วันนี้ผมคงต้องกล่าวถึงบทความของ ใจ อึ๊งภากรณ์ เรื่อง “เขาพระวิหารเป็นของเขมร” ซึ่งขึ้นต้นย่อหน้าแรกบทความของเขาว่า การยกเรื่องเขาพระวิหารมาเป็นประเด็นเพื่อพยายามปลุกระดมคนให้สนับสนุนพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่น่าสมเพช
แม้ว่า หลายคนจะติงว่า บทความนี้ไม่มีคุณค่าพอจะกล่าวถึง เพราะเต็มไปด้วย ความมั่ว อคติ และสะเพร่าทางวิชาการ เพื่อปลุกระดมคนให้เกลียดชังพันธมิตรฯ อันเป็นการกระทำที่น่าสมเพชของนักวิชาการเพื่อมาร์กซิสต์หลงยุคที่มาอาศัยแผ่นดินไทยทำมาหากิน
บทความชิ้นนี้ลงตีพิมพ์ในเว็บไซต์ “ประชาไท” ซึ่งเงินส่วนใหญ่มาจากภาษีของประชาชน และถ้ายอมรับความจริงจะพบว่า ปัจจุบันกลายเป็นที่รวมของพวกบูชาระบอบทักษิณ และชิงชังสถาบันพระมหากษัตริย์
เว็บประชาไท ซึ่งดำเนินงานโดย จอน อึ๊งภากรณ์ มีเงินสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 2,979,000 บาท และจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เป็นจำนวน 1,896,000 บาท และการสนับสนุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์อีก 200,000 บาท จาก Open Society Institue (OSI) จำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,000,000 บาท (ข้อมูลนี้เคยตีพิมพ์ในเว็บประชาไท และปัจจุบันถูกลบออกไปแล้ว?)
กลับมาที่บทความของ “ใจ” เขาบอกว่า “เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร “ชนเผ่าไท” ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศิลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ “ไทยๆ” ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด”
“กรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
“แล้วพวกปัญญาอ่อนที่ทำเป็นโกรธเคืองเรื่องเขาพระวิหาร เขาทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อปั้นน้ำเป็นตัวปลุกกระแสชาตินิยมไร้เหตุผล” ใจ ว่า
บทความที่คนเขียนเชื่อว่า มากไปด้วยภูมิปัญญา แต่สะท้อนความปัญญาอ่อนชิ้นนี้ ลงท้ายไว้ด้วยว่า ใจ อึ๊งภากรณ์ (ผมไม่ใช่ “คนไทย” ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)
ทั้งนี้เพราะข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ปราสาทพระวิหารไม่ใช่ปราสาทของอาณาจักรเขมร แต่ “เขาพระวิหารเป็นของขอม” ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวสถานของฮินดู
แล้ว “ขอม” หมายถึงอะไร (อ้างจาก วิกิพีเดีย)
ขอม เป็นชื่อทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ชื่อชนชาติ หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา นับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ทางใต้ของแคว้นสุโขทัย อาจจะหมายถึงพวกละโว้ (หรือลพบุรี) เอกสารทางล้านนา เช่น จารึกและตำนานต่างๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่าขอมคือพวกที่อยู่ทางใต้ของล้านนา เนื่องจากคำว่า ขอม สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “เขมร”+ “กรอม” (ที่แปลว่า ใต้) พูดเร็วๆ กลายเป็น “ขอม” พวกนี้ตัดผมเกรียน และนุ่งโจงกระเบน กินข้าวเจ้า ฯลฯ แคว้นละโว้มีชื่อในตำนาน และพงศาวดารว่า กัมโพช เลียนอย่างชื่อ กัมพูชา ของเขมร นับถือทั้งฮินดูและพุทธมหายาน อาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนอธิบายไว้ว่า ขอมเป็นพวกนับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ใครเข้ารีตเป็นฮินดู หรือพุทธมหายาน เป็นได้ชื่อว่า ขอม ทั้งหมด ขอมไม่ใช่ชื่อชนชาติ เพราะไม่มีชนชาติขอม แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ สยาม
เดิม ขอม ไม่ได้หมายถึงเขมรกลุ่มเดียว เพราะเขมรนั้นเป็นคำไทย ซึ่งหมายถึง ขะแมร์ ชาวเขมร ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ขอม และไม่รู้จัก ขอม ต่อมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1893 แล้วชื่อ ขอม มีความหมายเปลี่ยนไปเป็นพวกเขมรเท่านั้น สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมชื่อขอม เปลี่ยนความหมายไปเป็นเขมร ? ยังหาคำอธิบายให้เหมาะใจไม่ได้ แต่พอจะจับเค้าว่าเพราะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือพุทธนิกายเถรวาทหมดแล้ว รวมทั้งละโว้ แต่ทางเขมรยังมีพวกนับถือฮินดูกับพุทธมหายาน คือขอมอยู่บ้าง (สุจิตต์ วงษ์เทศ)
ขอม จึงไม่ใช่ เขมร แล้วเราไม่ได้ถกเถียงกันด้วยว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของอาณาจักรเขมรหรืออาณาจักรสยาม ไม่เช่นนั้น เราคงต้องถกเถียงกันเรื่องปราสาทหินทุกแห่ง และถ้าใช้ตรรกะแบบนี้โลกทั้งโลกคงต้องรบรากันเพี่อขีดเส้นพรมแดนกันใหม่
แต่โดยข้อเท็จจริงปัญหาของปราสาทพระวิหารที่เรากำลังถกเถียงกันเกิดขึ้นในยุคล่าอาณานิคม และฝรั่งเศสพยายามเอาเปรียบประเทศที่ไม่ได้เป็นอาณานิคมด้วยการเขียนแผนที่ และเขียนประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นมาใหม่
มาดูข้อเท็จจริงบนเวทีพันธมิตรฯ
สนธิ ลิ้มทองกุล พูดถึงพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่ ปตท.สผ. สำรวจแล้วว่า มีผลประโยชน์ด้านพลังงานมหาศาล และทักษิณต้องการเข้าหาผลประโยชน์ในการลงทุน ด้านธุรกิจพลังงานมาตั้งแต่ปี 2549 โดยระบุว่า ไทยอาจจะเสียดินแดน หากยอมรับเส้นเขตแดนของกัมพูชา
จนกระทั่งรัฐมนตรีพาณิชย์ของประเทศกัมพูชา ออกมายอมรับเองว่า ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเข้ากับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา
ใช่หรือไม่ว่า นี่คือใบเสร็จที่มัดว่า ทำไมรัฐไทยจึงมีความพยายามเร่งรีบลงนามยอมรับเงื่อนไขของรัฐกัมพูชาในทุกข้อ
แล้วสังคมไทย หรือคนที่ได้ชื่อว่า เป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเก่าแก่ของไทยไม่รู้เลยหรือว่า ใครที่อยู่เบื้องหลังพรรคพลังประชาชน ทำไมนายนพดล ปัทมะ ถึงได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ซึ่งขัดขวางการลงนามกับกัมพูชา ทำไมรัฐบาลนี้ถึงเปลี่ยนตัวเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วต่อมาทั้งสมัคร สุนทรเวช และนพดล นำมาอ้างว่า การลงนามถูกต้องเพราะเลขาธิการสภาความมั่นคง และอธิบดีกรมสนธิสัญญาไม่คัดค้าน
ใจ อึ๊งภากรณ์ ไม่ได้ยินข่าวในมุมเปิดเลยหรือว่า ทักษิณจะไปลงทุนที่เกาะกงในฝั่งกัมพูชา เพื่อลงทุนด้านธุรกิจพลังงานก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน ซึ่งได้รับการสำรวจแล้วยืนยันว่า มีมูลค่ามหาศาลในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา
พฤติกรรมดังกล่าว เป็นความชั่วร้ายของ “ระบอบทักษิณ” ที่คนไทยจะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านหรือไม่ (ไม่ว่าจะชอบพันธมิตรฯ หรือไม่ชอบพันธมิตรฯ หรือไม่ก็ตาม)
สิ่งที่พวกเราโต้แย้งก็คือ การลงนามในข้อผูกพันแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique)นั้น เท่ากับว่า ไทยสละสิทธิในการโต้แย้งในปราสาทพระวิหาร การยกดินแดนรอบปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาเป็นการถาวรแล้ว และเท่ากับว่า ไทยยอมรับแผนที่เส้นเขตแดนของกัมพูชา โดยไม่ได้พิจารณาถึงการใช้มาตราส่วนที่แตกต่างกัน
การลงนามในแถลงการณ์ร่วมนั้น เท่ากับเป็นการผูกมัดให้ไทยยอมรับข้อพิพาทด้านดินแดนอื่นที่ยังมีปัญหา เช่น พื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยตามแผนที่ของกัมพูชาไปด้วย
ถ้านักวิชาการที่พยายามกล่าวหาพันธมิตรฯ ช่วยเอากระบือออกจากหัวใจ ก็จะเห็นว่า พันธมิตรฯ ปลุกกระแสชาตินิยมอย่างไร้เหตุผล หรือเปิดโปงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณกันแน่
แม้ว่า หลายคนจะติงว่า บทความนี้ไม่มีคุณค่าพอจะกล่าวถึง เพราะเต็มไปด้วย ความมั่ว อคติ และสะเพร่าทางวิชาการ เพื่อปลุกระดมคนให้เกลียดชังพันธมิตรฯ อันเป็นการกระทำที่น่าสมเพชของนักวิชาการเพื่อมาร์กซิสต์หลงยุคที่มาอาศัยแผ่นดินไทยทำมาหากิน
บทความชิ้นนี้ลงตีพิมพ์ในเว็บไซต์ “ประชาไท” ซึ่งเงินส่วนใหญ่มาจากภาษีของประชาชน และถ้ายอมรับความจริงจะพบว่า ปัจจุบันกลายเป็นที่รวมของพวกบูชาระบอบทักษิณ และชิงชังสถาบันพระมหากษัตริย์
เว็บประชาไท ซึ่งดำเนินงานโดย จอน อึ๊งภากรณ์ มีเงินสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 2,979,000 บาท และจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เป็นจำนวน 1,896,000 บาท และการสนับสนุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์อีก 200,000 บาท จาก Open Society Institue (OSI) จำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,000,000 บาท (ข้อมูลนี้เคยตีพิมพ์ในเว็บประชาไท และปัจจุบันถูกลบออกไปแล้ว?)
กลับมาที่บทความของ “ใจ” เขาบอกว่า “เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะบนยอดเขานั้นมีปราสาทหินจากยุคอาณาจักรเขมร สมัยอาณาจักรเขมร “ชนเผ่าไท” ยังด้อยพัฒนาอยู่มาก เป็นคนป่า ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรไม่ดีหรอก แต่ต้องยอมรับความจริง เขมรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดที่มีในไทยภายหลัง แถมนักประวัติศาสตร์ยังมองว่ากษัตริย์สุโขทัยเป็นคนเขมรอีกด้วย วัฒนธรรมและศิลปะจำนวนมากที่อ้างกันว่าเป็นแบบ “ไทยๆ” ก็ลอกมาจากเขมรทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเราไปดูนครวัด”
“กรณีเขาพระวิหาร มันอยู่บนยอดเขาตรงเส้นพรมแดน ที่กรุงเทพฯ กับปารีส เคยขีดเอาไว้ ไม่มีหมู่บ้านประชาชนอยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงอะไรบ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
“แล้วพวกปัญญาอ่อนที่ทำเป็นโกรธเคืองเรื่องเขาพระวิหาร เขาทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อปั้นน้ำเป็นตัวปลุกกระแสชาตินิยมไร้เหตุผล” ใจ ว่า
บทความที่คนเขียนเชื่อว่า มากไปด้วยภูมิปัญญา แต่สะท้อนความปัญญาอ่อนชิ้นนี้ ลงท้ายไว้ด้วยว่า ใจ อึ๊งภากรณ์ (ผมไม่ใช่ “คนไทย” ภูมิใจเป็นจีนปนอังกฤษ)
ทั้งนี้เพราะข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ปราสาทพระวิหารไม่ใช่ปราสาทของอาณาจักรเขมร แต่ “เขาพระวิหารเป็นของขอม” ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวสถานของฮินดู
แล้ว “ขอม” หมายถึงอะไร (อ้างจาก วิกิพีเดีย)
ขอม เป็นชื่อทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ชื่อชนชาติ หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา นับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ทางใต้ของแคว้นสุโขทัย อาจจะหมายถึงพวกละโว้ (หรือลพบุรี) เอกสารทางล้านนา เช่น จารึกและตำนานต่างๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่าขอมคือพวกที่อยู่ทางใต้ของล้านนา เนื่องจากคำว่า ขอม สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “เขมร”+ “กรอม” (ที่แปลว่า ใต้) พูดเร็วๆ กลายเป็น “ขอม” พวกนี้ตัดผมเกรียน และนุ่งโจงกระเบน กินข้าวเจ้า ฯลฯ แคว้นละโว้มีชื่อในตำนาน และพงศาวดารว่า กัมโพช เลียนอย่างชื่อ กัมพูชา ของเขมร นับถือทั้งฮินดูและพุทธมหายาน อาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนอธิบายไว้ว่า ขอมเป็นพวกนับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ใครเข้ารีตเป็นฮินดู หรือพุทธมหายาน เป็นได้ชื่อว่า ขอม ทั้งหมด ขอมไม่ใช่ชื่อชนชาติ เพราะไม่มีชนชาติขอม แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ สยาม
เดิม ขอม ไม่ได้หมายถึงเขมรกลุ่มเดียว เพราะเขมรนั้นเป็นคำไทย ซึ่งหมายถึง ขะแมร์ ชาวเขมร ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ขอม และไม่รู้จัก ขอม ต่อมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1893 แล้วชื่อ ขอม มีความหมายเปลี่ยนไปเป็นพวกเขมรเท่านั้น สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมชื่อขอม เปลี่ยนความหมายไปเป็นเขมร ? ยังหาคำอธิบายให้เหมาะใจไม่ได้ แต่พอจะจับเค้าว่าเพราะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือพุทธนิกายเถรวาทหมดแล้ว รวมทั้งละโว้ แต่ทางเขมรยังมีพวกนับถือฮินดูกับพุทธมหายาน คือขอมอยู่บ้าง (สุจิตต์ วงษ์เทศ)
ขอม จึงไม่ใช่ เขมร แล้วเราไม่ได้ถกเถียงกันด้วยว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของอาณาจักรเขมรหรืออาณาจักรสยาม ไม่เช่นนั้น เราคงต้องถกเถียงกันเรื่องปราสาทหินทุกแห่ง และถ้าใช้ตรรกะแบบนี้โลกทั้งโลกคงต้องรบรากันเพี่อขีดเส้นพรมแดนกันใหม่
แต่โดยข้อเท็จจริงปัญหาของปราสาทพระวิหารที่เรากำลังถกเถียงกันเกิดขึ้นในยุคล่าอาณานิคม และฝรั่งเศสพยายามเอาเปรียบประเทศที่ไม่ได้เป็นอาณานิคมด้วยการเขียนแผนที่ และเขียนประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นมาใหม่
มาดูข้อเท็จจริงบนเวทีพันธมิตรฯ
สนธิ ลิ้มทองกุล พูดถึงพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่ ปตท.สผ. สำรวจแล้วว่า มีผลประโยชน์ด้านพลังงานมหาศาล และทักษิณต้องการเข้าหาผลประโยชน์ในการลงทุน ด้านธุรกิจพลังงานมาตั้งแต่ปี 2549 โดยระบุว่า ไทยอาจจะเสียดินแดน หากยอมรับเส้นเขตแดนของกัมพูชา
จนกระทั่งรัฐมนตรีพาณิชย์ของประเทศกัมพูชา ออกมายอมรับเองว่า ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเข้ากับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา
ใช่หรือไม่ว่า นี่คือใบเสร็จที่มัดว่า ทำไมรัฐไทยจึงมีความพยายามเร่งรีบลงนามยอมรับเงื่อนไขของรัฐกัมพูชาในทุกข้อ
แล้วสังคมไทย หรือคนที่ได้ชื่อว่า เป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเก่าแก่ของไทยไม่รู้เลยหรือว่า ใครที่อยู่เบื้องหลังพรรคพลังประชาชน ทำไมนายนพดล ปัทมะ ถึงได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ซึ่งขัดขวางการลงนามกับกัมพูชา ทำไมรัฐบาลนี้ถึงเปลี่ยนตัวเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วต่อมาทั้งสมัคร สุนทรเวช และนพดล นำมาอ้างว่า การลงนามถูกต้องเพราะเลขาธิการสภาความมั่นคง และอธิบดีกรมสนธิสัญญาไม่คัดค้าน
ใจ อึ๊งภากรณ์ ไม่ได้ยินข่าวในมุมเปิดเลยหรือว่า ทักษิณจะไปลงทุนที่เกาะกงในฝั่งกัมพูชา เพื่อลงทุนด้านธุรกิจพลังงานก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน ซึ่งได้รับการสำรวจแล้วยืนยันว่า มีมูลค่ามหาศาลในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา
พฤติกรรมดังกล่าว เป็นความชั่วร้ายของ “ระบอบทักษิณ” ที่คนไทยจะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านหรือไม่ (ไม่ว่าจะชอบพันธมิตรฯ หรือไม่ชอบพันธมิตรฯ หรือไม่ก็ตาม)
สิ่งที่พวกเราโต้แย้งก็คือ การลงนามในข้อผูกพันแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique)นั้น เท่ากับว่า ไทยสละสิทธิในการโต้แย้งในปราสาทพระวิหาร การยกดินแดนรอบปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาเป็นการถาวรแล้ว และเท่ากับว่า ไทยยอมรับแผนที่เส้นเขตแดนของกัมพูชา โดยไม่ได้พิจารณาถึงการใช้มาตราส่วนที่แตกต่างกัน
การลงนามในแถลงการณ์ร่วมนั้น เท่ากับเป็นการผูกมัดให้ไทยยอมรับข้อพิพาทด้านดินแดนอื่นที่ยังมีปัญหา เช่น พื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยตามแผนที่ของกัมพูชาไปด้วย
ถ้านักวิชาการที่พยายามกล่าวหาพันธมิตรฯ ช่วยเอากระบือออกจากหัวใจ ก็จะเห็นว่า พันธมิตรฯ ปลุกกระแสชาตินิยมอย่างไร้เหตุผล หรือเปิดโปงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณกันแน่