ผมไม่บังอาจเขียนจดหมายถึงพระสยามเทวาธิราช
ก่อนนอนทุกคืน ผมจึงเฝ้าแต่กราบไหว้อ้อนวอน ขอให้ท่านได้ยินคำอธิษฐานของผม
ผมอธิษฐานว่าขอให้ท่านช่วยดลบันดาลให้พระผู้ทรงเป็นพลังแห่งแผ่นดินรีบพระราชทาน “ราชประชาสมาสัย” มาคุ้มภัยปวงพสกนิกรโดยเร็วเถิด
ผมเป็นห่วงเกรงว่าคนไทยจะตกเป็นเหยื่อของศึกรัฐธรรมนูญ อันอาจจะลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองเลือดนองแผ่นดิน ทำให้เมืองไทยถอยหลังกลับไปที่เก่าอีก ผิดแต่ว่าคราวนี้จะเลวทรามสูญเสียยิ่งกว่าเดิมจนคิดไม่ถึง
เพราะรู้ว่าพ่อนอนไม่หลับ กว่าผมจะข่มตาหลับได้แต่ละคืนก็ยากเหลือ นับว่าโชคยังดีที่พระสยามเทวาธิราชมาเข้าฝันผม
ฝันคืนที่ 1 ท่านบอกผมว่า อย่ากลัวไปเลย บ้านเมืองไทยศักดิ์สิทธิ์มีผู้คุ้มครอง คราวนี้ไม่ถึงกับนองเลือดดอก ถึงเวลาคนไทยพูดจากันรู้เรื่อง และรู้จักใช้ปัญญาแก้ปัญหา ไทยเป็นประเทศเก่าแก่ เป็นครูของโลกหลายทาง ขณะนี้เมืองไทยเติบโตทางวุฒิภาวะพอแล้ว ถึงแม้มูลค่าบุคคลรวมของไทยจะต่ำ แต่ปัญญาในสังคมมีสูง ขอแต่ให้มีสมาธิและความสามัคคี ไม่มีปัญหาใดที่จะแก้โดยปัญญาของคนไทยไม่ได้ ขอแต่ว่าตอนนี้ต้องระวังที่สุดอย่าให้เกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่กระทำดีมาแล้วต้องอดทนรักษาแนวทาง ผู้ไม่ร่วมเสริมสร้างอย่าฉวยโอกาสเพราะเห็นแก่ได้หรืออยากเป็นใหญ่
ฝันคืนที่ 2 ท่านบอกผมว่า ขณะนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายพันธมิตรฯ ต่างก็คิดว่าตนเองถูก ไม่มีใครยอมใคร กับทั้งเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่นี้ มิใช่เรื่องที่จะแก้ได้โดยการถอยคนละก้าวสมานฉันท์ เพราะมันเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์อันมหาศาล ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอยู่ขณะนี้ต่างก็มิใช่คู่ชิงที่แท้จริงทั้งคู่ แต่ประชาชนจะสนับสนุนฝ่ายที่มีธรรมะข้อสำคัญฝ่ายที่มีธรรมะนั้นต้องยึดกฎหมายที่ถูกต้องและขบวนการยุติธรรมเป็นหลัก ฝ่ายที่เชิดชูตัวบุคคลจะกระทำการหยาบหยามตามอำเภอใจต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสังคมยอมรับไม่ได้ ในที่สุด เมื่อประชาชนเข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็ชนะ
ฝันคืนที่ 3 ท่านถามผมว่า ประชาชนยังมองไม่เห็นใช่ไหมว่าใครเป็นฝ่ายทำลายกฎหมายมาแต่ต้น ทำลายกฎหมายในท่ามกลาง ทำลายกฎหมายในเบื้องปลาย และขณะนี้ก็ยังทำลายอยู่อย่างเมามัน ทำไมไม่มีใครทำให้ประชาชนมองเห็นชัดๆว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า พรรคไทยรักไทยเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองโดยวิถีทางที่ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ (ถึงแม้จะอาศัยการเลือกตั้งบังหน้าก็ตาม) ท่านยกคำวินิจฉัยคำต่อคำโยนใส่หน้าผมเลยว่า “พรรคไทยรักไทยมิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติ เพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้า ดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จนยากที่จะหาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินแล้วจะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบ หรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง คือ พรรคไทยรักไทยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพรรคไทยรักไทยไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมือง ที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
ฝันคืนที่ 4 ท่านกลับมาย้ำต่อจากคืนที่แล้วว่า พวกแกจำไม่ได้เลยหรือ ไอ้มาตรา 97 ของพ.ร.บ.ประกอบฯ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 “ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา 42 วรรคสอง หรือมาตรา 82 หรือต้องยุบตามมาตรา 94 ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้” ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่นำบทบัญญัตินี้มาบังคับใช้ ผู้นำพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคในรัฐบาลก็จะสิ้นสภาพ
ฝันคืนที่ 5 ท่านบอกว่า ความโลภโมโทสันและตัณหาของคนบางกลุ่มที่กุมอำนาจทางการเมืองอยู่จะบัญชาให้รัฐบาลเอาดินแดนบางส่วนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทยไปแลกกับต่างประเทศ ศาลจะเข้าขัดขวาง และประชาชนทุกหมู่เหล่าก็จะลุกฮือขึ้นทั้งประเทศ รัฐบาลซึ่งขาดความชอบธรรมมาแล้วแต่ต้น ก็ยิ่งจะไม่มีความชอบธรรมใดๆเหลืออยู่เลย จะไม่มีใครเชื่อฟังคำสั่งบังคับบัญชาของรัฐบาลต่อไป ถึงแม้จะมีคณะรัฐมนตรีอยู่ แต่ในความเป็นจริง ประเทศจะตกอยู่ในสภาวะเสมือนไร้อำนาจปกครอง รถไฟเริ่มตัวอย่างด้วยการเดินทางฟรี อีกหน่อยรถเมล์ก็จะขึ้นฟรีทั่ว กทม.และทั่วประเทศ เขายังไม่กล้าหยุดงาน เนื่องจากสังคมไทยยังไม่มีความเข้าใจ แต่ในที่สุดแรงงาน ราชการ ทหาร ตำรวจ ก็จะพากันคิดได้หันหน้าเข้าหา รักใคร่ปรองดองกันหมด และพากันละทิ้งรัฐบาลไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม เหลือแต่ทหารกับตำรวจระดับนายใหญ่เพียงคนสองคนที่ยังอาลัยไม่อยากทิ้งตำแหน่งที่เต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญสุข แม้กระทั่งความมั่นคงของจอมทัพมันก็ไม่ปรารมภ์ คนพวกนี้จะถูกลอยแพในที่สุด
ฝันคืนที่ 6 ท่านบอกว่า ใครยังไม่ได้อ่านพระราชดำรัสแก่ศาลปกครองสูงสุดครั้งสุดท้ายให้รีบไปอ่านเสีย จะได้รู้ซึ้งว่าวิกฤตที่สุดในโลกนั้นกลับยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม วิกฤตจะค่อยๆ เบาบางลง เมื่อศาลทุกศาลเริ่มชำระสะสางคดีที่เป็นดินพอกหางหมูทีละเรื่องสองเรื่อง เช่น เรื่องยุบพรรคที่โกงเลือกตั้ง ยุบพรรคที่กระทำฉ้อฉลกระทำให้เจตนารมณ์ของศาลในอันที่จะปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการต้องห้ามกรรมการบริหารของพรรคเมืองเป็นอันไร้ผล ซ้ำกระทำผิดก้าวล่วงสถาบัน กฎหมาย และรัฐธรรมนูญมากยิ่งขึ้น ในที่สุด อำนาจอธิปไตยด้านบริหารและนิติบัญญัติก็จะเปลือยกายล่อนจ้อนว่ามันรู้จักแต่บริหารด้วยการออกคำสั่งตั้งพรรคพวก และออกกฎหมายไม่เป็นแม้แต่ฉบับเดียวตลอดสมัยการประชุมสภา การอภิปรายในสภานั้นก็ไร้ความหมายสิ้นดี
ถามเขมร-ตอบพม่า ถามสนธิสัญญา-ตอบแผนผัง ไม่ยอมตอบคำถามและหักล้างข้อมูลที่หนักแน่นใดๆ ถึงเวลายกมือก็เฮโลสาระพามาเถอะพวกเราเหล่านักเลือกตั้ง มันจะว่าอะไรก็ช่าง ทำตามคำสั่งนายใหญ่แล้วจะได้ดี ภายใต้เงื่อนไขและองค์ประกอบเช่นนี้บ้านเมืองจะล่มจมลงยิ่งกว่าที่ในหลวงทรงเป็นห่วงเสียอีก ทางออกทางเดียวที่มองเห็นก็คือ ปวงชน ศาล ทหาร ข้าราชการ แรงงาน ฯลฯ จะต้องช่วยกันขับไล่รัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎรออกไปเสีย เพื่อทำให้เกิดช่องว่างหรือ “สุญญากาศ” ในทางการเมืองเพื่อพระเจ้าอยู่หัว “จะได้พร้อมที่จะลงมาช่วยได้อีก ถ้าเกิดสุญญากาศขึ้นมาอีก” ตามพระราชดำรัส สุญญากาศนี้ไม่จำเป็น และจะต้องไม่ใช่การนองเลือดดังที่พวกทหารและคนหัวเก่าเข้าใจ แต่เป็นสุญญากาศทางการเมืองที่สามารถแก้ได้โดยราชประชาสมาสัย คือการที่พระมหากษัตริย์และประชาชนร่วมมือกันตามจารีตประชาธิปไตย อาศัยอำนาจรัฐสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริงขึ้นมาให้สำเร็จ
ฝันคืนที่ 7 ท่านบอกว่า “คณะกรรมการฟื้นฟูประชาธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทย” อันประกอบด้วยตัวแทนของปวงชนชาวไทย ทหาร ข้าราชการ แรงงาน เป็นต้น จะเกิดขึ้นจากคณะบุคคลที่มีคุณงามความดี ไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงแสวงหาตำแหน่งหรืออำนาจใดๆ แต่จะเป็นตัวอย่างแห่งความรักสามัคคี สติปัญญา ความกล้าหาญ และเสียสละเพื่อประเทศชาติ จำเป็นต้องลุกขึ้นมาเพราะเหตุการณ์บีบบังคับไม่สามารถละทิ้งประชาชนและพระเจ้าอยู่หัวได้
ฝันคืนที่ 8 ท่านสรุปว่า องค์กรต่างๆ อันมาจากขบวนการที่เป็นประชาธิปไตย ที่มิใช่การซื้อเสียงหลอกลวงน้ำเน่าแบบการเลือกตั้ง จะถูกระดมเข้ามา เพื่อรวบรวมบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์และองค์ประกอบของประชาธิปไตย และเป็นตัวแทนของปวงชนทำหน้าที่ฟื้นฟูประชาธิปไตย สร้างการเมืองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สามารถรังสรรค์จรรโลงเสรีภาพ สาธารณประโยชน์ และความเป็นธรรมในสังคมอย่างแท้จริง
ฝันคืนที่ 9 ท่านเขกหัวผมดังโป๊ก สรวลยิ้มว่า “ไง เครียดมากหรือท้องผูกล่ะ จึงฝันเฟื่องอยู่ได้ตั้ง 7-8 คืน มันจะเป็นไปได้หรือ ถ้าพวกเองไม่รู้จักพึ่งตนเอง มัวแต่จะรอคอยร้องขออ้อนวอนข้าอยู่ร่ำไป มิหนำซ้ำไอ้พวกป่วนนรกในประเทศไทยนี่มันชักมีมากขึ้นทุกที พวกนี้มันไม่เชื่อหรอกว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง พวกเองจะสู้มันไหวหรือ เองไม่ต้องเชื่อข้า แต่น่าจะลองฟังแม่เองดูสักหน่อยก็จะดี”
ก่อนนอนทุกคืน ผมจึงเฝ้าแต่กราบไหว้อ้อนวอน ขอให้ท่านได้ยินคำอธิษฐานของผม
ผมอธิษฐานว่าขอให้ท่านช่วยดลบันดาลให้พระผู้ทรงเป็นพลังแห่งแผ่นดินรีบพระราชทาน “ราชประชาสมาสัย” มาคุ้มภัยปวงพสกนิกรโดยเร็วเถิด
ผมเป็นห่วงเกรงว่าคนไทยจะตกเป็นเหยื่อของศึกรัฐธรรมนูญ อันอาจจะลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองเลือดนองแผ่นดิน ทำให้เมืองไทยถอยหลังกลับไปที่เก่าอีก ผิดแต่ว่าคราวนี้จะเลวทรามสูญเสียยิ่งกว่าเดิมจนคิดไม่ถึง
เพราะรู้ว่าพ่อนอนไม่หลับ กว่าผมจะข่มตาหลับได้แต่ละคืนก็ยากเหลือ นับว่าโชคยังดีที่พระสยามเทวาธิราชมาเข้าฝันผม
ฝันคืนที่ 1 ท่านบอกผมว่า อย่ากลัวไปเลย บ้านเมืองไทยศักดิ์สิทธิ์มีผู้คุ้มครอง คราวนี้ไม่ถึงกับนองเลือดดอก ถึงเวลาคนไทยพูดจากันรู้เรื่อง และรู้จักใช้ปัญญาแก้ปัญหา ไทยเป็นประเทศเก่าแก่ เป็นครูของโลกหลายทาง ขณะนี้เมืองไทยเติบโตทางวุฒิภาวะพอแล้ว ถึงแม้มูลค่าบุคคลรวมของไทยจะต่ำ แต่ปัญญาในสังคมมีสูง ขอแต่ให้มีสมาธิและความสามัคคี ไม่มีปัญหาใดที่จะแก้โดยปัญญาของคนไทยไม่ได้ ขอแต่ว่าตอนนี้ต้องระวังที่สุดอย่าให้เกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่กระทำดีมาแล้วต้องอดทนรักษาแนวทาง ผู้ไม่ร่วมเสริมสร้างอย่าฉวยโอกาสเพราะเห็นแก่ได้หรืออยากเป็นใหญ่
ฝันคืนที่ 2 ท่านบอกผมว่า ขณะนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายพันธมิตรฯ ต่างก็คิดว่าตนเองถูก ไม่มีใครยอมใคร กับทั้งเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่นี้ มิใช่เรื่องที่จะแก้ได้โดยการถอยคนละก้าวสมานฉันท์ เพราะมันเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์อันมหาศาล ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอยู่ขณะนี้ต่างก็มิใช่คู่ชิงที่แท้จริงทั้งคู่ แต่ประชาชนจะสนับสนุนฝ่ายที่มีธรรมะข้อสำคัญฝ่ายที่มีธรรมะนั้นต้องยึดกฎหมายที่ถูกต้องและขบวนการยุติธรรมเป็นหลัก ฝ่ายที่เชิดชูตัวบุคคลจะกระทำการหยาบหยามตามอำเภอใจต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสังคมยอมรับไม่ได้ ในที่สุด เมื่อประชาชนเข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็ชนะ
ฝันคืนที่ 3 ท่านถามผมว่า ประชาชนยังมองไม่เห็นใช่ไหมว่าใครเป็นฝ่ายทำลายกฎหมายมาแต่ต้น ทำลายกฎหมายในท่ามกลาง ทำลายกฎหมายในเบื้องปลาย และขณะนี้ก็ยังทำลายอยู่อย่างเมามัน ทำไมไม่มีใครทำให้ประชาชนมองเห็นชัดๆว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า พรรคไทยรักไทยเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองโดยวิถีทางที่ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ (ถึงแม้จะอาศัยการเลือกตั้งบังหน้าก็ตาม) ท่านยกคำวินิจฉัยคำต่อคำโยนใส่หน้าผมเลยว่า “พรรคไทยรักไทยมิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติ เพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้า ดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จนยากที่จะหาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินแล้วจะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบ หรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง คือ พรรคไทยรักไทยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพรรคไทยรักไทยไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมือง ที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
ฝันคืนที่ 4 ท่านกลับมาย้ำต่อจากคืนที่แล้วว่า พวกแกจำไม่ได้เลยหรือ ไอ้มาตรา 97 ของพ.ร.บ.ประกอบฯ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 “ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา 42 วรรคสอง หรือมาตรา 82 หรือต้องยุบตามมาตรา 94 ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้” ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่นำบทบัญญัตินี้มาบังคับใช้ ผู้นำพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคในรัฐบาลก็จะสิ้นสภาพ
ฝันคืนที่ 5 ท่านบอกว่า ความโลภโมโทสันและตัณหาของคนบางกลุ่มที่กุมอำนาจทางการเมืองอยู่จะบัญชาให้รัฐบาลเอาดินแดนบางส่วนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทยไปแลกกับต่างประเทศ ศาลจะเข้าขัดขวาง และประชาชนทุกหมู่เหล่าก็จะลุกฮือขึ้นทั้งประเทศ รัฐบาลซึ่งขาดความชอบธรรมมาแล้วแต่ต้น ก็ยิ่งจะไม่มีความชอบธรรมใดๆเหลืออยู่เลย จะไม่มีใครเชื่อฟังคำสั่งบังคับบัญชาของรัฐบาลต่อไป ถึงแม้จะมีคณะรัฐมนตรีอยู่ แต่ในความเป็นจริง ประเทศจะตกอยู่ในสภาวะเสมือนไร้อำนาจปกครอง รถไฟเริ่มตัวอย่างด้วยการเดินทางฟรี อีกหน่อยรถเมล์ก็จะขึ้นฟรีทั่ว กทม.และทั่วประเทศ เขายังไม่กล้าหยุดงาน เนื่องจากสังคมไทยยังไม่มีความเข้าใจ แต่ในที่สุดแรงงาน ราชการ ทหาร ตำรวจ ก็จะพากันคิดได้หันหน้าเข้าหา รักใคร่ปรองดองกันหมด และพากันละทิ้งรัฐบาลไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม เหลือแต่ทหารกับตำรวจระดับนายใหญ่เพียงคนสองคนที่ยังอาลัยไม่อยากทิ้งตำแหน่งที่เต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญสุข แม้กระทั่งความมั่นคงของจอมทัพมันก็ไม่ปรารมภ์ คนพวกนี้จะถูกลอยแพในที่สุด
ฝันคืนที่ 6 ท่านบอกว่า ใครยังไม่ได้อ่านพระราชดำรัสแก่ศาลปกครองสูงสุดครั้งสุดท้ายให้รีบไปอ่านเสีย จะได้รู้ซึ้งว่าวิกฤตที่สุดในโลกนั้นกลับยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม วิกฤตจะค่อยๆ เบาบางลง เมื่อศาลทุกศาลเริ่มชำระสะสางคดีที่เป็นดินพอกหางหมูทีละเรื่องสองเรื่อง เช่น เรื่องยุบพรรคที่โกงเลือกตั้ง ยุบพรรคที่กระทำฉ้อฉลกระทำให้เจตนารมณ์ของศาลในอันที่จะปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการต้องห้ามกรรมการบริหารของพรรคเมืองเป็นอันไร้ผล ซ้ำกระทำผิดก้าวล่วงสถาบัน กฎหมาย และรัฐธรรมนูญมากยิ่งขึ้น ในที่สุด อำนาจอธิปไตยด้านบริหารและนิติบัญญัติก็จะเปลือยกายล่อนจ้อนว่ามันรู้จักแต่บริหารด้วยการออกคำสั่งตั้งพรรคพวก และออกกฎหมายไม่เป็นแม้แต่ฉบับเดียวตลอดสมัยการประชุมสภา การอภิปรายในสภานั้นก็ไร้ความหมายสิ้นดี
ถามเขมร-ตอบพม่า ถามสนธิสัญญา-ตอบแผนผัง ไม่ยอมตอบคำถามและหักล้างข้อมูลที่หนักแน่นใดๆ ถึงเวลายกมือก็เฮโลสาระพามาเถอะพวกเราเหล่านักเลือกตั้ง มันจะว่าอะไรก็ช่าง ทำตามคำสั่งนายใหญ่แล้วจะได้ดี ภายใต้เงื่อนไขและองค์ประกอบเช่นนี้บ้านเมืองจะล่มจมลงยิ่งกว่าที่ในหลวงทรงเป็นห่วงเสียอีก ทางออกทางเดียวที่มองเห็นก็คือ ปวงชน ศาล ทหาร ข้าราชการ แรงงาน ฯลฯ จะต้องช่วยกันขับไล่รัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎรออกไปเสีย เพื่อทำให้เกิดช่องว่างหรือ “สุญญากาศ” ในทางการเมืองเพื่อพระเจ้าอยู่หัว “จะได้พร้อมที่จะลงมาช่วยได้อีก ถ้าเกิดสุญญากาศขึ้นมาอีก” ตามพระราชดำรัส สุญญากาศนี้ไม่จำเป็น และจะต้องไม่ใช่การนองเลือดดังที่พวกทหารและคนหัวเก่าเข้าใจ แต่เป็นสุญญากาศทางการเมืองที่สามารถแก้ได้โดยราชประชาสมาสัย คือการที่พระมหากษัตริย์และประชาชนร่วมมือกันตามจารีตประชาธิปไตย อาศัยอำนาจรัฐสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริงขึ้นมาให้สำเร็จ
ฝันคืนที่ 7 ท่านบอกว่า “คณะกรรมการฟื้นฟูประชาธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทย” อันประกอบด้วยตัวแทนของปวงชนชาวไทย ทหาร ข้าราชการ แรงงาน เป็นต้น จะเกิดขึ้นจากคณะบุคคลที่มีคุณงามความดี ไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงแสวงหาตำแหน่งหรืออำนาจใดๆ แต่จะเป็นตัวอย่างแห่งความรักสามัคคี สติปัญญา ความกล้าหาญ และเสียสละเพื่อประเทศชาติ จำเป็นต้องลุกขึ้นมาเพราะเหตุการณ์บีบบังคับไม่สามารถละทิ้งประชาชนและพระเจ้าอยู่หัวได้
ฝันคืนที่ 8 ท่านสรุปว่า องค์กรต่างๆ อันมาจากขบวนการที่เป็นประชาธิปไตย ที่มิใช่การซื้อเสียงหลอกลวงน้ำเน่าแบบการเลือกตั้ง จะถูกระดมเข้ามา เพื่อรวบรวมบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์และองค์ประกอบของประชาธิปไตย และเป็นตัวแทนของปวงชนทำหน้าที่ฟื้นฟูประชาธิปไตย สร้างการเมืองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สามารถรังสรรค์จรรโลงเสรีภาพ สาธารณประโยชน์ และความเป็นธรรมในสังคมอย่างแท้จริง
ฝันคืนที่ 9 ท่านเขกหัวผมดังโป๊ก สรวลยิ้มว่า “ไง เครียดมากหรือท้องผูกล่ะ จึงฝันเฟื่องอยู่ได้ตั้ง 7-8 คืน มันจะเป็นไปได้หรือ ถ้าพวกเองไม่รู้จักพึ่งตนเอง มัวแต่จะรอคอยร้องขออ้อนวอนข้าอยู่ร่ำไป มิหนำซ้ำไอ้พวกป่วนนรกในประเทศไทยนี่มันชักมีมากขึ้นทุกที พวกนี้มันไม่เชื่อหรอกว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง พวกเองจะสู้มันไหวหรือ เองไม่ต้องเชื่อข้า แต่น่าจะลองฟังแม่เองดูสักหน่อยก็จะดี”