คกก.รณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนแถลงการณ์ตอบโต้ มท.1 เล่นเล่ห์ เกรงถูกฟ้องร้อง ใช้วาจาสั่งผู้ว่าฯ ห้ามเคเบิลทีวีท้องถิ่นตัดสัญญาณเอเอสทีวี เข่าข่ายลุแก่อำนาจและปิดกั้นข่าวสาร ปชช.
วานนี้ (15 มิ.ย.) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ออกแถลงการณ์ตอบโต้รัฐบาลในหัวข้อ “หยุดละเมิดสิทธิพลเมือง หยุดใช้อำนาจมิชอบ ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารของประชาชน” โดยมีเนื้อหาว่าจากกรณีที่มีนโยบายด้วยวาจาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในหลายจังหวัด สั่งเคเบิลทีวีท้องถิ่นให้ระงับ หรือตัดสัญญาณการแพร่ภาพของเอเอสทีวี ซึ่งแพร่ภาพข่าวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยข่มขู่ว่า หากผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำการจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 85 ทันที ดังที่ปรากฏเป็นข่าวทางสาธารณะ ว่า ได้มีการตัดสัญญาณในหลายพื้นที่ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ ลำพูน ฯลฯ เป็นต้น
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) มีความเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการลุแก่อำนาจและละเมิดสิทธิมนุษยชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2550 มาตรา 45 และ 47 ที่รับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน ซึ่งการกระทำการดังกล่าวเป็นการขัดขวาง หรือแทรกแซงการเสนอข่าว หรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะของบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมืองอย่างชัดเจน ถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และการไม่ออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น อาจเพราะกลัวการถูกฟ้องร้องต่อศาลปกครองในฐานการออกคำสั่ง การใช้อำนาจหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่จริงใจในการบริหารราชการแผ่นดินและการใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างชัดเจนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าว และขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีตำแหน่งระดับสูง เคารพในหลักสิทธิมนุษยชน รับผิดชอบต่อรัฐธรรมนูญ ยุติการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองโดยใช้อำนาจในทางมิชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยุติการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในทุกวิถีทาง ทุกรูปแบบ โดยทันที
วานนี้ (15 มิ.ย.) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ออกแถลงการณ์ตอบโต้รัฐบาลในหัวข้อ “หยุดละเมิดสิทธิพลเมือง หยุดใช้อำนาจมิชอบ ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารของประชาชน” โดยมีเนื้อหาว่าจากกรณีที่มีนโยบายด้วยวาจาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในหลายจังหวัด สั่งเคเบิลทีวีท้องถิ่นให้ระงับ หรือตัดสัญญาณการแพร่ภาพของเอเอสทีวี ซึ่งแพร่ภาพข่าวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยข่มขู่ว่า หากผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำการจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 85 ทันที ดังที่ปรากฏเป็นข่าวทางสาธารณะ ว่า ได้มีการตัดสัญญาณในหลายพื้นที่ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ ลำพูน ฯลฯ เป็นต้น
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) มีความเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการลุแก่อำนาจและละเมิดสิทธิมนุษยชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2550 มาตรา 45 และ 47 ที่รับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน ซึ่งการกระทำการดังกล่าวเป็นการขัดขวาง หรือแทรกแซงการเสนอข่าว หรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะของบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมืองอย่างชัดเจน ถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และการไม่ออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น อาจเพราะกลัวการถูกฟ้องร้องต่อศาลปกครองในฐานการออกคำสั่ง การใช้อำนาจหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่จริงใจในการบริหารราชการแผ่นดินและการใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างชัดเจนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าว และขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีตำแหน่งระดับสูง เคารพในหลักสิทธิมนุษยชน รับผิดชอบต่อรัฐธรรมนูญ ยุติการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองโดยใช้อำนาจในทางมิชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยุติการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในทุกวิถีทาง ทุกรูปแบบ โดยทันที
