ผู้จัดการรายวัน - คตส. ทิ้งทวน อัดอัยการสูงสุด หลอกให้ถ่ายเอกสาร 2 แสนแผ่น สำนวนคดีเอื้อประโยชน์ "ทักษิณ" 7.6 หมื่นล้านเพื่อส่งศาลฎีกา จนเจ้าหน้าที่เป็นลมคาที่ 2 คน สุดท้ายกลับลำยังไม่ส่งฟ้อง งานอำลาครบวาระประชาชนกว่า 4 พันแห่ร่วมล้นหลาม “อมร” ยกเป็นผลงานชิ้นเดียวจากรัฐประหาร พิรุธเชื่อมโยง 4 เหตุการณ์ประหลาดระหว่าง คตส.-อัยการ-คมช.และการออกหมายจับอดีตอธิบดีเอสไอ-เสียอธิปไตยเขาพระวิหาร กรรมการคตส.ขุดโคตรโกงแสนล้านฟ้องประชาชน เตือนภัยทุจริตทำสิ้นชาติ “ม็อบเติมเงิน” ป่วนยกโลงศพประท้วงพร้อมเผาหน้า มธ.
เวลา 09.00 น. วานนี้ (30 มิ.ย.) คณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ประชุมนัดสุดท้ายอย่างพร้อมเพรียง เพื่อสรุปงานสำนวนและงานธุรการ ก่อนส่งมอบต่อให้ คณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เนื่องจาก คตส. ครบวาระการทำหน้าที่ ทั้งนี้ก่อนการประชุมได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนบันทึกภาพด้วย ซึ่งกรรมการแต่ละคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้ม
นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. แถลงว่า ผลการประชุมคตส.ชุดใหญ่นัดสุดท้าย งาน คตส.ได้ทำโดยสำเร็จลุล่วง โดยที่ประชุมได้มีการประชุมรับรองงานทั้งหมดว่า มีเรื่องที่เข้าสู่ชั้นศาลแล้ว 5 คดี ส่งอัยการ 7 คดี ส่วนที่เหลือเป็นคดีที่พบความไม่สมบูรณ์ และต้องตั้งคณะทำงานร่วม รวมทั้งเรื่องที่เสนอให้มีการไต่สวน และพิจารณาไต่สวน โดย ปปช. รับไปทั้งหมด (ดูตาราง...สรุปผลงาน คตส.)
นายสัก กล่าวอีกว่า คตส.ขอตั้งข้อสังเกต ก่อนที่จะหมดวาระการทำงานเรื่อง กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทรัพย์จากบริษัทชินคอร์ปฯ โดยมิสมควร สืบเนื่องจากการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งหน้าที่หรือมีฐานะร่ำรวยผิดปกติของทรัพย์จาก 7.6 หมื่นล้าน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่ง คตส. รู้สึกว่าถูกอัยการหลอกลวงตั้งแต่วันที่ 25-27 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้เครื่องถ่ายเอกสาร 10 เครื่อง ถ่ายเอกสารทั้งหมด 2 แสนแผ่น จนบุคลากรเป็นลมคาเครื่องถึง 2 คน เครือถ่ายเอกสารทั้ง 10 เครื่อง ติดขัดและเสีย
“ทั้งหมดนี้เกิดจากการหลอกลวงของอัยการ ที่บอกว่าจะส่งให้อัยการเซ็นรับรอง เพื่อส่งให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้ส่ง คตส.ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ในหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นทนายของแผ่นดิน” นายสัก กล่าว
ส่วนกรณีที่อัยการสูงสุด ไม่ทำหน้าที่ต่อจะขัดกฎหมายหรือไม่ นายสัก กล่าวว่า ก่อนหน้านี้รองอัยการสูงสุดคนหนึ่งบอกว่าให้ คตส.หยุดทำงาน แต่โชคดีที่ คตส.ไม่หยุดทำงาน ถ้าหยุดถือว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่
นายสัก กล่าวถึงเรื่องเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท คตส. ยืนยันว่า ไม่ได้แตะต้อง แต่ คตส.ใช้อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเงินจากการขายหุ้นบวกเงินปันผลที่ได้มาเท่านั้น ไม่ได้เอาทรัพย์ส่วนอื่นมา ซึ่งที่ผ่านมา ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาส่งคำร้องคัดค้าน เพื่อพิสูจน์ภายใน 60 วัน และ คตส.ไม่สามารถเพิกถอนคำสั่งได้ โดยภาระพิสูจน์ยังตกอยู่กับผู้ถูกกล่าวหา และเป็นหน้าที่พิสูจน์ของฝ่ายจำเลย ทาง คตส. หรือบุคคคลอื่นไม่มีหน้าที่พิสูจน์แทนจำเลย ซึ่งการทำหน้าที่ของ คตส.เป็นไปตามกฎหมายตามประกาศคปค.ที่ 30 ตามกฎหมาย ปปช.และกฎหมายอาญาว่าด้วยคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มติศาล รธน.ช่วยสานคดีเช็คบิลต่อ
ต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยประกาศคปค.ที่แต่งตั้ง และต่ออายุ คตส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ นั้น นายสัก กล่าวว่า มติทุกอย่างของ คตส.ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ต่อไปนี้ คดีทั้งหมดจะเดินหน้าต่อได้ โดยเฉพาะคดีหลีกเลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป และคดี ออกสลากพิเศษ เลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว (หวยบนดิน) ซึ่งคดีนี้ คตส.เป็นโจทก์ และ ศาลจะนัดสืบพยานในเดือนก.คง โดย คตส. ถูกหมายเรียกให้การที่ศาลฎีกา คือ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. และนายกล้านรงค์ จันทิก
ด้าน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรรมการ คตส. กล่าวถึงการต่ออายุ คตส.ไม่ขัดต่อกฎหมาย ว่า ผู้สื่อข่าวจะต้องแสดงความยินดีกับ คตส. เรื่องนี้ตนรู้ล่วงหน้าแล้ว
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ คตส. กล่าวว่า แม้ คตส. จะหมดวาระแต่ก็ไม่ได้ โล่งใจ เพราะยังต้องทำหน้าที่ต่อเนื่อง ในฐานะ กรรมการ ป.ป.ช. โดยคดีที่อัยการสูงสุด ไม่สั่งฟ้องจะต้องคณะกรรมการ คตส. บางคนและเจ้าหน้าที่ สตง. ไปเป็นคณะทำงาน แต่ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง และนายอำนวย ธันธรา คงไม่สามารถไปช่วยงานได้ เพราะต้องกลับไปทำหน้าที่ศาลตามเดิม
ทั้งนี้ ทุกคดีที่ ป.ป.ช. รับมอบจาก คตส. ซึ่งมีการไต่สวนแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินการ ป.ป.ช. ต้องรับไปตรวจสอบทุกคดี รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีของ คตส. ที่ถูกผู้ถูกกล่าวหาฟ้องกลับทั้งคดีแพ่งและอาญา อยู่ในงบประมาณของ ป.ป.ช.. ตามที่กฎหมายกำหนด
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คดีที่ ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการต่อ อาทิ เซ็นทรัลแล็บ โครงการบ้านเอื้ออาทรบางโครงการ โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ โครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม. ซึ่งกรณีนี้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้วเสร็จ รอเพียงการลงมติจากที่ประชุมใหญ่ คตส. แต่ไม่สามารถพิจารณาได้ทัน จึงเป็นหน้าที่ ของ ป.ป.ช. ที่จะรับเรื่องต่อไป รวมถึงคดีการซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องเดิมที่ต่อเนื่องมาจากคดีเอื้อประโยชน์ ร่ำรวยผิดปกติ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอข้อมูล ข้อเท็จจริงจากต่างประเทศ
สำหรับบรรยากาศที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เจ้าหน้าที่สตง.ได้นำดอกไม้มามอบให้คณะกรรมการคตส.ทั้ง 10 คน เพื่อเป็นกำลังใจและส่งท้ายในโอกาสหมดวาระการทำงาน
แห่ร่วม คตส.ส่งมอบงานล้นหลาม
เมื่อ เวลา 13.00 น. ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คตส. จัดงานส่งมอบหน้าที่และสำนวนการสอบสวนทั้งหมดที่ยังไม่ได้ส่งฟ้องศาลให้กับป.ป.ช. โดยมีประชาชนเข้าร่วมงานปัจฉิมบทของพันธกิจการตรวจสอบแทนประชาชน แน่นหอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ กว่า 4 พันคน จนทางมหาวิทยาลัย ต้องเปิดหอประชุมเล็ก เป็นการด่วนเพื่อให้ประชาชนเข้าฟังการสัมมนาครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคัก ประชาชนได้ร่วมกันลงชื่อรับหนังสือปัจจิมบท คตส.ซึ่งเป็นการสรุปผลงานคตส.1 ปี 9 เดือนที่คตส.พิมพ์ไว้ 12,000 เล่ม ภายในงานยังมีผู้ให้กำลังใจคตส. มาคอยมอบช่อดอกไม้พร้อมกับตะโกนคำว่าทักษิณติดคุกเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม การจัดงานครั้งนี้ ปรากฏว่าไม่มีนายทหารที่เคยเป็นอดีตคณะมนตรีความมั่นแห่งชาติ (คมช.) ที่เป็นคนแต่งตั้ง คตส. มาร่วมงานแต่อย่างใด ทั้งที่ สตง.ได้ออกบัตรเชิญ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.มาร่วมงานด้วย
สำหรับบรรยากาศบนเวทีก่อนที่จะมีการอภิปราย นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ ได้ร่ายบทกวี “คาราวะ คตส.” ที่แต่งขึ้นเพื่อให้กำลังใจคตส.รวมทั้งการเดี่ยวเปียโนของครอบครัวนายณัฐ ยนต์รักษ์ นักเปียโนชื่อดังที่ร่วมกันร้องเพลงให้กำลังใจคตส.เช่น เพลงเราสู้ โดยมีประชาชนร่วมกันร้องเพลงคลอดังลั่นหอประชุม
หลังจากนั้น เป็นการอภิปรายเรื่อง “เงินของประชาชนนั้นเป็นเงินของแผ่นดิน” โดยนายอมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฏีกา นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนและการปฏิรูปการเมือง เป็นผู้กล่าวปาถกฐาพิเศษ ตามด้วยคณะกรรมการ คตส. ทั้ง 10 คน ที่มาเล่าเรื่องกระบวนการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ อุทธาหรณ์ของการใช้อำนาจรัฐในการบริหารประเทศ และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อสาธารณชน
นายอมรกล่าวสรุปใจความได้ว่า การจัดงานวันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ เพราะงานการตรวจสอบของคตส.ถือเป็นผลงานที่เหลืออยู่ของ คปค.เพราะงานอื่นของคปค.ล้มเหลวหมด คตส.รับตรวจสอบโครงการต่างๆรวมทั้งสิ้น 24 คดี ตลอดเวลาที่ทำงานมา คตส.ถูกฟ้องทั้งทางแพ่งและอาญา รวม 24 คดี ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินรวมกว่า 1 แสนล้านบาท
นายอมร ตั้งข้อสังเกตว่า ตลอดการทำงานของ คตส. มีเหตุการณ์ที่น่าสงสัยและเป็นเหตุการณ์ประหลาดที่เป็นปัญหาสี่เรื่อง คือ 1. คตส.กับสำนักงานอัยการสูงสุด 2. คตส.กับ อดีตคมช. 3. อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกับการออกหมายจับของตำรวจ สภ.อ.พระนครศรีอยุธยา และ 4. เหตุการณ์ระหว่างรัฐบาลกับศาลปกครองช่วงวันที่ 23 มิ.ย.ถึง 30 มิ.ย.
นายอมร กล่าวว่า เหตุการณ์แรกกรณีคตส.กับอัยการที่มีปัญหากันในเรื่องข้อกฎหมายซึ่งเถียงกันไปมาแทนที่จะร่วมกันทำงาน แต่กลับมาถกเถียงเรื่องอำนาจการฟ้องโดยต่างฝ่ายต่างอ้างอำนาจตัวเองถือว่าเป็นสิ่งที่แปลก และที่แปลกกว่านั้นคือ บุคคลที่คตส.ฟ้องเป็นจำเลยอัยการกลับจะรับเป็นทนายให้ โดยอ้างว่าเป็นการทำตามกฎหายทั้งที่คตส.ฟ้องเป็นจำเลยแผ่นดิน กลับอัยการกลับไปเป็นทนายแผ่นดินเสียเอง
2. กรณีปัญหาคตส.กับคมช. กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อคตส. ถูกตำรวจออกหมายเรียกและออกหมายจับ แม้ว่าคตส.จะทำหนังสือแจ้งไปยังคมช.แต่ก็เกิดปัญหาเมื่อคมช.บอกว่าไม่รู้เรื่องและไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ถือเป็นสิ่งปกติและแปลกประหลาด
3. กรณีการออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็ถูกย้ายและถูกออกหมายเรียกหมายจับโดยตำรวจสภอ.อยุธยา และได้รับความเห็นชอบออกหมายจับจากศาลอยุธยา จนต้องทำเรื่องขอกลับไปเป็นผู้พิพากษาและอุทธรณ์การออกหมายจับ จนต่อมาศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งอันเป็นคดีแรก
ขุดโคตรโกงแสนล้านแจงประชาชน
ช่วงการเปิดใจคตส.นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคตส. กล่าวว่า พวกตนรับทำหน้าที่ตั้งแต่คปค.ออกคำสั่งมา ได้ทำงานมาตั้งแต่ลำดับ 1-6 ต่อไปก็อยู่ที่ศาล ในลำดับ 7-10 ซึ่งคตส.ทำเสร็จทั้งหมด 11 คดี แล้ววันนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็บอกว่า การทำหน้าที่ คตส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ อยากให้ทุกคนติดตามเรียนรู้ด้วยความ รอบคอบหากทำสำเร็จบ้านเมืองอยู่รอด ถ้าความเป็นกลางหมายถึงการ ไม่รู้ถูกหรือผิดการนอนหลับอยู่ที่บ้านเอาของส่วนรวมมาเป็นของส่วนกลาง ตนก็คงจะไม่เป็นกลางอย่างเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะเอาตนไปฆ่าตนก็ไม่เป็น คนเป็นนักการเมืองต้องถูกตรวจสอบได้ ขึ้นศาลได้และติดคุกได้
ส่วนนายกล้าณรงค์ จันทิก คตส. กล่าวว่า แม้วันนี้จะหมดวาระของคตส. แต่ต้องร่วมมือกับพี่น้องทำงานต่อไป เพื่อให้เรื่องขึ้นสู่ต่อศาลเป็นคดีสุดท้าย ที่บอกไม่หมดภารกิจ เพราะคดีที่ฟ้องศาลแล้ว ก็ต้องสอบพยาน อย่างเรื่องที่ดินรัชดา คตส.ต้องขึ้นไปเบิกความในศาล ยกเว้น 2 คน คือนายอุดม เฟื่องฟุ้ง คตส.กับนายอำนวย ธันธารา คตส. เพราะเป็นศาล แต่เราทั้ง 8 คนทำงานต่อไป
ส่วนคดีอีก 3-4 คดีที่ทำไม่เสร็จปปช.ก็ทำต่อไปและจะตั้งอนุไต่สวนและจะเชิญคตส.เข้าไปร่วมด้วย เรามั่นใจว่าเราทำอย่างถึงที่สุด แม้ใครจะผิดยิ่งใหญ่แค่ไหนก็พร้อมที่จะลากเข้าคุก เซึ่งตอนนี้ก็เหมือนที่ตนเคยเจอสมัย พ.ศ. 2544 ดังนั้นจะรักษาไว้เพื่อปราบนักการเมือง และเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วก็ต้องรับสภาพ และจะสู้ต่อไปเพื่อแผ่นดิน
นายสัก กอแสงเรือง คตส. กล่าวว่า คตส.ทำงานเป็นวันสุดท้ายก็ยังถูกฟ้องอยู่ 20 คดี เพราะต้องการให้เราเบื่อหน่าย ท้อแท้ เกรงกลัว แต่ตรงกันข้าม คตส. 10 คนไม่มีใครเกรงกลัวท้อแท้ แต่เห็นว่าการทำงานคตส.ครั้งนี้ได้รับเกียรติสูงสุด และเมื่อเราให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ขอให้อีกฝ่ายเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน หากทำผิดจริงก็ไม่ควรมีการลอยนวล การดำเนินคดีหยุดกลางคันไม่ได้
นายสัก กล่าวต่อว่า การตรวจสอบเราดูหลักฐานไม่ได้ดูหน้าคน แรงกดดันทุกด้านไม่ได้กดดันคตส. แต่สิ่งที่คตส.ทำคือข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ยุติธรรม คนที่ตัดสินผลงานคตส.คือศาลและเหนือศาลคือประชาชน ถ้าไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ผลงานเหล่านั้นจะไร้ค่า คนทำผิดต้องลงโทษเงินแผ่นดินต้องตกน้ำไม่ไหล
ด้าน นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. กล่าวว่า ตนตื้นตันใจ ตนมั่นใจว่าตนจะอายุยืนเพิ่มขึ้นอีก 20 ปีเมื่อมาเป็นคตส. ส่วนที่ตนถูกฟ้องเป็นเงินแสนล้าน ตนไม่เคยรู้สึกถอดใจเลย แม้การทำงานครั้งนี้จะเป็นการสร้างศัตรูและเสียอิสรภาพของครอบครัวก็พร้อมเสมอ และการทำงาน 1 ปี 9 เดือนก็ไม่เคยมีใครขอร้องให้ช่วยหรือข่มขู่แต่มีโทรศัพท์มาด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายเสมอ
นายนาม กล่าวว่า การเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ทำให้ตนรอบรู้ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นลึกลับซับซ้อนและแผ่ขยายไปในสังคมไทย โดยเฉพาะการทุจริตในเชิงนโยบาย และบุคคลทั่วไปค่อนข้างจะไม่เข้าใจ ถ้ามองผิวเผินเหมือนเขาทำตามกฎหมาย และขอให้คะแนนการทำงานของคตส. 8 คะแนน เพราะว่างานที่ทำมาก็ยังไม่สมบูรณ์และต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วย
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา คตส.และผู้ว่าสตง. กล่าวว่า ทุกๆ คดีทีคตส.ฟ้องนั้นคือความสำเร็จที่ทำเพื่อบ้านเมือง และต้องชื่นชมในความหวังและทุกอย่างต้องอดทนไว้ก่อน เพราะเรื่องที่ไม่ได้ไม่มีใน สตง. สิ่งที่ไม่ได้เปิดเผยโดยคตส.มีอยู่อีกเยอะ และมีอีกหลายเรื่องที่อยู่ในสตง. ถ้าท่านรู้จะตกใจ ตนยังอุทานว่าโหแบบนี้จะกินขวานทั้งเล่มเลยหรือนี่
“อยากฝากบอกนักศึกษาที่ก้มหน้าก้มตาเรียนในมหาวิทยาลัย ว่า บทเรียนเหล่านั้นไร้ประโยชน์หากเธอไม่เงยหน้าขึ้นมา อย่างท่าเรือ เรือเดินทะเล ธนาคาร โรงกลั่นน้ำมันเขาก็เอาไปหมดถ้ามัวคร่ำครวญบทอยู่กับบทเรียน แล้วเงยหน้าขึ้นมาอาจะไม่เห็นทรัพย์สินอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นต้องเงยหน้ามาช่วยกัน” คุณหญิงจารุวรรณ กล่าว
นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ คตส. กล่าวว่า คนพูดว่า คตส.เป็นศัตรูนั้น ก็ขอให้มองว่าคตส.เข้ามาตรวจสอบไม่ได้ต้องการมารังแกใคร แต่มาตรวจสอบตามหลักกฎหมาย ถ้าหากผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก มองว่าคนที่ถูกตรวจสอบก็ยังบริสุทธิ์อยู่ และตนไม่ได้ตั้งเป้าเพื่อทำร้ายใคร เมื่อเราเกิดมาครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียวเลยไม่กลัวอะไร
เตือนภัยทุจริตทำ “สิ้นชาติ”
นายบรรเจิด สิงคเนติ คตส. กล่าวว่า วันนี้คงเป็นภารกิจสุดท้ายกับการทำงานคตส. แต่คงไม่ใช่สุดท้ายในการตรวจสอบ ซึ่งสถาบันเพื่อความโปร่งใสของประเทศแคนนาดา ได้จัดประเทศไทยระดับความโปร่งใสอยู่ระดับที่ 80 จาก 180 ได้ชี้ว่าระดับการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยมีการเข้มข้นรุนแรงในปีนี้ โดยมาจากภาค การเมือง
ทั้งนี้ จากการสังเคราะห์ คือเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย มักอาศัยมติครม.เป็นพื้นฐานในการทุจริต มีการใช้อำนาจของรัฐในการทุจริต และเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็นมติความสัมพันธ์ของประเทศ และการทุจริตมีความซับซ้อน มีการใช้กลไกภาคธุรกิจ ภาคตลาดหลักทรัพย์ โดยอาศัยนักธุรกิจ มีการนำเงินอนาคตมาใช้ อาศัยการตรวจสอบที่รอบคอบ ยากจะหาคนสั่งการ และอาศัยโครงการประชานิยม ปัญหาเกี่ยวกับระบบใช้จ่ายเงินของแผ่นดินมีการต่อท่อมาใช้สายตรงและนำไปสู่ผลกระทบการตรวจสอบโดยตรง เพราะการทุจริตกับการเมืองเป็นคู่แฝดกัน การได้เสียงข้างมากจากระบอบประชาธิปไตยมี 2 ด้าน หากใช้เพื่อสนองต่อประโยชน์ตัวเองเป็นการทรยศต่อบ้านเมือง
“เกาหลีใต้เคยมีสภาพการณ์เหมือนเราในปัจจุบันและเขาเห็นว่าถ้าไม่จัดการอาจสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน เขาจึงลุกขึ้นมาเอาจริงเอาจริงและเอาประธานาธิบดีเข้าคุกไป 2 รายทำให้เกาหลีใต้พัฒนาไปถึงจุดนี้ ซึ่งประเทศไทยถึงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญว่าจะสิ้นชาติหรือให้ชาติเดินหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ตราบใดกระบวนการยุติธรรมไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ตราบนั้นชาติไทยมีโอกาสสิ้นชาติแน่นอน” นายบรรเจิด กล่าว
นายบรรเจิด กล่าวต่อว่า คตส.มาจากอะไรไม่สำคัญแต่เราทำเพื่อความถูกต้องและความเป็นกลาง คตส.ไม่ได้มุ่งหวังฝากหนังสือนี้ไว้ในแผ่นดิน แต่สิ่งที่ฝากไว้คือผลงานแต่ผลงานไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากประชาชนที่ช่วยกันให้กระบวนการยุติธรรมธำรงอยู่ได้ สิ่งที่สร้างสมมานานย่อมไม่สูญหาย
ขอแรงประชาชนหนุนตุลาการ
นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คตส. กล่าวว่า กระบวนการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ไม่ใช่ทุจริตเชิงนโยบายแต่มีนโยบายตั้งการทุจริตตั้งแต่ต้น การคอร์รัปชั่นมีกระบวนการฟอกย้อมให้ใสสะอาด โดยอาศัยรูปแบบร่วมกันมีมติ หรือที่เรียกแบบบ้านๆว่ามีการสุ่มหัวกันมีมติก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ตนเข้ามาก็เพื่อทำให้ชาติสูงขึ้น หากพวกเราช่วยกัน และต้องทำตัวเป็นฉลามไม้กระเหี้ยนกระหือรือช่วนกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น
นายอุดม กล่าวว่า กระบวนการต่างๆ ที่เกิดการทุจริตโดยออกมาจากรูปแบบของการทำตามมติไม่ว่าจะเป็นมติของบอร์ดต่างๆ หรือมติของที่ประชุมแห่งใดแห่งหนึ่งทุกคนก็ล้วนอ้างว่าปฏิบัติตามมติของที่ประชุม โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบไม่ว่าทางแพ่งหรือทางอาญา
“ขอถามว่าเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะปล่อยให้เรื่องนี้ยังดำเนินอยู่ในบ้านเมืองเราหรืออย่างไร ตนมองว่าการกระทำที่ร่วมกันหลายๆ คนที่สร้างความเสียหายให้หน่วยงานรัฐ เป็นความผิดอาญาร้ายแรงมากกว่าคนร้ายที่ปล้นหรือลักทรัพย์สินของคนอื่น เพราะลักษณะความผิดที่เป็นหมู่คณะที่ตั้งกันขึ้นมาตั้งแต่ต้น มีเจตนาทุจริตมีความผิดจึงควรได้รับโทษอาญาที่ร้ายแรง ล่าสุดยังมีโจรใส่สูทเข้ามาคอร์รัปชั่นบ้านเมืองด้วย”
นายอุดม กล่าวต่อว่า เราเชื่อมั่นในคณะกรรมการป.ป.ช.แต่ไม่รู้ว่าต่อไป ป.ป.ช.จะได้รับการส่งเสริมจากอำนาจรัฐให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องได้หรือไม่ จึงอยากให้กำลังใจคตส. และป.ป.ช. และอยากฝากไปยัง ส.ว.ให้ดูแลกฎหมายที่ให้กระบวนการยุติธรรมมีอิสระจริงๆ
นายอุดม กล่าวว่า ตอนนี้เราเป็นนักวิ่งผลัดไม้หนึ่งพอส่งไปให้ไม้สองเกิดสะดุดเราก็ต้องวิ่งไปส่งให้ศาลอีก จึงอยากถามว่าส.ว.จะแก้กฎหมายนี้อย่างไร ในฐานะที่รับผิดชอบด้านนิติบัญญัติ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต้องถ่วงดุลและค้ำจุนกัน แต่ปัจจุบันอำนาจที่โดดเดี่ยวคืออำนาจตุลาการ แม้เป็นที่ยอมรับต่อสังคมก็ตาม เห็นได้จากเหตุการณ์สินบนสองล้านที่อำนาจบริหารทำไม่รู้ไม่ชี้หรือรู้แล้วแต่ไม่นำพา ประชาชนต้องทำให้อำนาจตุลาการคงอยู่
วงจรอุบาทว์ เลือกตั้ง ถอนทุน
ด้าน นายอำนวย ธันธารา คตส. กล่าวว่า วันนี้สังคมไทยทราบถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการซื้อเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองและนักการเมืองเมื่อเข้ามามีอำนาจรัฐเมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องเข้ามาถอนทุน ถ้าประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขการซื้อเสียงได้ก็อยากที่จะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ทำอย่างไรให้องค์การตรวจสอบมีความเข้มแข็ง ปราศจากการแทรกแซงของนักการเมือง ซึ่งนักการเมืองที่จะทุจริตคอร์รัปชั่นก็ต้องคิดมากขึ้น
มือปราบโกงภาษียอมรับงานสุดหิน
นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ คตส. กล่าวว่า ในการตรวจสอบค่อนข้างยุ่งยากและไม่ค่อยมีข้อมูล ตนเคยได้ตรวจสอบคนเป็นอดีตนายกฯ แต่รายนี้เป็นราย ค่อนข้างยาก ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยมีรายไหนที่ยุ่งยากมากกว่านี้เลย ตนได้ทำงานอย่างรอบคอบตั้งคณะกรรมการจำนวนมากถึง 19 คนเพื่อที่จะวิเคราะห์ ซึ่งการทำงานขณะนี้ไม่น่าจะมีผิดพลาดอะไร และมีการตรวจสอบเงินมากมายถึง 33,279 หมื่นล้านบาท ในเรื่องที่เกี่ยวกับความไม่สม่ำเสมอของข้าราชการบางคน ที่มีการตอบข้อซักถามหรือข้อต้องหาของผู้ที่เสียภาษี ทั้งที่มีกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนของกรมสรรพากรตั้งแต่ปี 38 แต่ก็บอกไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงมีการดำเนินคดีข้าราชการทั้ง 4 คนนี้ด้วย
จากนั้นในเวลา 17.00 น.ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนนำโดยนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.ได้เป็นตัวแทนรับมอบงานจากนายนาม ซึ่งในเวลา 19.00 น.จะมีงานเลี้ยงที่สโมสรกองทัพบกเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคนที่ร่วมงานกับคตส.เป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน โดยมีพล.อ.วินัย ภัทธิยะกุล ปลัดกลาโหม อดีตเลขา คมช. เป็นเจ้าภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานไม่มี คมช. มาร่วมแม้แต่คนเดียว มีแต่ส.ว.สรรหา อาทิ นายสมชาย แสวงการ นายคำนูณ สิทธิสมาน และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ซึ่งบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างราบรื่น มีเสียงเฮของประชาชนให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
แก๊งสนามหลวงป่วน เผาโลงศพ
ส่วนบรรยากาศนอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝั่งตรงข้ามหอประชุมใหญ่ ได้มีกลุ่มสภาสนามหลวงต่อต้านเผด็จการซึ่งเป็นกลุ่ม นปก.เดิมกว่า 50 คนได้ตั้งเวทีย่อยกล่าวปราศรัยโจมตีคณะกรรมการคตส. พร้อมนำดอกไม้จันทน์และโลงศพจำลองที่มีชื่อของกรรมการ คตส.ทั้ง 10 คน มาตั้งทำพิธีฌาปณกิจบนเวทีย่อย
"บิ๊กบัง-ชลิต-สพรั่ง" ร่วมงานเลี้ยง คตส.
ต่อมาเวลาประมาณ 20.00 น. พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) อดีตรักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวบนเวทีเลี้ยงอำลา คตส. ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี ว่า ตนอยากตอบแทนคนไทยว่า อยากชื่นชมและประทับใจในสิ่งที่ คตส. แสดงความกล้าหาญ และทำให้ประเทศ ซึ่งสำหรับ คมช.เอง ที่ผ่านมาค่อนข้างเสี่ยง แต่ คตส.ก็อาสาเข้ามาช่วยงาน ถือว่ามีความกล้าหาญ ที่ทำให้ทุกคดีเกิดความยุตธรรมในสังคม ทำในสิ่งที่ถูกต้องกับคนไทย โดยใช้เวลา 1 ปี 9 เดือน ตั้งแต่การเริ่มต้นหาข้อมูล จนถึงวันนี้
สำหรับ ป.ป.ช. เองเชื่อว่าจะสานต่องานส่วนนี้ให้กับคนไทยได้ เพราะงานของ คตส.ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อกลุ่มใดหรือคนใดคนหนึ่ง แต่ คตส.รักษาไว้ซึ่งความถูกต้องและยุติธรรมดังนั้น จึงอยากขอขอบคุณ คตส. ทุกท่าน นับว่าในวันนี้ คตส. จะเป็นแสงสว่างในอนาคตของคนไทย หลังจากนั้น ผบ.ทอ. ได้มอบดอกไม้ให้นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. เพื่อเป็นกำลังให้กับ คตส.ทุกคน
ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมาร่วมงาน กล่าวถึงการทำงานของ คตส.ว่า พอใจในการทำงาน ถึงแม้ว่าคดีจะยังไม่ถึงศาลก็ถือว่าเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศงานเลี้ยงอำลา คตส.ที่สโมสรกองทับบก มีผู้ร่วมงานกว่า 400 คน ซึ่ง คมช. ที่มาร่วมงานประกอบด้วย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตรองเลขาธิการ คมช.สำหรับ ป.ป.ช. ก็มีคณะกรรมการมากันเกือบทั้งหมด ยกเว้น นางสาวสมรักษ์ จัดกระบวนพล และนายภักดี โพธิสิริ โดยบรรยากาศในงานเอง ก็เป็นไปอย่างชื่นมื่น
เวลา 09.00 น. วานนี้ (30 มิ.ย.) คณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ประชุมนัดสุดท้ายอย่างพร้อมเพรียง เพื่อสรุปงานสำนวนและงานธุรการ ก่อนส่งมอบต่อให้ คณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เนื่องจาก คตส. ครบวาระการทำหน้าที่ ทั้งนี้ก่อนการประชุมได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนบันทึกภาพด้วย ซึ่งกรรมการแต่ละคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้ม
นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. แถลงว่า ผลการประชุมคตส.ชุดใหญ่นัดสุดท้าย งาน คตส.ได้ทำโดยสำเร็จลุล่วง โดยที่ประชุมได้มีการประชุมรับรองงานทั้งหมดว่า มีเรื่องที่เข้าสู่ชั้นศาลแล้ว 5 คดี ส่งอัยการ 7 คดี ส่วนที่เหลือเป็นคดีที่พบความไม่สมบูรณ์ และต้องตั้งคณะทำงานร่วม รวมทั้งเรื่องที่เสนอให้มีการไต่สวน และพิจารณาไต่สวน โดย ปปช. รับไปทั้งหมด (ดูตาราง...สรุปผลงาน คตส.)
นายสัก กล่าวอีกว่า คตส.ขอตั้งข้อสังเกต ก่อนที่จะหมดวาระการทำงานเรื่อง กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทรัพย์จากบริษัทชินคอร์ปฯ โดยมิสมควร สืบเนื่องจากการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งหน้าที่หรือมีฐานะร่ำรวยผิดปกติของทรัพย์จาก 7.6 หมื่นล้าน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่ง คตส. รู้สึกว่าถูกอัยการหลอกลวงตั้งแต่วันที่ 25-27 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้เครื่องถ่ายเอกสาร 10 เครื่อง ถ่ายเอกสารทั้งหมด 2 แสนแผ่น จนบุคลากรเป็นลมคาเครื่องถึง 2 คน เครือถ่ายเอกสารทั้ง 10 เครื่อง ติดขัดและเสีย
“ทั้งหมดนี้เกิดจากการหลอกลวงของอัยการ ที่บอกว่าจะส่งให้อัยการเซ็นรับรอง เพื่อส่งให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้ส่ง คตส.ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ในหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นทนายของแผ่นดิน” นายสัก กล่าว
ส่วนกรณีที่อัยการสูงสุด ไม่ทำหน้าที่ต่อจะขัดกฎหมายหรือไม่ นายสัก กล่าวว่า ก่อนหน้านี้รองอัยการสูงสุดคนหนึ่งบอกว่าให้ คตส.หยุดทำงาน แต่โชคดีที่ คตส.ไม่หยุดทำงาน ถ้าหยุดถือว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่
นายสัก กล่าวถึงเรื่องเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท คตส. ยืนยันว่า ไม่ได้แตะต้อง แต่ คตส.ใช้อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเงินจากการขายหุ้นบวกเงินปันผลที่ได้มาเท่านั้น ไม่ได้เอาทรัพย์ส่วนอื่นมา ซึ่งที่ผ่านมา ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาส่งคำร้องคัดค้าน เพื่อพิสูจน์ภายใน 60 วัน และ คตส.ไม่สามารถเพิกถอนคำสั่งได้ โดยภาระพิสูจน์ยังตกอยู่กับผู้ถูกกล่าวหา และเป็นหน้าที่พิสูจน์ของฝ่ายจำเลย ทาง คตส. หรือบุคคคลอื่นไม่มีหน้าที่พิสูจน์แทนจำเลย ซึ่งการทำหน้าที่ของ คตส.เป็นไปตามกฎหมายตามประกาศคปค.ที่ 30 ตามกฎหมาย ปปช.และกฎหมายอาญาว่าด้วยคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มติศาล รธน.ช่วยสานคดีเช็คบิลต่อ
ต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยประกาศคปค.ที่แต่งตั้ง และต่ออายุ คตส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ นั้น นายสัก กล่าวว่า มติทุกอย่างของ คตส.ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ต่อไปนี้ คดีทั้งหมดจะเดินหน้าต่อได้ โดยเฉพาะคดีหลีกเลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป และคดี ออกสลากพิเศษ เลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว (หวยบนดิน) ซึ่งคดีนี้ คตส.เป็นโจทก์ และ ศาลจะนัดสืบพยานในเดือนก.คง โดย คตส. ถูกหมายเรียกให้การที่ศาลฎีกา คือ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. และนายกล้านรงค์ จันทิก
ด้าน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรรมการ คตส. กล่าวถึงการต่ออายุ คตส.ไม่ขัดต่อกฎหมาย ว่า ผู้สื่อข่าวจะต้องแสดงความยินดีกับ คตส. เรื่องนี้ตนรู้ล่วงหน้าแล้ว
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ คตส. กล่าวว่า แม้ คตส. จะหมดวาระแต่ก็ไม่ได้ โล่งใจ เพราะยังต้องทำหน้าที่ต่อเนื่อง ในฐานะ กรรมการ ป.ป.ช. โดยคดีที่อัยการสูงสุด ไม่สั่งฟ้องจะต้องคณะกรรมการ คตส. บางคนและเจ้าหน้าที่ สตง. ไปเป็นคณะทำงาน แต่ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง และนายอำนวย ธันธรา คงไม่สามารถไปช่วยงานได้ เพราะต้องกลับไปทำหน้าที่ศาลตามเดิม
ทั้งนี้ ทุกคดีที่ ป.ป.ช. รับมอบจาก คตส. ซึ่งมีการไต่สวนแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินการ ป.ป.ช. ต้องรับไปตรวจสอบทุกคดี รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีของ คตส. ที่ถูกผู้ถูกกล่าวหาฟ้องกลับทั้งคดีแพ่งและอาญา อยู่ในงบประมาณของ ป.ป.ช.. ตามที่กฎหมายกำหนด
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คดีที่ ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการต่อ อาทิ เซ็นทรัลแล็บ โครงการบ้านเอื้ออาทรบางโครงการ โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ โครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม. ซึ่งกรณีนี้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้วเสร็จ รอเพียงการลงมติจากที่ประชุมใหญ่ คตส. แต่ไม่สามารถพิจารณาได้ทัน จึงเป็นหน้าที่ ของ ป.ป.ช. ที่จะรับเรื่องต่อไป รวมถึงคดีการซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องเดิมที่ต่อเนื่องมาจากคดีเอื้อประโยชน์ ร่ำรวยผิดปกติ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอข้อมูล ข้อเท็จจริงจากต่างประเทศ
สำหรับบรรยากาศที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เจ้าหน้าที่สตง.ได้นำดอกไม้มามอบให้คณะกรรมการคตส.ทั้ง 10 คน เพื่อเป็นกำลังใจและส่งท้ายในโอกาสหมดวาระการทำงาน
แห่ร่วม คตส.ส่งมอบงานล้นหลาม
เมื่อ เวลา 13.00 น. ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คตส. จัดงานส่งมอบหน้าที่และสำนวนการสอบสวนทั้งหมดที่ยังไม่ได้ส่งฟ้องศาลให้กับป.ป.ช. โดยมีประชาชนเข้าร่วมงานปัจฉิมบทของพันธกิจการตรวจสอบแทนประชาชน แน่นหอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ กว่า 4 พันคน จนทางมหาวิทยาลัย ต้องเปิดหอประชุมเล็ก เป็นการด่วนเพื่อให้ประชาชนเข้าฟังการสัมมนาครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคัก ประชาชนได้ร่วมกันลงชื่อรับหนังสือปัจจิมบท คตส.ซึ่งเป็นการสรุปผลงานคตส.1 ปี 9 เดือนที่คตส.พิมพ์ไว้ 12,000 เล่ม ภายในงานยังมีผู้ให้กำลังใจคตส. มาคอยมอบช่อดอกไม้พร้อมกับตะโกนคำว่าทักษิณติดคุกเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม การจัดงานครั้งนี้ ปรากฏว่าไม่มีนายทหารที่เคยเป็นอดีตคณะมนตรีความมั่นแห่งชาติ (คมช.) ที่เป็นคนแต่งตั้ง คตส. มาร่วมงานแต่อย่างใด ทั้งที่ สตง.ได้ออกบัตรเชิญ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.มาร่วมงานด้วย
สำหรับบรรยากาศบนเวทีก่อนที่จะมีการอภิปราย นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ ได้ร่ายบทกวี “คาราวะ คตส.” ที่แต่งขึ้นเพื่อให้กำลังใจคตส.รวมทั้งการเดี่ยวเปียโนของครอบครัวนายณัฐ ยนต์รักษ์ นักเปียโนชื่อดังที่ร่วมกันร้องเพลงให้กำลังใจคตส.เช่น เพลงเราสู้ โดยมีประชาชนร่วมกันร้องเพลงคลอดังลั่นหอประชุม
หลังจากนั้น เป็นการอภิปรายเรื่อง “เงินของประชาชนนั้นเป็นเงินของแผ่นดิน” โดยนายอมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฏีกา นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนและการปฏิรูปการเมือง เป็นผู้กล่าวปาถกฐาพิเศษ ตามด้วยคณะกรรมการ คตส. ทั้ง 10 คน ที่มาเล่าเรื่องกระบวนการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ อุทธาหรณ์ของการใช้อำนาจรัฐในการบริหารประเทศ และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อสาธารณชน
นายอมรกล่าวสรุปใจความได้ว่า การจัดงานวันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ เพราะงานการตรวจสอบของคตส.ถือเป็นผลงานที่เหลืออยู่ของ คปค.เพราะงานอื่นของคปค.ล้มเหลวหมด คตส.รับตรวจสอบโครงการต่างๆรวมทั้งสิ้น 24 คดี ตลอดเวลาที่ทำงานมา คตส.ถูกฟ้องทั้งทางแพ่งและอาญา รวม 24 คดี ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินรวมกว่า 1 แสนล้านบาท
นายอมร ตั้งข้อสังเกตว่า ตลอดการทำงานของ คตส. มีเหตุการณ์ที่น่าสงสัยและเป็นเหตุการณ์ประหลาดที่เป็นปัญหาสี่เรื่อง คือ 1. คตส.กับสำนักงานอัยการสูงสุด 2. คตส.กับ อดีตคมช. 3. อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกับการออกหมายจับของตำรวจ สภ.อ.พระนครศรีอยุธยา และ 4. เหตุการณ์ระหว่างรัฐบาลกับศาลปกครองช่วงวันที่ 23 มิ.ย.ถึง 30 มิ.ย.
นายอมร กล่าวว่า เหตุการณ์แรกกรณีคตส.กับอัยการที่มีปัญหากันในเรื่องข้อกฎหมายซึ่งเถียงกันไปมาแทนที่จะร่วมกันทำงาน แต่กลับมาถกเถียงเรื่องอำนาจการฟ้องโดยต่างฝ่ายต่างอ้างอำนาจตัวเองถือว่าเป็นสิ่งที่แปลก และที่แปลกกว่านั้นคือ บุคคลที่คตส.ฟ้องเป็นจำเลยอัยการกลับจะรับเป็นทนายให้ โดยอ้างว่าเป็นการทำตามกฎหายทั้งที่คตส.ฟ้องเป็นจำเลยแผ่นดิน กลับอัยการกลับไปเป็นทนายแผ่นดินเสียเอง
2. กรณีปัญหาคตส.กับคมช. กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อคตส. ถูกตำรวจออกหมายเรียกและออกหมายจับ แม้ว่าคตส.จะทำหนังสือแจ้งไปยังคมช.แต่ก็เกิดปัญหาเมื่อคมช.บอกว่าไม่รู้เรื่องและไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ถือเป็นสิ่งปกติและแปลกประหลาด
3. กรณีการออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็ถูกย้ายและถูกออกหมายเรียกหมายจับโดยตำรวจสภอ.อยุธยา และได้รับความเห็นชอบออกหมายจับจากศาลอยุธยา จนต้องทำเรื่องขอกลับไปเป็นผู้พิพากษาและอุทธรณ์การออกหมายจับ จนต่อมาศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งอันเป็นคดีแรก
ขุดโคตรโกงแสนล้านแจงประชาชน
ช่วงการเปิดใจคตส.นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคตส. กล่าวว่า พวกตนรับทำหน้าที่ตั้งแต่คปค.ออกคำสั่งมา ได้ทำงานมาตั้งแต่ลำดับ 1-6 ต่อไปก็อยู่ที่ศาล ในลำดับ 7-10 ซึ่งคตส.ทำเสร็จทั้งหมด 11 คดี แล้ววันนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็บอกว่า การทำหน้าที่ คตส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ อยากให้ทุกคนติดตามเรียนรู้ด้วยความ รอบคอบหากทำสำเร็จบ้านเมืองอยู่รอด ถ้าความเป็นกลางหมายถึงการ ไม่รู้ถูกหรือผิดการนอนหลับอยู่ที่บ้านเอาของส่วนรวมมาเป็นของส่วนกลาง ตนก็คงจะไม่เป็นกลางอย่างเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะเอาตนไปฆ่าตนก็ไม่เป็น คนเป็นนักการเมืองต้องถูกตรวจสอบได้ ขึ้นศาลได้และติดคุกได้
ส่วนนายกล้าณรงค์ จันทิก คตส. กล่าวว่า แม้วันนี้จะหมดวาระของคตส. แต่ต้องร่วมมือกับพี่น้องทำงานต่อไป เพื่อให้เรื่องขึ้นสู่ต่อศาลเป็นคดีสุดท้าย ที่บอกไม่หมดภารกิจ เพราะคดีที่ฟ้องศาลแล้ว ก็ต้องสอบพยาน อย่างเรื่องที่ดินรัชดา คตส.ต้องขึ้นไปเบิกความในศาล ยกเว้น 2 คน คือนายอุดม เฟื่องฟุ้ง คตส.กับนายอำนวย ธันธารา คตส. เพราะเป็นศาล แต่เราทั้ง 8 คนทำงานต่อไป
ส่วนคดีอีก 3-4 คดีที่ทำไม่เสร็จปปช.ก็ทำต่อไปและจะตั้งอนุไต่สวนและจะเชิญคตส.เข้าไปร่วมด้วย เรามั่นใจว่าเราทำอย่างถึงที่สุด แม้ใครจะผิดยิ่งใหญ่แค่ไหนก็พร้อมที่จะลากเข้าคุก เซึ่งตอนนี้ก็เหมือนที่ตนเคยเจอสมัย พ.ศ. 2544 ดังนั้นจะรักษาไว้เพื่อปราบนักการเมือง และเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วก็ต้องรับสภาพ และจะสู้ต่อไปเพื่อแผ่นดิน
นายสัก กอแสงเรือง คตส. กล่าวว่า คตส.ทำงานเป็นวันสุดท้ายก็ยังถูกฟ้องอยู่ 20 คดี เพราะต้องการให้เราเบื่อหน่าย ท้อแท้ เกรงกลัว แต่ตรงกันข้าม คตส. 10 คนไม่มีใครเกรงกลัวท้อแท้ แต่เห็นว่าการทำงานคตส.ครั้งนี้ได้รับเกียรติสูงสุด และเมื่อเราให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ขอให้อีกฝ่ายเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน หากทำผิดจริงก็ไม่ควรมีการลอยนวล การดำเนินคดีหยุดกลางคันไม่ได้
นายสัก กล่าวต่อว่า การตรวจสอบเราดูหลักฐานไม่ได้ดูหน้าคน แรงกดดันทุกด้านไม่ได้กดดันคตส. แต่สิ่งที่คตส.ทำคือข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ยุติธรรม คนที่ตัดสินผลงานคตส.คือศาลและเหนือศาลคือประชาชน ถ้าไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ผลงานเหล่านั้นจะไร้ค่า คนทำผิดต้องลงโทษเงินแผ่นดินต้องตกน้ำไม่ไหล
ด้าน นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. กล่าวว่า ตนตื้นตันใจ ตนมั่นใจว่าตนจะอายุยืนเพิ่มขึ้นอีก 20 ปีเมื่อมาเป็นคตส. ส่วนที่ตนถูกฟ้องเป็นเงินแสนล้าน ตนไม่เคยรู้สึกถอดใจเลย แม้การทำงานครั้งนี้จะเป็นการสร้างศัตรูและเสียอิสรภาพของครอบครัวก็พร้อมเสมอ และการทำงาน 1 ปี 9 เดือนก็ไม่เคยมีใครขอร้องให้ช่วยหรือข่มขู่แต่มีโทรศัพท์มาด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายเสมอ
นายนาม กล่าวว่า การเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ทำให้ตนรอบรู้ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นลึกลับซับซ้อนและแผ่ขยายไปในสังคมไทย โดยเฉพาะการทุจริตในเชิงนโยบาย และบุคคลทั่วไปค่อนข้างจะไม่เข้าใจ ถ้ามองผิวเผินเหมือนเขาทำตามกฎหมาย และขอให้คะแนนการทำงานของคตส. 8 คะแนน เพราะว่างานที่ทำมาก็ยังไม่สมบูรณ์และต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วย
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา คตส.และผู้ว่าสตง. กล่าวว่า ทุกๆ คดีทีคตส.ฟ้องนั้นคือความสำเร็จที่ทำเพื่อบ้านเมือง และต้องชื่นชมในความหวังและทุกอย่างต้องอดทนไว้ก่อน เพราะเรื่องที่ไม่ได้ไม่มีใน สตง. สิ่งที่ไม่ได้เปิดเผยโดยคตส.มีอยู่อีกเยอะ และมีอีกหลายเรื่องที่อยู่ในสตง. ถ้าท่านรู้จะตกใจ ตนยังอุทานว่าโหแบบนี้จะกินขวานทั้งเล่มเลยหรือนี่
“อยากฝากบอกนักศึกษาที่ก้มหน้าก้มตาเรียนในมหาวิทยาลัย ว่า บทเรียนเหล่านั้นไร้ประโยชน์หากเธอไม่เงยหน้าขึ้นมา อย่างท่าเรือ เรือเดินทะเล ธนาคาร โรงกลั่นน้ำมันเขาก็เอาไปหมดถ้ามัวคร่ำครวญบทอยู่กับบทเรียน แล้วเงยหน้าขึ้นมาอาจะไม่เห็นทรัพย์สินอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นต้องเงยหน้ามาช่วยกัน” คุณหญิงจารุวรรณ กล่าว
นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ คตส. กล่าวว่า คนพูดว่า คตส.เป็นศัตรูนั้น ก็ขอให้มองว่าคตส.เข้ามาตรวจสอบไม่ได้ต้องการมารังแกใคร แต่มาตรวจสอบตามหลักกฎหมาย ถ้าหากผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก มองว่าคนที่ถูกตรวจสอบก็ยังบริสุทธิ์อยู่ และตนไม่ได้ตั้งเป้าเพื่อทำร้ายใคร เมื่อเราเกิดมาครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียวเลยไม่กลัวอะไร
เตือนภัยทุจริตทำ “สิ้นชาติ”
นายบรรเจิด สิงคเนติ คตส. กล่าวว่า วันนี้คงเป็นภารกิจสุดท้ายกับการทำงานคตส. แต่คงไม่ใช่สุดท้ายในการตรวจสอบ ซึ่งสถาบันเพื่อความโปร่งใสของประเทศแคนนาดา ได้จัดประเทศไทยระดับความโปร่งใสอยู่ระดับที่ 80 จาก 180 ได้ชี้ว่าระดับการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยมีการเข้มข้นรุนแรงในปีนี้ โดยมาจากภาค การเมือง
ทั้งนี้ จากการสังเคราะห์ คือเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย มักอาศัยมติครม.เป็นพื้นฐานในการทุจริต มีการใช้อำนาจของรัฐในการทุจริต และเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็นมติความสัมพันธ์ของประเทศ และการทุจริตมีความซับซ้อน มีการใช้กลไกภาคธุรกิจ ภาคตลาดหลักทรัพย์ โดยอาศัยนักธุรกิจ มีการนำเงินอนาคตมาใช้ อาศัยการตรวจสอบที่รอบคอบ ยากจะหาคนสั่งการ และอาศัยโครงการประชานิยม ปัญหาเกี่ยวกับระบบใช้จ่ายเงินของแผ่นดินมีการต่อท่อมาใช้สายตรงและนำไปสู่ผลกระทบการตรวจสอบโดยตรง เพราะการทุจริตกับการเมืองเป็นคู่แฝดกัน การได้เสียงข้างมากจากระบอบประชาธิปไตยมี 2 ด้าน หากใช้เพื่อสนองต่อประโยชน์ตัวเองเป็นการทรยศต่อบ้านเมือง
“เกาหลีใต้เคยมีสภาพการณ์เหมือนเราในปัจจุบันและเขาเห็นว่าถ้าไม่จัดการอาจสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน เขาจึงลุกขึ้นมาเอาจริงเอาจริงและเอาประธานาธิบดีเข้าคุกไป 2 รายทำให้เกาหลีใต้พัฒนาไปถึงจุดนี้ ซึ่งประเทศไทยถึงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญว่าจะสิ้นชาติหรือให้ชาติเดินหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ตราบใดกระบวนการยุติธรรมไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ตราบนั้นชาติไทยมีโอกาสสิ้นชาติแน่นอน” นายบรรเจิด กล่าว
นายบรรเจิด กล่าวต่อว่า คตส.มาจากอะไรไม่สำคัญแต่เราทำเพื่อความถูกต้องและความเป็นกลาง คตส.ไม่ได้มุ่งหวังฝากหนังสือนี้ไว้ในแผ่นดิน แต่สิ่งที่ฝากไว้คือผลงานแต่ผลงานไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากประชาชนที่ช่วยกันให้กระบวนการยุติธรรมธำรงอยู่ได้ สิ่งที่สร้างสมมานานย่อมไม่สูญหาย
ขอแรงประชาชนหนุนตุลาการ
นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คตส. กล่าวว่า กระบวนการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ไม่ใช่ทุจริตเชิงนโยบายแต่มีนโยบายตั้งการทุจริตตั้งแต่ต้น การคอร์รัปชั่นมีกระบวนการฟอกย้อมให้ใสสะอาด โดยอาศัยรูปแบบร่วมกันมีมติ หรือที่เรียกแบบบ้านๆว่ามีการสุ่มหัวกันมีมติก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ตนเข้ามาก็เพื่อทำให้ชาติสูงขึ้น หากพวกเราช่วยกัน และต้องทำตัวเป็นฉลามไม้กระเหี้ยนกระหือรือช่วนกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น
นายอุดม กล่าวว่า กระบวนการต่างๆ ที่เกิดการทุจริตโดยออกมาจากรูปแบบของการทำตามมติไม่ว่าจะเป็นมติของบอร์ดต่างๆ หรือมติของที่ประชุมแห่งใดแห่งหนึ่งทุกคนก็ล้วนอ้างว่าปฏิบัติตามมติของที่ประชุม โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบไม่ว่าทางแพ่งหรือทางอาญา
“ขอถามว่าเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะปล่อยให้เรื่องนี้ยังดำเนินอยู่ในบ้านเมืองเราหรืออย่างไร ตนมองว่าการกระทำที่ร่วมกันหลายๆ คนที่สร้างความเสียหายให้หน่วยงานรัฐ เป็นความผิดอาญาร้ายแรงมากกว่าคนร้ายที่ปล้นหรือลักทรัพย์สินของคนอื่น เพราะลักษณะความผิดที่เป็นหมู่คณะที่ตั้งกันขึ้นมาตั้งแต่ต้น มีเจตนาทุจริตมีความผิดจึงควรได้รับโทษอาญาที่ร้ายแรง ล่าสุดยังมีโจรใส่สูทเข้ามาคอร์รัปชั่นบ้านเมืองด้วย”
นายอุดม กล่าวต่อว่า เราเชื่อมั่นในคณะกรรมการป.ป.ช.แต่ไม่รู้ว่าต่อไป ป.ป.ช.จะได้รับการส่งเสริมจากอำนาจรัฐให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องได้หรือไม่ จึงอยากให้กำลังใจคตส. และป.ป.ช. และอยากฝากไปยัง ส.ว.ให้ดูแลกฎหมายที่ให้กระบวนการยุติธรรมมีอิสระจริงๆ
นายอุดม กล่าวว่า ตอนนี้เราเป็นนักวิ่งผลัดไม้หนึ่งพอส่งไปให้ไม้สองเกิดสะดุดเราก็ต้องวิ่งไปส่งให้ศาลอีก จึงอยากถามว่าส.ว.จะแก้กฎหมายนี้อย่างไร ในฐานะที่รับผิดชอบด้านนิติบัญญัติ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต้องถ่วงดุลและค้ำจุนกัน แต่ปัจจุบันอำนาจที่โดดเดี่ยวคืออำนาจตุลาการ แม้เป็นที่ยอมรับต่อสังคมก็ตาม เห็นได้จากเหตุการณ์สินบนสองล้านที่อำนาจบริหารทำไม่รู้ไม่ชี้หรือรู้แล้วแต่ไม่นำพา ประชาชนต้องทำให้อำนาจตุลาการคงอยู่
วงจรอุบาทว์ เลือกตั้ง ถอนทุน
ด้าน นายอำนวย ธันธารา คตส. กล่าวว่า วันนี้สังคมไทยทราบถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการซื้อเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองและนักการเมืองเมื่อเข้ามามีอำนาจรัฐเมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องเข้ามาถอนทุน ถ้าประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขการซื้อเสียงได้ก็อยากที่จะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ทำอย่างไรให้องค์การตรวจสอบมีความเข้มแข็ง ปราศจากการแทรกแซงของนักการเมือง ซึ่งนักการเมืองที่จะทุจริตคอร์รัปชั่นก็ต้องคิดมากขึ้น
มือปราบโกงภาษียอมรับงานสุดหิน
นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ คตส. กล่าวว่า ในการตรวจสอบค่อนข้างยุ่งยากและไม่ค่อยมีข้อมูล ตนเคยได้ตรวจสอบคนเป็นอดีตนายกฯ แต่รายนี้เป็นราย ค่อนข้างยาก ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยมีรายไหนที่ยุ่งยากมากกว่านี้เลย ตนได้ทำงานอย่างรอบคอบตั้งคณะกรรมการจำนวนมากถึง 19 คนเพื่อที่จะวิเคราะห์ ซึ่งการทำงานขณะนี้ไม่น่าจะมีผิดพลาดอะไร และมีการตรวจสอบเงินมากมายถึง 33,279 หมื่นล้านบาท ในเรื่องที่เกี่ยวกับความไม่สม่ำเสมอของข้าราชการบางคน ที่มีการตอบข้อซักถามหรือข้อต้องหาของผู้ที่เสียภาษี ทั้งที่มีกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนของกรมสรรพากรตั้งแต่ปี 38 แต่ก็บอกไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงมีการดำเนินคดีข้าราชการทั้ง 4 คนนี้ด้วย
จากนั้นในเวลา 17.00 น.ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนนำโดยนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.ได้เป็นตัวแทนรับมอบงานจากนายนาม ซึ่งในเวลา 19.00 น.จะมีงานเลี้ยงที่สโมสรกองทัพบกเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคนที่ร่วมงานกับคตส.เป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน โดยมีพล.อ.วินัย ภัทธิยะกุล ปลัดกลาโหม อดีตเลขา คมช. เป็นเจ้าภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานไม่มี คมช. มาร่วมแม้แต่คนเดียว มีแต่ส.ว.สรรหา อาทิ นายสมชาย แสวงการ นายคำนูณ สิทธิสมาน และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ซึ่งบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างราบรื่น มีเสียงเฮของประชาชนให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
แก๊งสนามหลวงป่วน เผาโลงศพ
ส่วนบรรยากาศนอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝั่งตรงข้ามหอประชุมใหญ่ ได้มีกลุ่มสภาสนามหลวงต่อต้านเผด็จการซึ่งเป็นกลุ่ม นปก.เดิมกว่า 50 คนได้ตั้งเวทีย่อยกล่าวปราศรัยโจมตีคณะกรรมการคตส. พร้อมนำดอกไม้จันทน์และโลงศพจำลองที่มีชื่อของกรรมการ คตส.ทั้ง 10 คน มาตั้งทำพิธีฌาปณกิจบนเวทีย่อย
"บิ๊กบัง-ชลิต-สพรั่ง" ร่วมงานเลี้ยง คตส.
ต่อมาเวลาประมาณ 20.00 น. พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) อดีตรักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวบนเวทีเลี้ยงอำลา คตส. ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี ว่า ตนอยากตอบแทนคนไทยว่า อยากชื่นชมและประทับใจในสิ่งที่ คตส. แสดงความกล้าหาญ และทำให้ประเทศ ซึ่งสำหรับ คมช.เอง ที่ผ่านมาค่อนข้างเสี่ยง แต่ คตส.ก็อาสาเข้ามาช่วยงาน ถือว่ามีความกล้าหาญ ที่ทำให้ทุกคดีเกิดความยุตธรรมในสังคม ทำในสิ่งที่ถูกต้องกับคนไทย โดยใช้เวลา 1 ปี 9 เดือน ตั้งแต่การเริ่มต้นหาข้อมูล จนถึงวันนี้
สำหรับ ป.ป.ช. เองเชื่อว่าจะสานต่องานส่วนนี้ให้กับคนไทยได้ เพราะงานของ คตส.ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อกลุ่มใดหรือคนใดคนหนึ่ง แต่ คตส.รักษาไว้ซึ่งความถูกต้องและยุติธรรมดังนั้น จึงอยากขอขอบคุณ คตส. ทุกท่าน นับว่าในวันนี้ คตส. จะเป็นแสงสว่างในอนาคตของคนไทย หลังจากนั้น ผบ.ทอ. ได้มอบดอกไม้ให้นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. เพื่อเป็นกำลังให้กับ คตส.ทุกคน
ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมาร่วมงาน กล่าวถึงการทำงานของ คตส.ว่า พอใจในการทำงาน ถึงแม้ว่าคดีจะยังไม่ถึงศาลก็ถือว่าเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศงานเลี้ยงอำลา คตส.ที่สโมสรกองทับบก มีผู้ร่วมงานกว่า 400 คน ซึ่ง คมช. ที่มาร่วมงานประกอบด้วย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตรองเลขาธิการ คมช.สำหรับ ป.ป.ช. ก็มีคณะกรรมการมากันเกือบทั้งหมด ยกเว้น นางสาวสมรักษ์ จัดกระบวนพล และนายภักดี โพธิสิริ โดยบรรยากาศในงานเอง ก็เป็นไปอย่างชื่นมื่น