จักวิธีโกหกพกลมที่แนบเนียน รู้จักใช้สื่อสารมวลชนบางส่วนขายตัวสร้างกระแส ให้ผู้คนทั้งในและต่างประเทศที่ไม่รู้ทันเล่ห์กลยอมรับ และเห็นคล้อยตามสิ่งที่ผู้มีอำนาจเงินโพนทะนา หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
ต้องขอชี้โป้งลงไปแบบฟันธงเลยว่า หากการเมืองไทยยังมีนายทุนสามานย์หน้าเหลี่ยม บงการทั้งลับและเปิดเผยทางการเมืองแบบนี้ อะไรๆ ที่ไม่คาดว่าจะมี-จะเกิด ก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในประเทศไทยครับ
แต่ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมา ก็ชี้ให้เห็นเด่นชัดแล้วว่า นายทุนผู้ใช้เงินสามานย์มาสู่อำนาจรัฐนั่นแหละ มักเป็นคนทำชั่วจนเป็นต้นเหตุให้คนมีสี ถือปืนลากรถถังออกมายึดอำนาจรัฐเสมอ
ส่วนใครจะเป็นเผด็จการหรือเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากันนั้น ต้องดูตรงผลการกระทำของคนทั้งสองฝ่ายว่า ใครทำดีทำชั่วมากกว่ากันครับ
สำหรับกรณีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กับรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสมัครนั้น ต้องถือว่า ทำให้แผ่นดินย่ำแย่ลงด้วยกันทั้งคู่ จนถึงวันนี้...รัฐบาลทักษิณและสมัคร ทำให้เมืองไทยเสียหายวายป่วงหนักขึ้นไปอีกครับ
วันนี้..คนถือเงิน (นายทุน) ชั่วช้าสามานย์และคนถือปืน (ทหาร) ล้วนไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนคนไทยแล้ว มีแต่ต้องปฏิวัติประชาธิปไตยโดยประชาชนเท่านั้น จึงทำให้ระบอบประชา
ธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนมั่นคงยั่ง
ยืนตลอดไป
ต้องยอมรับว่า..หากระบอบประชาธิปไตยไทย ยังถือการเลือกตั้งเป็นสรณะ อีกทั้งหาก กก
ต.และหน่วยงานราชการ ยังอยู่ในสภาพไม่โปร่งใส และสังคมไทยยังมีคนเห็นแก่เงินเช่นนี้ การเลือกตั้งจึงเป็นเส้นทางที่นักเลือกตั้ง และพรรคการเมืองชั่วๆ ใช้เป็นหนทางฟอกตัว และเป็นบันไดก้าวเข้าไปโกงชาติกินเมืองเท่านั้นเอง
หากการเมืองไทยยังถือการเลือกตั้งเป็นพระเอก ประเทศไทยเราก็จะได้ผู้ร้ายอย่างทักษิณและพรรคพวก ที่ใช้เงินและกลโกงพากองโจรใส่สูทของเขา ยกพลตบเท้าเข้ายึดครองสภาฯ และทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งและอีกครั้ง...
หนทางเดียวที่บ้านเมืองจะสงบและก้าวไปข้างหน้าได้ นั่นคือ ลัทธิการเลือกตั้งที่ใช้เงินเป็นสรณะ จะต้องถูกกำจัด-ชะล้าง กลไกการเมืองจะต้องยุติธรรมโปร่งใส เพื่อเปิดทางให้คนดีได้ก้าวเข้ามาสู่เวทีการเมือง เพื่อก้าวเข้าสู่การบริหารชาติบ้านเมืองครับ
เงิน-จากทุนสามานย์ ปืน-จากคนมีสี ได้ทำร้ายทำลายบ้านเมืองมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ประชาชนจะเข้ามาปกป้อง-พัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เจริญวัฒนาถาวรคู่ไทยต่อไปครับ...
เงิน-จะไร้ค่าสิ้นมนต์ขลังในสังคมคนไม่เห็นแก่เงิน
นั่นเป็นเหรียญสองด้านของโลกแห่งความจริง ที่บอกให้รู้ในขณะเดียวกันว่า เงิน-น่ากลัว และเงิน-ไม่น่ากลัวครับ เพราะปัจจัยชี้ขาดอยู่ที่ใจคนครับ
นับแต่อดีตตราบปัจจุบัน ชาวโลกทราบดีว่าคนไทยนั้น รักเทิดทูนในหลวงยิ่งชีวิต ทำให้รัฐธรรมนูญอันถือเป็นกฎหมายสูงสุด ได้ระบุให้ระบอบประชาธิปไตยไทย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาโดยตลอด
แต่ด้วยสภาวะที่คนในสังคมยังด้อยโอกาสทางการศึกษา และเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร บวกกับสภาพท้องถิ่นหรือชนบทไทย เต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์และอิทธิพลท้องถิ่นมากมายทั่วทุกหย่อมหญ้า
แถมรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับที่ลอกมาจากฝรั่งมังค่า ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยหลายประการ โดยเฉพาะยึดถือการเลือกตั้งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทยมาโดยตลอด
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเลือกตั้งและพรรคการเมืองต่างๆ หันไปสร้างระบบจัดซื้อและกลโกงการเลือกตั้งทุกวิธีการทั้งลับและเปิดเผย เพื่อมุ่งสู่การได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่
สุดนั่นเอง
สนามเลือกตั้งไทยทุกครั้งจึงไร้ความบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีแต่หลุมดำของเงินและอิทธิ
พลสารพัดชนิด ที่บรรดานักเลือกตั้งและทุกพรรคการเมืองงัดออกมาใช้ ทำให้มีการซื้อสิทธิขายเสียงพลเมืองไทยอย่างโจ๋งครึ่มตลอดมา
แน่นอน..ทั้งหมดเพื่อพรรคร่ำรวย จะได้นักเลือกตั้งเข้าไปนั่งในสภาฯ มากที่สุด ตามด้วยการเลือกนายกรัฐมนตรีกับ ครม.อีกทอดหนึ่ง
เงินกับกลโกงสารพัดในการซื้อเสียงเลือกตั้ง ทำให้ที่มาส่วนใหญ่ของผู้แทนราษฎรประ
เทศไทย ล้วนเข้าสภาโดยไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมตั้งแต่เบื้องแรกแล้วครับ
นั่นเป็นร่องรอยความเลวร้ายของประชาธิปไตยไทยที่ผ่านมากว่า 76 ปี!
ทว่า..กว่าทศวรรษที่ผ่านมา มหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยมได้ก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง เขาได้ทำให้ความชั่วร้ายในสังคมการเมืองทวีขึ้น อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย!
ใจที่มากด้วยความละโมบอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้มหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยมใช้เงิน สร้างความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมในการเลือกตั้งทุกมิติ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สั่นคลอน-อ่อนแอทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการซื้อองค์กรอิสระอย่าง กกต.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคัดกรองคนดี ให้เข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภาฯ และบริหารชาติบ้านเมือง
การณ์กลับกลายเป็น กกต. บางคน มีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล ทั้งๆ ที่รู้แจ้งเห็นชัดว่าพรรคการเมืองบางพรรค เป็นนอมินีของอดีตมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม อีกทั้งโกงการเลือกตั้งอย่างมโหฬารมากมาย
ทว่า กกต. บางคนกลับออกมาช่วยทั้งทางตรงทางอ้อม จนพรรคนอมินีของมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม ได้ผู้แทนราษฎรเข้าสภาฯ เป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
ต้องถือว่า กกต. บางคนนั่นแหละ ที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลด้วยกลวิธีน่าเกลียด โดยไม่แย
แสต่อเสียงคัดค้านของประชาชนคนไทยทั้งชาติ
เมื่อมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม ได้ผู้แทนราษฎรขี้เหร่มาเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ แน่นอน..ย่อมทำให้ประเทศไทยได้รัฐบาลที่ขี้เหร่สุดๆ ตามมา หลังจากนั้นบ้านเมืองก็วุ่นวายเพราะรัฐบาลและผู้แทนฯ ขี้เหร่ ที่ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่จะล้มรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เข้ามาแทนที่ โดยไม่สนใจไยดีต่อปัญหาอื่นๆ ในสังคมไทยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ที่กำลังทำให้ประชาชนทั้งประเทศเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส
รัฐบาลของมหาเศรษฐีหน้าเหลี่ยม ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนอมินีใหญ่ จึงเป็นรัฐบาลที่มาโดยไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ไร้ซึ่งความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง กอปรกับไร้ผลงานในการบริหารชาติบ้านเมืองเพื่อส่วนรวม หากแต่กระทำทุกอย่างทุกวิธีการเพียงเพื่อช่วย และเอื้อประโยชน์ต่อทักษิณและพวกพ้องเพียงถ่ายเดียว
นั่นเป็นต้นเหตุอันนำมาซึ่งการประท้วงอีกครั้งหนึ่ง ของพันธมิตรฯ และประชาชนหลายแสนคน ที่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องมากว่า 40 วันแล้ว
หากเรามาย้อนดูอดีตการเมืองไทยตราบปัจจุบัน มีคนเพียง 2 กลุ่มเท่านั้นที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามายึดครองอำนาจรัฐไว้ในกำมือ
หนึ่ง-คือคณะบุคคลในเครื่องแบบ ที่ถือปืน-ลากรถถังออกมาฉีกรัฐธรรมนูญของชาติถึง 12 ครั้ง ซึ่งวิธีดังกล่าวนับวันจะถูกชาวโลกประณามหยามเหยียดหรือไม่เห็นด้วย ยิ่งหลังการรัฐประหาร19 กันยายน 2549 ที่นำมาซึ่งรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งทางการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชนได้
นับวันการลากปืน-รถถังออกมาทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ จะยิ่งเป็นสิ่งน่าชิงชังรังเกียจมากขึ้นไปอีก
แต่การใช้เงินและระบบจัดตั้ง-จัดซื้อ-การโกงผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นสิ่งที่ประชาชนและชาวโลกไม่รู้เท่าทันในข้อเท็จจริง กลายเป็นอีกหนทางหนึ่งที่นำไปสู่การยึดอำนาจ ล้มล้างเปลี่ยน
แปลงรัฐธรรมนูญของชาติอย่างสามานย์ได้เช่นกัน
ต้องถือว่า..การถือปืนมาล้มรัฐธรรมนูญนั้น ล้าสมัยหรือล้าหลังไม่เทรนดี้ไม่กิ๊บเก๋อีกต่อ
ไปแล้ว วินาทีนี้ต้องใช้เงินสามานย์ซื้อเสียงผู้คนผ่านการเลือกตั้ง เรียกว่า..ใช้เงินทำรัฐประหารแทนปืน ดูเหมือนจะอำพรางสวมเสื้อคลุม “ประชาธิปไตย” ซึ่งต่างชาติจะยอมรับได้มากกว่า
ทศวรรษที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดว่า การเมืองไทยใครมีเงินมากกว่า..ก็สามารถซื้ออำนาจรัฐและยึดประเทศนี้ได้ และหากวันหนึ่งทุนสามานย์เกิดอยากเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศนี้ขึ้นมา ก็ใช้เงินอีกนั่นแหละเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ครับ
ยิ่งผู้มีอำนาจเงินรู้จักใช้นักเลือกตั้ง รู้จักสร้างเรื่อง รู้จักวิธีโกหกพกลมที่แนบเนียน รู้จักใช้สื่อสารมวลชนบางส่วนขายตัวสร้างกระแส ให้ผู้คนทั้งในและต่างประเทศที่ไม่รู้ทันเล่ห์กลยอมรับ และเห็นคล้อยตามสิ่งที่ผู้มีอำนาจเงินโพนทะนา หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
ต้องขอชี้โป้งลงไปแบบฟันธงเลยว่า หากการเมืองไทยยังมีนายทุนสามานย์หน้าเหลี่ยม บงการทั้งลับและเปิดเผยทางการเมืองแบบนี้ อะไรๆ ที่ไม่คาดว่าจะมี-จะเกิด ก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในประเทศไทยครับ
แต่ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมา ก็ชี้ให้เห็นเด่นชัดแล้วว่า นายทุนผู้ใช้เงินสามานย์มาสู่อำนาจรัฐนั่นแหละ มักเป็นคนทำชั่วจนเป็นต้นเหตุให้คนมีสี ถือปืนลากรถถังออกมายึดอำนาจรัฐเสมอ
ส่วนใครจะเป็นเผด็จการหรือเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากันนั้น ต้องดูตรงผลการกระทำของคนทั้งสองฝ่ายว่า ใครทำดีทำชั่วมากกว่ากันครับ
สำหรับกรณีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กับรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสมัครนั้น ต้องถือว่า ทำให้แผ่นดินย่ำแย่ลงด้วยกันทั้งคู่ จนถึงวันนี้...รัฐบาลทักษิณและสมัคร ทำให้เมืองไทยเสียหายวายป่วงหนักขึ้นไปอีกครับ
วันนี้..คนถือเงิน (นายทุน) ชั่วช้าสามานย์และคนถือปืน (ทหาร) ล้วนไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนคนไทยแล้ว มีแต่ต้องปฏิวัติประชาธิปไตยโดยประชาชนเท่านั้น จึงทำให้ระบอบประชา
ธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนมั่นคงยั่ง
ยืนตลอดไป
ต้องยอมรับว่า..หากระบอบประชาธิปไตยไทย ยังถือการเลือกตั้งเป็นสรณะ อีกทั้งหาก กก
ต.และหน่วยงานราชการ ยังอยู่ในสภาพไม่โปร่งใส และสังคมไทยยังมีคนเห็นแก่เงินเช่นนี้ การเลือกตั้งจึงเป็นเส้นทางที่นักเลือกตั้ง และพรรคการเมืองชั่วๆ ใช้เป็นหนทางฟอกตัว และเป็นบันไดก้าวเข้าไปโกงชาติกินเมืองเท่านั้นเอง
หากการเมืองไทยยังถือการเลือกตั้งเป็นพระเอก ประเทศไทยเราก็จะได้ผู้ร้ายอย่างทักษิณและพรรคพวก ที่ใช้เงินและกลโกงพากองโจรใส่สูทของเขา ยกพลตบเท้าเข้ายึดครองสภาฯ และทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งและอีกครั้ง...
หนทางเดียวที่บ้านเมืองจะสงบและก้าวไปข้างหน้าได้ นั่นคือ ลัทธิการเลือกตั้งที่ใช้เงินเป็นสรณะ จะต้องถูกกำจัด-ชะล้าง กลไกการเมืองจะต้องยุติธรรมโปร่งใส เพื่อเปิดทางให้คนดีได้ก้าวเข้ามาสู่เวทีการเมือง เพื่อก้าวเข้าสู่การบริหารชาติบ้านเมืองครับ
เงิน-จากทุนสามานย์ ปืน-จากคนมีสี ได้ทำร้ายทำลายบ้านเมืองมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ประชาชนจะเข้ามาปกป้อง-พัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เจริญวัฒนาถาวรคู่ไทยต่อไปครับ...