ผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯ นับหมื่นปักหลักหน้า สตช.ทวงถามความคืบหน้าคดี "แม้ว" ด้าน "สนธิ" ขึ้นเวทีปราศรัย ย้ำมา สตช. เพราะประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม แฉ "จงรัก" รับใบสั่งเป็นหัวหน้าทีมกลั่นแกล้งประชาชน จวกตั้ง "เพรียวพันธุ์" ดูแลคดี "เพ็ญ" หมิ่นเบื้องสูง หวังช่วยเหลือกันเอง จี้ยึดหลักยุติธรรม ขณะที่ศาลแพ่งเดินสายกลาง ยกคำร้องตั้งพนักงานบังคับคดี วันเสาร์-อาทิตย์ ให้ปิดการจราจรได้ตลอดทั้ง 2 วัน พันธมิตรฯ ทำตามคำสั่งศาลแพ่ง รื้อเวทีหน้าทำเนียบ ย้ายกลับไปปักหลักที่สะพานมัฆวานอีกครั้ง
วานนี้ (7 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 10.00 น.กลุ่มผู้ชุมชุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายศรัณญู วงศ์กระจ่าง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ขาดเพียง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดปักหลักเปิดการปราศรัย โดยใช้รถโมบายกระจายเสียงขนาดใหญ่ โจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 โดยเฉพาะการทวงถามถึงความคืบหน้าคดีต่างๆของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมี พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
ตำรวจวางกำลังเข้ม
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรทยอยเดินทางมาตั้งแต่เวลาประมาณ 08.30 น.โดยต่างคนต่างมา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องใช้ราวเหล็กกั้นตลอดแนวถนน โดยมีกำลังตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (บก.น.6) และกองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (บก.ตปพ.)ยืนปักหลักป้องกันเหตุอยู่ด้านหน้าและโดยรอบประมาณ 450 นาย ส่วนภายใน ตร.ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ประมาณ 300 นาย โดยมี พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบก.ตปพ. และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทำงานอยู่ภายใน ตร.มายืนสังเกตการณ์อยู่โดยรอบ ส่วนการจราจรด้านหน้าต้องมีการปิดไปโดยปริยาย เพราะกลุ่มพันธมิตรเข้ามาครอบครองพื้นที่ถนนเกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สตช.ไม่ได้เปิดประตูให้พันธมิตรฯ เข้าไปยื่นหนังสือ จนเวลาประมาณ 10.00 น. มีประชาชนมารวมตัวกันที่ถนนพระราม 1 หน้า สตช. หลายหมื่นคน จึงมีการปิดถนนพระราม 1 ตั้งแต่แยกอังรีดูนังต์ ถึงแยกเพลินจิต เป็นสถานที่ชุมนุมปราศรัยชั่วคราว โดยมีนายศรัณยู วงศ์กระจ่าง ดาราชื่อดัง และนางสาวอัญชลี ไพรีรัก ขึ้นเวทีชั่วคราวบนรถบรรทุก ทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุมเพื่อไม่ให้มีการทำลายต้นไม้ริมถนน และชุมนุมกันอย่างสงบ เรียบร้อย
ด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในฐานะ รองโฆษก ตร. เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.อ.วิโรจน์ พลเวช รองผบ.ตร.ได้เรียกตำรวจนครบาลและสันติบาล มาพูดคุยเพื่อรับมือและแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม โดยให้ตำรวจทั้งหมดเก็บอาวุธและใช้ความอดทน อดกลั้น กลับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยให้ยึดหลักวางเฉย แต่หากมีการบุกรุกเข้ามาภายใน ก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมาย
อัดตำรวจกลั่นแกล้งประชาชน
จนเวลาประมาณ 10.05 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีชั่วคราวว่า การมาปราศรัยที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ที่ตนมาแต่ละครั้งล้วนเป็นเพราะประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม และตนรู้ว่า ตำรวจคนไหนที่กลั่นแกล้งประชาชน ตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมตำรวจที่คอยจัดการกับตน คือ พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ และวันนี้ คือพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ซึ่งเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังรถเครื่องเสียงก่อกวนพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานฯ ด้วย ขอให้พี่น้องประชาชนจำชื่อไว้ด้วย
หลังจากนั้นนายสนธิ ได้เปิดโปงถึงความพยายามที่จะช่วยเหลือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.สำนักนายกฯ ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเอาพล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนมาดูแลคดีนี้
ทั้งนี้ นายสนธิ กล่าวว่า ที่มารวมตัวกันครั้งนี้ เรื่องเดียวที่อยากจะขอคือ ให้ตำรวจยึดถือความยุติธรรมให้แน่วแน่ ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างรัฐบาลหรือมาเข้าข้างพันธมิตรฯ
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวด้วยว่า หากตำรวจยังไม่หยุดกลั่นแกล้งประชาชน โดยเฉพาะ พล.ต.อ.จงรัก นั้นพันธมิตรฯจะมาปักหลักชุมนุมหน้าสตช.โดยปิดถนนตั้งแต่หน้าห้างสยามพารากอน ไปจนถึงแยกเพลินจิต ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ไม่ได้ต้องการมารบกวนร้านค้าที่อยู่ในบริเวณนั้นแต่อย่างใด แต่อาจต้องมาด้วยความจำเป็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 11.50 น. นายสนธิ ได้ชักชวนให้กลุ่มพันธมิตรเดินทางกลับไปปักหลักหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยระหว่างนั้น นายศรัณญู ได้ชักชวนให้กลุ่มพันธมิตรที่มาร้องเพลง “ความฝันอันสูงสุด” และ “เราสู้” จากนั้น นายวสันต์ สิทธิเขต ได้ขึ้นอ่านกวี ซึ่งมีใจความด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข กล่าวว่า ในยุคนี้ตำรวจไทยตกต่ำที่สุดแล้ว ขนาดตัวเลขคนมาชุมนุมยังโกหก หลายเรื่องตำรวจไม่ทำ เช่น กรณีหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งยังไม่ทำเลย จิตสำนึกตำรวจอยู่ตรงไหน ทำไมคดีหมิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงรีบทำ ตำรวจไทยกลัวหัวหด ขนาดไอ้ปื๊ดยิงดาบยิ้มทั้งเครื่องแบบ ทำไมไม่ลากคอมันเข้าคุก ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พิทักษ์ประชาชน หมวกที่ใส่ รองเท้า เข็มขัด ดาวบนบ่า เป็นเงินภาษีประชาชนทั้งนั้น
ชื่อสำนักงาน ตร.แห่งชาติ นาย ตร.ชั้นผู้ใหญ่รู้ไหมว่า ชาติ แปลว่าอะไร น่าอายไหมพี่น้องประชาชนรักชาติ และรักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เรียกร้องให้แต่ตำรวจไม่รักชาติ วันนี้เราทำหน้าที่เพื่อชาติแต่กลับไม่อาย เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง ไปอยู่ที่ไหน เป็นชายชาติทหารไม่อายสุภาพสตรีที่กล้าต่อสู้ ถ้าตร.ไม่ยุติธรรม คดีอัยการไปสู่ศาลมันก็ไม่ยุติธรรม ยิ่งถ้ามีรัฐบาลเลว ตร.เลว เราก็มาไล่ แต่ ตร.ดีเราคาราวะ ตร.ต้องไม่นิ่งเฉยไม่รังแกประชาชน กรณีนายกฯพูดในรายการสนทนาประสาสมัคร เมื่อวันอาทิตย์จาบจ้วงละเมิดอำนาจศาลทำไมตร.ไม่จับกลัวอะไร ขณะนี้เรามีรายชื่อตร.ชั่วไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะจับตร.
ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวว่า ประชาชนต้องช่วยกันจับตา ตร. ให้ดี เพราะตร.ถูกส่งไปอยู่ที่ไหน พังที่นั่น อย่างที่สำนักงาน กกต. มี ตำรวจยศ พ.ต.อ.กับ พ.ต.ท. สองคนไปอยู่ที่กกต. มีการช่วย นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.พลังประชาชน ผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ในขณะที่คนในกกต.เองเขายังไม่กล้าทำ
นอกจากนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งแต่งตั้งนายตร.6 นาย สอบสวนคดี นักการเมืองผู้มีอิทธิพล บุกรุกที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ป่านนี้คดีไปถึงไหนแล้ว ทำไมทำล่าช้า แต่มาเฟียคนนี้นั่งเป็นประธานรัฐสภา อัปลักษณ์ที่สุด
ขณะที่นายพิภพ ธงไชย กล่าวว่า ตำรวจต้องถามตัวเองว่าทำไมประชาชนถึงเกลียด เพราะตำรวจทำเกินกว่าหน้าที่ ที่กฎหมายกำหนด พี่น้องประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ศาลให้เราเปิดถนน ตั้งแต่07.30-16.30 น.แต่ตร.พยายามจะตีความเกินศาลสั่ง ตร.ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ศาลไม่ได้บอกว่าให้เรายุติการชุมนุม ขณะเดียวกันตร.พยายามจ้องจะรื้อเวทีพันธมิตรอีก ใช้อำนาจเกินกว่ากฎหมายกำหนด เกินกว่าศาลสั่ง อย่างนี้ประชาชนจะไม่เกลียดตร.ได้อย่างไร
"เรารู้ว่ามีตำรวจดี ก็มีแต่มักมักถูกย้าย ขณะที่ตร.ชั่ว จะซื้อตำแหน่ง พร้อมรับใช้นักการเมือง ดังนั้นตำรวจ.ที่ดีต้องแสดงตัว กล้าปรากฎตัว ขนาดองค์กร สตช.มีปฎิรูป ตร.ไปแล้ว มีคณะกรรมการ ตร.สุดท้ายยังอยู่ใต้บาทานักการเมือง ตร.อย่ามาโทษพี่น้องประชาชน ตร.ต้องยอมรับว่า ตร.ชั่วมีมากกว่า ตร.ดี”
ศาลสั่งเปิดถนนจันทร์-ศุกร์
วานนี้ (7 ก.ค.) เวลา 17.00 น.ศาลแพ่งมีคำสั่งภายหลังจากที่ได้มีการไต่สวนพยานฝ่ายครูโรงเรียนราชวินิตมัธยมและแกนนำพันธมิตรฯแล้วตามที่ครูโรงเรียนราชวินิตมัธยม ยื่นคำขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานคดีเพื่อบังคับคดีกับแกนนำพันธมิตรฯในการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งที่สั่งให้เปิดพื้นที่ถนนและการจราจรบริเวณถนนพระราม 5 และถนนพิษณุโลก รวมทั้งห้ามใช้เครื่องขยายเสียงที่จะเป็นการรบกวนการเรียนการสอนของครูและนักเรียนราชวินิต มัธยม ตั้งเวลา เวลา 07.30 -16.30 น.ในวันจันทร์-วันศุกร์
ศาลเห็นว่า กรณีที่มีการยื่นคำขอบังคับคดีดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากทั้ง 2 ฝ่ายมีความเข้าใจคาดเคลื่อนในการปฏิบัติตามคำสั่งศาลดังกล่าว ซึ่งศาลได้อธิบายและชี้แจงให้ 2 ฝ่ายทราบแล้วว่า การที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวศาลได้ยึดหลักสิทธิเสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญและสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไปในการใช้ประโยชน์ที่สาธารณะแล้ว
ดังนั้นศาลจึงมีคำสั่งเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า ให้แกนนำพันธมิตรฯได้เปิดเส้นจราจรบนถนนพระราม 5 ไปถึงแยกวัดเบญจมบพิตร และถนนพิษณุโลก ไปจนถึงแยกสะพานชมัยมรุเชษฐ์ และแยกนางเลิ้งทุกช่องทางจราจร ตั้งแต่เวลา 05.00 -18.00 น. ในวันจันทร์ - วันศุกร์ และหากเวทีกีดขวางเส้นทางการจราจรในช่วงเวลาดังกล่าวก็ให้จัดการหรือย้าย เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดและใช้ช่องทางจราจรดังกล่าว รวมทั้งหากมีสิ่งที่จัดทำหรือจัดตั้งขึ้นโดยแกนนำพันธมิตรฯ ก็ให้จัดการหรือย้ายวัตถุดังกล่าวด้วย ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ให้ปิดการจราจรได้ตลอดทั้ง 2 วัน และให้เคลื่อนย้าย เวทีหรือสิ่งของ ของจำเลย ออกจากพื้นที่การจราจรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ส่วนเรื่องเสียงให้ยึดคำสั่งเดิม คือห้ามใช้เสียงช่วงเวลา 07.30-16.30 ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ โดยคำสั่งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.51 จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ส่วนข้อห้ามเรื่องการใช้เครื่องขยายเสียงยังให้เป็นไปตามคำสั่งศาลเดิม
ส่วนคำขอให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ในชั้นนี้ศาลเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็น อีกทั้งยังจะต้องรอฟังผลว่า แกนนำพันธมิตรฯ จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่มีวันนี้อีกด้วย จึงมีคำสั่งให้ยกคำขอดังกล่าว
ย้ายกลับไปปักหลักสะพานมัฆวาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นมาประกาศบนเวทีหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยได้ถามย้ำว่า สู้ไม่สู้ ซึ่งมีเสียงตอบรับยืนยันเจตนารมณ์อย่างมั่นคง ว่า “สู้” ด้วยเสียงกึกก้อง จากนั้น นายสนธิ ได้ประกาศว่า คำสั่งศาลแพ่ง แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็พร้อมจะปฏิบัติตาม พร้อมกับกล่าวว่า “ดังนั้น ให้ทุกคนลุกขึ้นแล้วตามผมมา ไปปักหลักที่สะพานมัฆวานกัน” จากนั้น นายสนธิ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ อีกคนได้เดินนำหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมมุ่งหน้าไปสะพานมัฆวาน ทันที ในเวลาประมาณ 21.05 น.
ในระหว่างเคลื่อนขบวนได้มีกลุ่ม นปก.ฉวยโอกาสเข้ามาก่อกวนจากทางด้านมหาวิทยาลัยราชมงคลพระนคร ทำให้การ์ดต้องรีบเข้าไปกันตัวออกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หัวขบวนของพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนออกจากทำเนียบรัฐบาล ได้ไปถึงสะพานมัฆวาน เมื่อเวลา 21.20 น.โดยมี นายสุริยะใส กตะศิลา และ นายสำราญ รอดเพชร ขึ้นรถเครื่องเสียงคอยประกาศทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม เมื่อไปถึงได้นั่งลงบริเวณสะพานมัฆวาน และให้ผู้ชุมนุมกระจายไปตามถนนราชดำเนินมาทางแยกมิสกวัน
ต่อมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงกับผู้ชุมนุม ว่า ตามคำสั่งศาลแพ่งนั้น ได้ห้ามพันธมิตรฯ ปิดถนนพิษณุโลก และถนนพระราม 5 ในเวลา 05.00-18.00 น. แต่ไม่ได้ห้ามปิดนถนนราชดำเนิน เพราะฉะนั้นการกลับมาที่สะพานมัฆวาน จึงไม่ถือว่าขัดคำสั่งศาล
หลังจากนั้น พล.ต.จำลอง ได้ให้ผู้ชุมนุมพักผ่อนกันได้ ส่วนการขนย้ายข้าวของ เครื่องเสียง จากหน้าทำเนียบไปยังสะพานมัฆวาน จะเสร็จภายในคืนนี้ โดยรูปแบบการชุมนุมจะคล้ายกับปี 2549 คือ มีเวทีปราศรัยอยู่บนสะพานมัฆวาน และผู้ชุมนุมอยู่บนราชดำเนินกระจายมาทางแยกมิกสกวัน
จากนั้น เวลาประมาณ 21.40 น.นายสนธิ ได้ขึ้นปราศรัยว่า ถ้าทางตำรวจยังมีการกลั่นแกล้งฟ้องร้องดำเนินคดีดับพันธมิตรฯ ก็จะย้ายการชุมนุมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ซึ่งอาจจะเป็นถนนสีลม หรือหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากแยกปทุมวันถึงราชประสงค์
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ( 8 ก.ค.) มีเรื่องสำคัญ 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องติดตาม คือ 1.การจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกของกัมพูชา 2.ศาลฎีกาจะตัดสินคดีใบแดงของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช 3.การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าแถลงการร่วมไทย-กัมพูชา ที่ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เซ็นไปเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.นั้น ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หรือไม่
ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลวันนี้
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า หลังจากได้เดินทางไปศาลแพ่งรัชดา พร้อมกับแกนนำพันธมิตรฯ และ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ยกคำร้อง พร้อมกับยื่นขอทุเลาการบังคับคดี เรื่องคำให้การของจำเลยทั้ง 6 คน ซึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และยื่นคัดค้านการขอตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เนื่องจากแกนนำพันธมิตรฯ ตีความว่า ศาลสั่งให้เปิดการจราจร และงดใช้เครื่องเสียง ช่วงเวลา 07.30-16.30 น.แต่ทางตำรวจตีความว่า แกนนำพันธมิตรฯ ต้องเปิดการจราจรตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ปรากฏว่า ศาลได้พิจารณาว่า ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.ให้เราเปิดช่องทางการจราจรทุกช่อง พร้อมกับรื้อเวทีไม่ให้กีดขวางอยู่บนถนนเส้นนี้ รวมทั้งไม่สามารถกางเต็นท์ได้ หรือใครจะมายืนบริเวณนี้ก็ไม่ได้
นายสุวัตร กล่าวว่า หลังจากศาลพิพากษาแบบนี้แล้ว ตนก็เดินเซ็งออกมา แต่เรายังไม่ยอม เพราะพรุ่งนี้จะไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ยกคำร้อง และขอลุเลาการบังคับคดีอีกครั้ง
วานนี้ (7 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 10.00 น.กลุ่มผู้ชุมชุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายศรัณญู วงศ์กระจ่าง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ขาดเพียง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดปักหลักเปิดการปราศรัย โดยใช้รถโมบายกระจายเสียงขนาดใหญ่ โจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 โดยเฉพาะการทวงถามถึงความคืบหน้าคดีต่างๆของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมี พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
ตำรวจวางกำลังเข้ม
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรทยอยเดินทางมาตั้งแต่เวลาประมาณ 08.30 น.โดยต่างคนต่างมา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องใช้ราวเหล็กกั้นตลอดแนวถนน โดยมีกำลังตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (บก.น.6) และกองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (บก.ตปพ.)ยืนปักหลักป้องกันเหตุอยู่ด้านหน้าและโดยรอบประมาณ 450 นาย ส่วนภายใน ตร.ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ประมาณ 300 นาย โดยมี พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบก.ตปพ. และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทำงานอยู่ภายใน ตร.มายืนสังเกตการณ์อยู่โดยรอบ ส่วนการจราจรด้านหน้าต้องมีการปิดไปโดยปริยาย เพราะกลุ่มพันธมิตรเข้ามาครอบครองพื้นที่ถนนเกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สตช.ไม่ได้เปิดประตูให้พันธมิตรฯ เข้าไปยื่นหนังสือ จนเวลาประมาณ 10.00 น. มีประชาชนมารวมตัวกันที่ถนนพระราม 1 หน้า สตช. หลายหมื่นคน จึงมีการปิดถนนพระราม 1 ตั้งแต่แยกอังรีดูนังต์ ถึงแยกเพลินจิต เป็นสถานที่ชุมนุมปราศรัยชั่วคราว โดยมีนายศรัณยู วงศ์กระจ่าง ดาราชื่อดัง และนางสาวอัญชลี ไพรีรัก ขึ้นเวทีชั่วคราวบนรถบรรทุก ทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุมเพื่อไม่ให้มีการทำลายต้นไม้ริมถนน และชุมนุมกันอย่างสงบ เรียบร้อย
ด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในฐานะ รองโฆษก ตร. เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.อ.วิโรจน์ พลเวช รองผบ.ตร.ได้เรียกตำรวจนครบาลและสันติบาล มาพูดคุยเพื่อรับมือและแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม โดยให้ตำรวจทั้งหมดเก็บอาวุธและใช้ความอดทน อดกลั้น กลับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยให้ยึดหลักวางเฉย แต่หากมีการบุกรุกเข้ามาภายใน ก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมาย
อัดตำรวจกลั่นแกล้งประชาชน
จนเวลาประมาณ 10.05 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีชั่วคราวว่า การมาปราศรัยที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ที่ตนมาแต่ละครั้งล้วนเป็นเพราะประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม และตนรู้ว่า ตำรวจคนไหนที่กลั่นแกล้งประชาชน ตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมตำรวจที่คอยจัดการกับตน คือ พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ และวันนี้ คือพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ซึ่งเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังรถเครื่องเสียงก่อกวนพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานฯ ด้วย ขอให้พี่น้องประชาชนจำชื่อไว้ด้วย
หลังจากนั้นนายสนธิ ได้เปิดโปงถึงความพยายามที่จะช่วยเหลือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.สำนักนายกฯ ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเอาพล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนมาดูแลคดีนี้
ทั้งนี้ นายสนธิ กล่าวว่า ที่มารวมตัวกันครั้งนี้ เรื่องเดียวที่อยากจะขอคือ ให้ตำรวจยึดถือความยุติธรรมให้แน่วแน่ ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างรัฐบาลหรือมาเข้าข้างพันธมิตรฯ
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวด้วยว่า หากตำรวจยังไม่หยุดกลั่นแกล้งประชาชน โดยเฉพาะ พล.ต.อ.จงรัก นั้นพันธมิตรฯจะมาปักหลักชุมนุมหน้าสตช.โดยปิดถนนตั้งแต่หน้าห้างสยามพารากอน ไปจนถึงแยกเพลินจิต ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ไม่ได้ต้องการมารบกวนร้านค้าที่อยู่ในบริเวณนั้นแต่อย่างใด แต่อาจต้องมาด้วยความจำเป็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 11.50 น. นายสนธิ ได้ชักชวนให้กลุ่มพันธมิตรเดินทางกลับไปปักหลักหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยระหว่างนั้น นายศรัณญู ได้ชักชวนให้กลุ่มพันธมิตรที่มาร้องเพลง “ความฝันอันสูงสุด” และ “เราสู้” จากนั้น นายวสันต์ สิทธิเขต ได้ขึ้นอ่านกวี ซึ่งมีใจความด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข กล่าวว่า ในยุคนี้ตำรวจไทยตกต่ำที่สุดแล้ว ขนาดตัวเลขคนมาชุมนุมยังโกหก หลายเรื่องตำรวจไม่ทำ เช่น กรณีหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งยังไม่ทำเลย จิตสำนึกตำรวจอยู่ตรงไหน ทำไมคดีหมิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงรีบทำ ตำรวจไทยกลัวหัวหด ขนาดไอ้ปื๊ดยิงดาบยิ้มทั้งเครื่องแบบ ทำไมไม่ลากคอมันเข้าคุก ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พิทักษ์ประชาชน หมวกที่ใส่ รองเท้า เข็มขัด ดาวบนบ่า เป็นเงินภาษีประชาชนทั้งนั้น
ชื่อสำนักงาน ตร.แห่งชาติ นาย ตร.ชั้นผู้ใหญ่รู้ไหมว่า ชาติ แปลว่าอะไร น่าอายไหมพี่น้องประชาชนรักชาติ และรักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เรียกร้องให้แต่ตำรวจไม่รักชาติ วันนี้เราทำหน้าที่เพื่อชาติแต่กลับไม่อาย เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง ไปอยู่ที่ไหน เป็นชายชาติทหารไม่อายสุภาพสตรีที่กล้าต่อสู้ ถ้าตร.ไม่ยุติธรรม คดีอัยการไปสู่ศาลมันก็ไม่ยุติธรรม ยิ่งถ้ามีรัฐบาลเลว ตร.เลว เราก็มาไล่ แต่ ตร.ดีเราคาราวะ ตร.ต้องไม่นิ่งเฉยไม่รังแกประชาชน กรณีนายกฯพูดในรายการสนทนาประสาสมัคร เมื่อวันอาทิตย์จาบจ้วงละเมิดอำนาจศาลทำไมตร.ไม่จับกลัวอะไร ขณะนี้เรามีรายชื่อตร.ชั่วไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะจับตร.
ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวว่า ประชาชนต้องช่วยกันจับตา ตร. ให้ดี เพราะตร.ถูกส่งไปอยู่ที่ไหน พังที่นั่น อย่างที่สำนักงาน กกต. มี ตำรวจยศ พ.ต.อ.กับ พ.ต.ท. สองคนไปอยู่ที่กกต. มีการช่วย นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.พลังประชาชน ผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ในขณะที่คนในกกต.เองเขายังไม่กล้าทำ
นอกจากนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งแต่งตั้งนายตร.6 นาย สอบสวนคดี นักการเมืองผู้มีอิทธิพล บุกรุกที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ป่านนี้คดีไปถึงไหนแล้ว ทำไมทำล่าช้า แต่มาเฟียคนนี้นั่งเป็นประธานรัฐสภา อัปลักษณ์ที่สุด
ขณะที่นายพิภพ ธงไชย กล่าวว่า ตำรวจต้องถามตัวเองว่าทำไมประชาชนถึงเกลียด เพราะตำรวจทำเกินกว่าหน้าที่ ที่กฎหมายกำหนด พี่น้องประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ศาลให้เราเปิดถนน ตั้งแต่07.30-16.30 น.แต่ตร.พยายามจะตีความเกินศาลสั่ง ตร.ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ศาลไม่ได้บอกว่าให้เรายุติการชุมนุม ขณะเดียวกันตร.พยายามจ้องจะรื้อเวทีพันธมิตรอีก ใช้อำนาจเกินกว่ากฎหมายกำหนด เกินกว่าศาลสั่ง อย่างนี้ประชาชนจะไม่เกลียดตร.ได้อย่างไร
"เรารู้ว่ามีตำรวจดี ก็มีแต่มักมักถูกย้าย ขณะที่ตร.ชั่ว จะซื้อตำแหน่ง พร้อมรับใช้นักการเมือง ดังนั้นตำรวจ.ที่ดีต้องแสดงตัว กล้าปรากฎตัว ขนาดองค์กร สตช.มีปฎิรูป ตร.ไปแล้ว มีคณะกรรมการ ตร.สุดท้ายยังอยู่ใต้บาทานักการเมือง ตร.อย่ามาโทษพี่น้องประชาชน ตร.ต้องยอมรับว่า ตร.ชั่วมีมากกว่า ตร.ดี”
ศาลสั่งเปิดถนนจันทร์-ศุกร์
วานนี้ (7 ก.ค.) เวลา 17.00 น.ศาลแพ่งมีคำสั่งภายหลังจากที่ได้มีการไต่สวนพยานฝ่ายครูโรงเรียนราชวินิตมัธยมและแกนนำพันธมิตรฯแล้วตามที่ครูโรงเรียนราชวินิตมัธยม ยื่นคำขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานคดีเพื่อบังคับคดีกับแกนนำพันธมิตรฯในการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งที่สั่งให้เปิดพื้นที่ถนนและการจราจรบริเวณถนนพระราม 5 และถนนพิษณุโลก รวมทั้งห้ามใช้เครื่องขยายเสียงที่จะเป็นการรบกวนการเรียนการสอนของครูและนักเรียนราชวินิต มัธยม ตั้งเวลา เวลา 07.30 -16.30 น.ในวันจันทร์-วันศุกร์
ศาลเห็นว่า กรณีที่มีการยื่นคำขอบังคับคดีดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากทั้ง 2 ฝ่ายมีความเข้าใจคาดเคลื่อนในการปฏิบัติตามคำสั่งศาลดังกล่าว ซึ่งศาลได้อธิบายและชี้แจงให้ 2 ฝ่ายทราบแล้วว่า การที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวศาลได้ยึดหลักสิทธิเสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญและสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไปในการใช้ประโยชน์ที่สาธารณะแล้ว
ดังนั้นศาลจึงมีคำสั่งเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า ให้แกนนำพันธมิตรฯได้เปิดเส้นจราจรบนถนนพระราม 5 ไปถึงแยกวัดเบญจมบพิตร และถนนพิษณุโลก ไปจนถึงแยกสะพานชมัยมรุเชษฐ์ และแยกนางเลิ้งทุกช่องทางจราจร ตั้งแต่เวลา 05.00 -18.00 น. ในวันจันทร์ - วันศุกร์ และหากเวทีกีดขวางเส้นทางการจราจรในช่วงเวลาดังกล่าวก็ให้จัดการหรือย้าย เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดและใช้ช่องทางจราจรดังกล่าว รวมทั้งหากมีสิ่งที่จัดทำหรือจัดตั้งขึ้นโดยแกนนำพันธมิตรฯ ก็ให้จัดการหรือย้ายวัตถุดังกล่าวด้วย ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ให้ปิดการจราจรได้ตลอดทั้ง 2 วัน และให้เคลื่อนย้าย เวทีหรือสิ่งของ ของจำเลย ออกจากพื้นที่การจราจรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ส่วนเรื่องเสียงให้ยึดคำสั่งเดิม คือห้ามใช้เสียงช่วงเวลา 07.30-16.30 ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ โดยคำสั่งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.51 จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ส่วนข้อห้ามเรื่องการใช้เครื่องขยายเสียงยังให้เป็นไปตามคำสั่งศาลเดิม
ส่วนคำขอให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ในชั้นนี้ศาลเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็น อีกทั้งยังจะต้องรอฟังผลว่า แกนนำพันธมิตรฯ จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่มีวันนี้อีกด้วย จึงมีคำสั่งให้ยกคำขอดังกล่าว
ย้ายกลับไปปักหลักสะพานมัฆวาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นมาประกาศบนเวทีหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยได้ถามย้ำว่า สู้ไม่สู้ ซึ่งมีเสียงตอบรับยืนยันเจตนารมณ์อย่างมั่นคง ว่า “สู้” ด้วยเสียงกึกก้อง จากนั้น นายสนธิ ได้ประกาศว่า คำสั่งศาลแพ่ง แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็พร้อมจะปฏิบัติตาม พร้อมกับกล่าวว่า “ดังนั้น ให้ทุกคนลุกขึ้นแล้วตามผมมา ไปปักหลักที่สะพานมัฆวานกัน” จากนั้น นายสนธิ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ อีกคนได้เดินนำหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมมุ่งหน้าไปสะพานมัฆวาน ทันที ในเวลาประมาณ 21.05 น.
ในระหว่างเคลื่อนขบวนได้มีกลุ่ม นปก.ฉวยโอกาสเข้ามาก่อกวนจากทางด้านมหาวิทยาลัยราชมงคลพระนคร ทำให้การ์ดต้องรีบเข้าไปกันตัวออกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หัวขบวนของพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนออกจากทำเนียบรัฐบาล ได้ไปถึงสะพานมัฆวาน เมื่อเวลา 21.20 น.โดยมี นายสุริยะใส กตะศิลา และ นายสำราญ รอดเพชร ขึ้นรถเครื่องเสียงคอยประกาศทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม เมื่อไปถึงได้นั่งลงบริเวณสะพานมัฆวาน และให้ผู้ชุมนุมกระจายไปตามถนนราชดำเนินมาทางแยกมิสกวัน
ต่อมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงกับผู้ชุมนุม ว่า ตามคำสั่งศาลแพ่งนั้น ได้ห้ามพันธมิตรฯ ปิดถนนพิษณุโลก และถนนพระราม 5 ในเวลา 05.00-18.00 น. แต่ไม่ได้ห้ามปิดนถนนราชดำเนิน เพราะฉะนั้นการกลับมาที่สะพานมัฆวาน จึงไม่ถือว่าขัดคำสั่งศาล
หลังจากนั้น พล.ต.จำลอง ได้ให้ผู้ชุมนุมพักผ่อนกันได้ ส่วนการขนย้ายข้าวของ เครื่องเสียง จากหน้าทำเนียบไปยังสะพานมัฆวาน จะเสร็จภายในคืนนี้ โดยรูปแบบการชุมนุมจะคล้ายกับปี 2549 คือ มีเวทีปราศรัยอยู่บนสะพานมัฆวาน และผู้ชุมนุมอยู่บนราชดำเนินกระจายมาทางแยกมิกสกวัน
จากนั้น เวลาประมาณ 21.40 น.นายสนธิ ได้ขึ้นปราศรัยว่า ถ้าทางตำรวจยังมีการกลั่นแกล้งฟ้องร้องดำเนินคดีดับพันธมิตรฯ ก็จะย้ายการชุมนุมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ซึ่งอาจจะเป็นถนนสีลม หรือหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากแยกปทุมวันถึงราชประสงค์
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ( 8 ก.ค.) มีเรื่องสำคัญ 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องติดตาม คือ 1.การจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกของกัมพูชา 2.ศาลฎีกาจะตัดสินคดีใบแดงของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช 3.การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าแถลงการร่วมไทย-กัมพูชา ที่ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เซ็นไปเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.นั้น ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หรือไม่
ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลวันนี้
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า หลังจากได้เดินทางไปศาลแพ่งรัชดา พร้อมกับแกนนำพันธมิตรฯ และ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ยกคำร้อง พร้อมกับยื่นขอทุเลาการบังคับคดี เรื่องคำให้การของจำเลยทั้ง 6 คน ซึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และยื่นคัดค้านการขอตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เนื่องจากแกนนำพันธมิตรฯ ตีความว่า ศาลสั่งให้เปิดการจราจร และงดใช้เครื่องเสียง ช่วงเวลา 07.30-16.30 น.แต่ทางตำรวจตีความว่า แกนนำพันธมิตรฯ ต้องเปิดการจราจรตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ปรากฏว่า ศาลได้พิจารณาว่า ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.ให้เราเปิดช่องทางการจราจรทุกช่อง พร้อมกับรื้อเวทีไม่ให้กีดขวางอยู่บนถนนเส้นนี้ รวมทั้งไม่สามารถกางเต็นท์ได้ หรือใครจะมายืนบริเวณนี้ก็ไม่ได้
นายสุวัตร กล่าวว่า หลังจากศาลพิพากษาแบบนี้แล้ว ตนก็เดินเซ็งออกมา แต่เรายังไม่ยอม เพราะพรุ่งนี้จะไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ยกคำร้อง และขอลุเลาการบังคับคดีอีกครั้ง