ไต่สวนนัดแรกเงิน 2 ล้าน ซี 7 ยันมีเงินในถุงขนมจริงไม่ใช่ความเข้าใจผิด สัปดาห์หน้าตรวจเทปวงจรปิด ก่อนเรียกบุคคลภายนอกสอบ ด้านประธานแผนกคดีอาญานักการเมือง เตรียมประชุมผู้พิพากษาทั้งแผนก 16 มิ.ย.นี้ หามาตรการป้องกันวิ่งเต้นสินบน "ทองใบ" เชื่อหวังสร้างความมัวหมองให้ศาล
วานนี้ (13 มิ.ย.) รายงานข่าวจากศาลฎีกา เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ห้องประชุมเล็กข้างห้องประธานศาลฎีกา มีการประชุมองค์คณะผู้ไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทนายอดีตนักการเมืองนำถุงขนมซึ่งมีเงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยนายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีรพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา องค์คณะผู้ไต่สวนได้เรียกเจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ซึ่งเป็นผู้รับถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท มาสอบถามข้อเท็จจริง การสนทนากับทนายอดีตนักการเมืองในวันที่ 10 มิ.ย. โดยวันดังกล่าว ตรงกับวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางมารายงานตัวต่อศาล หลังกลับจากต่างประเทศโดยมีนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ เดินทางมาด้วย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ยืนยันว่า ภายในถุงมีขนมและเงิน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องทนายอดีตนักการเมืองหยิบถุงขนมผิด โดยไม่รู้ว่ามีเงินอยู่ภายใน
รายงานข่าวระบุว่า หลังองค์คณะไต่สวนเจ้าหน้าที่แล้วสัปดาห์หน้าจะนำเทปจากโทรทัศน์วงจรปิด บริเวณแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชั้นธุรการติดต่อกับทนาย ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุมาตรวจสอบภาพบุคคล และการสนทนาเพื่อเป็นหลักฐาน จากนั้นจะเชิญบุคคลดังกล่าวเข้ามาทำการไต่สวน ส่วนจะต้องเปิดบัลลังก์ไต่สวนอย่างเปิดเผยหรือไม่ องค์คณะผู้ไต่สวนจะมีการหารือกันก่อน
แหล่งข่าวศาลฎีกา เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิ.ย. นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา จะประชุมผู้พิพากษาในแผนกทั้งหมด 9 คน อย่างไรก็ตาม การนัดประชุมดังกล่าวมีการนัดไว้ล่วงหน้าเพื่อหารือเกี่ยวกับงานธุรการคดีภายในศาล แต่เมื่อมีเรื่องถุงขนม 2 ล้านบาทเกิดขึ้นนายเกรียงชัย คงจะหยิบยกปัญหาการวิ่งเต้นสินบนขึ้นมาหารือเพื่อหามาตรการป้องกัน
"ทองใบ"เชื่อหวังให้ศาลมีราคี
นายทองใบ ทองเปาด์ ทนายความรางวัลแมกไซไซ และอดีต ส.ว.มหาสารคาม เปิดถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องแปลกประหลาด เป็นการกระทำที่น่าจะไม่สุจริต มีความมุ่งหมายไม่สุจริต เป็นการต้องการสร้างข่าว และสร้างความมัวหมอง ทำให้เป็นมลทินต่อศาล อีกทั้งยังทำให้ศาลและกระบวนการยุติธรรมมีราคี เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น ซึ่งการที่มีคนนำของ หรือหิ้วถุงอะไรผ่านเข้าไปยังศาลฎีกาได้ ก็ต้องผ่านยามรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ประตูทางเข้า ซึ่งตรงนี้ก็มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า อดีตทนายความคนดังกล่าวเป็นใคร ตรวจสอบไม่ยาก และการหิ้วเงินให้สินบน เข้าลักษณะให้เจ้าหน้าที่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนจะเป็นการให้สินบนเพื่อล้มคดีทางการเมืองหรือไม่ นายทองใบ กล่าวว่า แม้ศาลฎีกาจะมีหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับด้านการเมือง และเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล อาทิ คดีที่ดินรัชดาฯ คดีคลองด่าน คดีใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช แม้ว่าศาลฎีกาจะมีแผนกคดีอาญาพิจารณาคดีนักการเมือง แต่ตรงนี้ก็ยังไม่มีความชัดแจ้งว่า มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ทุกอย่างต้องรอผลการตรวจสอบจากองค์คณะศาลฎีกา และของสภาทนายความประกอบกัน
เรียกร้องสภาทนายสอบเอาผิด
นายทองใบ กล่าวเห็นด้วยที่ศาลฎีกาตั้งองค์คณะตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ส่วนทางด้านสภาทนายความ ที่ออกมาพูดว่าต้องรอผลจากการตรวจสอบของศาลฎีกาก่อนนั้น ตนมองว่าไม่จำเป็นต้องรอ สภาทนายความควรเร่งสรุปผลการตรวจสอบโดยเร็ว เพื่อให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้นมา
ทั้งนี้ อาชีพทนายความมีอุดมการณ์ เน้นทำงานด้วยความถูกต้อง เป็นธรรม มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพอยู่แล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ควรเค้นสอบทนายความที่นำเงินไปฝากไว้ที่ศาล เพื่อให้รู้ว่าทำเพราะอะไร มีเหตุผลอะไร ทำเพื่อใคร จุดประสงค์ต้องการอะไรกันแน่ เพราะเงินที่นำไปไม่ใช่เล็กน้อย คนปกติใครจะมีมากขนาดนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด และไม่ควรเกิดขึ้นอีกในกระบวนการยุติธรรม
นายทองใบ กล่าวด้วยว่า จุดประสงค์ของทนายความอดีตนักการเมือง ที่นำสินบน 2 ล้านบาท เข้าไปยังศาลฎีกา ยังไม่มีความชัดเจนว่าเจาะจงให้ใคร ถ้ามีความผิดก็เป็นความผิดไม่ชัด ไม่ถึงขั้นติดคุก และเจ้าหน้าที่ของศาล ควรต้องให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อจะได้รู้ใครนำมาให้ และต้องการให้ใคร ในคดีอะไร ถ้าถึงขั้นหลักฐานชัดขนาดนั้น โทษผู้นำสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐ ก็จะมีความผิดตามกฎหมายระบุไว้อยู่แล้ว
"อยู่ดีๆ มีคนหิ้วถุงเงินผ่าน รปภ.ศาลเข้าไปในเขตศาลที่ต้องรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดได้ ไปที่โจ่งแจ้งได้ เป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก ไม่ใช่เงินเล็กน้อย ผู้ทำต้องการเป็นข่าว ทำให้ศาลมัวหมอง น่าจะไม่สุจริต ทำให้ศาลมีราคี สภาทนายความต้องตรวจสอบให้ชัด หาตัวอดีตทนายความคนนั้นไม่ยาก นำตัวมาสอบเลยจะได้รู้ทำไปเพราะอะไร ทำเพื่อใคร คดีใด" นายทองใบกล่าว
ด้าน นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ในฐานะที่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดูข้อเท็จจริงว่า ใครเป็นคนนำไปวางไว้ มีวัตถุประสงค์อย่างไร ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะให้ความเห็น แต่ถ้าเป็นการมอบเงินให้ศาลจริง ก็จะทำให้ศาลเสียหาย และถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล
วานนี้ (13 มิ.ย.) รายงานข่าวจากศาลฎีกา เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ห้องประชุมเล็กข้างห้องประธานศาลฎีกา มีการประชุมองค์คณะผู้ไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทนายอดีตนักการเมืองนำถุงขนมซึ่งมีเงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยนายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีรพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา องค์คณะผู้ไต่สวนได้เรียกเจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ซึ่งเป็นผู้รับถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท มาสอบถามข้อเท็จจริง การสนทนากับทนายอดีตนักการเมืองในวันที่ 10 มิ.ย. โดยวันดังกล่าว ตรงกับวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางมารายงานตัวต่อศาล หลังกลับจากต่างประเทศโดยมีนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ เดินทางมาด้วย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ยืนยันว่า ภายในถุงมีขนมและเงิน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องทนายอดีตนักการเมืองหยิบถุงขนมผิด โดยไม่รู้ว่ามีเงินอยู่ภายใน
รายงานข่าวระบุว่า หลังองค์คณะไต่สวนเจ้าหน้าที่แล้วสัปดาห์หน้าจะนำเทปจากโทรทัศน์วงจรปิด บริเวณแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชั้นธุรการติดต่อกับทนาย ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุมาตรวจสอบภาพบุคคล และการสนทนาเพื่อเป็นหลักฐาน จากนั้นจะเชิญบุคคลดังกล่าวเข้ามาทำการไต่สวน ส่วนจะต้องเปิดบัลลังก์ไต่สวนอย่างเปิดเผยหรือไม่ องค์คณะผู้ไต่สวนจะมีการหารือกันก่อน
แหล่งข่าวศาลฎีกา เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิ.ย. นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา จะประชุมผู้พิพากษาในแผนกทั้งหมด 9 คน อย่างไรก็ตาม การนัดประชุมดังกล่าวมีการนัดไว้ล่วงหน้าเพื่อหารือเกี่ยวกับงานธุรการคดีภายในศาล แต่เมื่อมีเรื่องถุงขนม 2 ล้านบาทเกิดขึ้นนายเกรียงชัย คงจะหยิบยกปัญหาการวิ่งเต้นสินบนขึ้นมาหารือเพื่อหามาตรการป้องกัน
"ทองใบ"เชื่อหวังให้ศาลมีราคี
นายทองใบ ทองเปาด์ ทนายความรางวัลแมกไซไซ และอดีต ส.ว.มหาสารคาม เปิดถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องแปลกประหลาด เป็นการกระทำที่น่าจะไม่สุจริต มีความมุ่งหมายไม่สุจริต เป็นการต้องการสร้างข่าว และสร้างความมัวหมอง ทำให้เป็นมลทินต่อศาล อีกทั้งยังทำให้ศาลและกระบวนการยุติธรรมมีราคี เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น ซึ่งการที่มีคนนำของ หรือหิ้วถุงอะไรผ่านเข้าไปยังศาลฎีกาได้ ก็ต้องผ่านยามรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ประตูทางเข้า ซึ่งตรงนี้ก็มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า อดีตทนายความคนดังกล่าวเป็นใคร ตรวจสอบไม่ยาก และการหิ้วเงินให้สินบน เข้าลักษณะให้เจ้าหน้าที่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนจะเป็นการให้สินบนเพื่อล้มคดีทางการเมืองหรือไม่ นายทองใบ กล่าวว่า แม้ศาลฎีกาจะมีหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับด้านการเมือง และเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล อาทิ คดีที่ดินรัชดาฯ คดีคลองด่าน คดีใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช แม้ว่าศาลฎีกาจะมีแผนกคดีอาญาพิจารณาคดีนักการเมือง แต่ตรงนี้ก็ยังไม่มีความชัดแจ้งว่า มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ทุกอย่างต้องรอผลการตรวจสอบจากองค์คณะศาลฎีกา และของสภาทนายความประกอบกัน
เรียกร้องสภาทนายสอบเอาผิด
นายทองใบ กล่าวเห็นด้วยที่ศาลฎีกาตั้งองค์คณะตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ส่วนทางด้านสภาทนายความ ที่ออกมาพูดว่าต้องรอผลจากการตรวจสอบของศาลฎีกาก่อนนั้น ตนมองว่าไม่จำเป็นต้องรอ สภาทนายความควรเร่งสรุปผลการตรวจสอบโดยเร็ว เพื่อให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้นมา
ทั้งนี้ อาชีพทนายความมีอุดมการณ์ เน้นทำงานด้วยความถูกต้อง เป็นธรรม มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพอยู่แล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ควรเค้นสอบทนายความที่นำเงินไปฝากไว้ที่ศาล เพื่อให้รู้ว่าทำเพราะอะไร มีเหตุผลอะไร ทำเพื่อใคร จุดประสงค์ต้องการอะไรกันแน่ เพราะเงินที่นำไปไม่ใช่เล็กน้อย คนปกติใครจะมีมากขนาดนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด และไม่ควรเกิดขึ้นอีกในกระบวนการยุติธรรม
นายทองใบ กล่าวด้วยว่า จุดประสงค์ของทนายความอดีตนักการเมือง ที่นำสินบน 2 ล้านบาท เข้าไปยังศาลฎีกา ยังไม่มีความชัดเจนว่าเจาะจงให้ใคร ถ้ามีความผิดก็เป็นความผิดไม่ชัด ไม่ถึงขั้นติดคุก และเจ้าหน้าที่ของศาล ควรต้องให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อจะได้รู้ใครนำมาให้ และต้องการให้ใคร ในคดีอะไร ถ้าถึงขั้นหลักฐานชัดขนาดนั้น โทษผู้นำสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐ ก็จะมีความผิดตามกฎหมายระบุไว้อยู่แล้ว
"อยู่ดีๆ มีคนหิ้วถุงเงินผ่าน รปภ.ศาลเข้าไปในเขตศาลที่ต้องรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดได้ ไปที่โจ่งแจ้งได้ เป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก ไม่ใช่เงินเล็กน้อย ผู้ทำต้องการเป็นข่าว ทำให้ศาลมัวหมอง น่าจะไม่สุจริต ทำให้ศาลมีราคี สภาทนายความต้องตรวจสอบให้ชัด หาตัวอดีตทนายความคนนั้นไม่ยาก นำตัวมาสอบเลยจะได้รู้ทำไปเพราะอะไร ทำเพื่อใคร คดีใด" นายทองใบกล่าว
ด้าน นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ในฐานะที่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดูข้อเท็จจริงว่า ใครเป็นคนนำไปวางไว้ มีวัตถุประสงค์อย่างไร ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะให้ความเห็น แต่ถ้าเป็นการมอบเงินให้ศาลจริง ก็จะทำให้ศาลเสียหาย และถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล