ผู้จัดการรายวัน - สศก.เตือนเกษตรกรอย่าชะล่าใจถึงแม้ขายสินค้าได้ราคาสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็ปรับตัวสูงตาม โดยเฉพาะน้ำมัน ปุ๋ยและอัตราเงินเฟ้อ
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่า จากการสรุปสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนมิถุนายน 2551 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 พบว่าราคาสินค้าเกษตรมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.32 เนื่องจากสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ในปีนี้อยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งสินค้าหลักที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเจ้านาปี ข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา สุกร ไก่เนื้อและไข่ไก่ ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเหนียวนาปี สับปะรด มังคุด กล้วยไม้และโคเนื้อ ด้านผลผลิตสินค้าเกษตรในปีนี้ส่วนใหญ่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 9.50 โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ข้าวนาปรัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2551 พบว่าดัชนีราคาสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 0.25 และดัชนีผลผลิตลดลงร้อยละ 14.27 เป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรในช่วงนี้เริ่มชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสถานการณ์ภาคเกษตรไทยในปีนี้ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งด้านผลผลิตและราคา แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงอยู่มากโดยเฉพาะต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรอาจมีรายได้ลดลง
ทั้งนี้ สศก.ได้วิเคราะห์รายได้ของเกษตรกรจากการขายข้าว ณ ปัจจุบันในราคา 11,000 บาทต่อเกวียน เมื่อนำมาหักลบกับค่าใช้จ่ายและต้นทุนจากปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้แก่ น้ำมันที่ราคาลิตรละ 43.44 บาท และปุ๋ยอีกตันละ 25,000 บาท พบว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3.2% แต่ถ้านำมาหักกับค่าเงินเฟ้อ จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจริงเพียง 2.99% และถ้าประมาณการรายได้ของเกษตรกรในอนาคต ถ้าน้ำมันขึ้นไปที่ลิตรละ 50 บาท ปุ๋ยตันละ 25,000 บาท ขณะที่ขายข้าวเปลือกได้ราคาตันละ 15,000 บาท เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 6.8% ถ้านำมาหักค่าเงินเฟ้อออกจะลดลงเหลือ 6.2% เท่านั้น
“ถึงแม้เกษตรกรจะสามารถขายสินค้าได้ราคาสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะค่าใช้จ่ายอื่นๆ ยังจะตามมาอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมันและราคาปุ๋ย” นายอภิชาต กล่าว
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่า จากการสรุปสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนมิถุนายน 2551 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 พบว่าราคาสินค้าเกษตรมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.32 เนื่องจากสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ในปีนี้อยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งสินค้าหลักที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเจ้านาปี ข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา สุกร ไก่เนื้อและไข่ไก่ ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเหนียวนาปี สับปะรด มังคุด กล้วยไม้และโคเนื้อ ด้านผลผลิตสินค้าเกษตรในปีนี้ส่วนใหญ่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 9.50 โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ข้าวนาปรัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2551 พบว่าดัชนีราคาสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 0.25 และดัชนีผลผลิตลดลงร้อยละ 14.27 เป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรในช่วงนี้เริ่มชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสถานการณ์ภาคเกษตรไทยในปีนี้ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งด้านผลผลิตและราคา แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงอยู่มากโดยเฉพาะต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรอาจมีรายได้ลดลง
ทั้งนี้ สศก.ได้วิเคราะห์รายได้ของเกษตรกรจากการขายข้าว ณ ปัจจุบันในราคา 11,000 บาทต่อเกวียน เมื่อนำมาหักลบกับค่าใช้จ่ายและต้นทุนจากปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้แก่ น้ำมันที่ราคาลิตรละ 43.44 บาท และปุ๋ยอีกตันละ 25,000 บาท พบว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3.2% แต่ถ้านำมาหักกับค่าเงินเฟ้อ จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจริงเพียง 2.99% และถ้าประมาณการรายได้ของเกษตรกรในอนาคต ถ้าน้ำมันขึ้นไปที่ลิตรละ 50 บาท ปุ๋ยตันละ 25,000 บาท ขณะที่ขายข้าวเปลือกได้ราคาตันละ 15,000 บาท เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 6.8% ถ้านำมาหักค่าเงินเฟ้อออกจะลดลงเหลือ 6.2% เท่านั้น
“ถึงแม้เกษตรกรจะสามารถขายสินค้าได้ราคาสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะค่าใช้จ่ายอื่นๆ ยังจะตามมาอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมันและราคาปุ๋ย” นายอภิชาต กล่าว
