เอเจนซีส์-มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ได้ออกบทวิเคราะห์ในสัปดาห์นี้ เตือนว่าเศรษฐกิจเวียดนามกำลังเสี่ยงต่อปัญหาที่จะเกิดเงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างรุนแรง หลังจากดัชนีหุ้นของประเทศนี้หล่นวูบหายไปเกือบ 60% ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
สถาบันที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ยังชี้ไปยังตัวเลขขาดดุลการค้าปีต่อปีในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ที่สูงขึ้นกว่า 40% จาก 12,400 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2550 เป็น 14,400 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะเดียวกันก็มีการนำเข้าทองเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขยายตัวเลขขาดดุลออกไปอีก
ปัจจุบันเวียดนามกำลังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมหาศาล ตลอดปีนี้อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 8% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศแต่ในขณะเดียวกันเวียดนามอาจจะต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงเล็กน้อยเหลือ 6.6% ของจีดีพี จาก 6.9% เมื่อปีที่แล้ว สำนักข่าวต่างประเทศอ้างรายงานของมูดี้ส์
บทวิเคราะห์ของมูดี้ส์ยังชี้ว่า เวียดนามสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์การเงินได้ หากตัดสินใจแก้ไขตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคอย่างทันทีทันใดและท่วงทันกับเวลา รัฐบาลควรพุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อโดยขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยปรามการเก็งกำไรค่าเงิน
เพื่อป้องกันวิกฤติด้านดุลชำระเงินและปัญหาการเงินมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องใช้ท่าทีอันเด็ดเดี่ยวซึ่งแม้ว่าจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ก็จะช่วยสกัดกั้นการถดถอยได้และช่วยฟื้นฟูการเติบโตเศรษฐกิจในระยะยาวเพื่อให้พ้นจากวิกฤตการณ์
เศรษฐกิจเวียดนามกำลังผันผวนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลใช้มาตรการทางการเงินแก้ไขเงินเฟ้อ แต่ขณะเดียวกันก็กำลังทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นในระบบธนาคารของประเทศ
ธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม หรือ SBV (State Bank of Vietnam) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลางอีกครั้งหนึ่งในวันพุธ (11 มิ.ย.) จาก 12 เป็น 14% ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ทำให้ธนาคารพาณิชย์กว่า 10 แห่งต้องขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อแข่งขันการระดมเงินออม เนื่องจากขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงในระบบ
มาตรการของแบงก์ชาติเวียดนามยังส่งผลกระทบในวงกว้างถึงตลาดหุ้นของประเทศ ดัชนี VN-Index ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ปิดต่ำกว่าแนวรับทางจิตวิทยาสำคัญที่ 400 จุด
หลังจากดัชนีดิ่งหัวลงติดต่อกันมาตลอด 25 วันทำการซื้อขายที่ผ่านมา ได้มีความพยายามฟื้นคืนในปลายสัปดาห์นี้ แต่ดัชนีหุ้นเวียดนามก็ยังปิดต่ำที่ 370.55 จุด ปิดสูงขึ้นจากวันพุธ 0.10 จุดหรือ 0.03% เท่านั้น
นักวิเคราะห์แห่งบริษัทเมอร์ริลลินช์แอนด์โค กล่าวว่าหุ้นเวียดนามอาจจะทรุดหนักตลอดปีนี้ อันเป็นผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย
นายเหวียนแองต๋วน (Nguyen Anh Tuan) รองผู้อำนวยการคนหนึ่งของธนาคารเพื่อการค้าและอุตสาหกรรมกล่าวว่า มาตรการดอกเบี้ยเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการของรัฐบาล ที่ทำให้เงินแห้งไปจากระบบธนาคารในขณะนี้
เงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูง 25.3% ในเดือน พ.ค. จากเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว หรือราว 16% ใน 5 เดือนแรกของปีนี้จากระยะเดียวกันของปี 2550
วันอังคารที่ผ่านมาพร้อมกับประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง แบงก์แห่งรัฐเวียดนามยังประกาศปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินด่งกับเงินดอลลาร์สำหรับการกู้ยืมระหว่างธนาคารหรือ Interbank rate จาก 16,139 ด่ง เป็น 16,461 ด่งต่อดอลลาร์ เท่ากับเป็นการลดค่าเงินด่งลงราว 1.3% โดยปริยาย
มาตรการต่อสู้เงินเฟ้อกำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางกว่าที่คาดคิด ค่าเงินด่งหล่นวูบลงอย่างกระทันหันสัปดาห์ที่แล้วอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดขยับขึ้นสูงสุดถึง 18,500 ด่งต่อดอลลาร์ จาก 17,500 ด่งในสัปดาห์ก่อน ขณะที่อัตราอย่างเป็นทาการยังอยู่ที่ 16,100 ด่ง
นักลงทุน ร้านค้าทั่วไป พากันเข้าซื้อเงินสกุลสหรัฐฯ เพราะเห็นว่ามีเสถียรภาพมากกว่าเงินสกุลท้องถิ่น
ปัญหาค่าเงินด่งยังลามไปสู่ภาคส่งออกและนำเข้าสินค้าของประเทศ ซึ่งบริษัทชิปปิ้งแห่งต่างๆ ได้ปฏิเสธที่จะรับการชำระค่าบริการเป็นเงินด่ง จะรับเฉพาะดอลลาร์และให้ลูกค้าต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดอีกด้วย
บริษัทชิปปิ้งหลายแห่งยอมรับต่อไปการชำระเป็นเงินด่งต่อไป แต่ลูกค้าจะต้องจ่ายเป็นค่าเซอร์ชาร์จเพิ่มอีก 10% หากใช้อัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ.
สถาบันที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ยังชี้ไปยังตัวเลขขาดดุลการค้าปีต่อปีในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ที่สูงขึ้นกว่า 40% จาก 12,400 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2550 เป็น 14,400 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะเดียวกันก็มีการนำเข้าทองเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขยายตัวเลขขาดดุลออกไปอีก
ปัจจุบันเวียดนามกำลังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมหาศาล ตลอดปีนี้อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 8% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศแต่ในขณะเดียวกันเวียดนามอาจจะต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงเล็กน้อยเหลือ 6.6% ของจีดีพี จาก 6.9% เมื่อปีที่แล้ว สำนักข่าวต่างประเทศอ้างรายงานของมูดี้ส์
บทวิเคราะห์ของมูดี้ส์ยังชี้ว่า เวียดนามสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์การเงินได้ หากตัดสินใจแก้ไขตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคอย่างทันทีทันใดและท่วงทันกับเวลา รัฐบาลควรพุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อโดยขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยปรามการเก็งกำไรค่าเงิน
เพื่อป้องกันวิกฤติด้านดุลชำระเงินและปัญหาการเงินมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องใช้ท่าทีอันเด็ดเดี่ยวซึ่งแม้ว่าจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ก็จะช่วยสกัดกั้นการถดถอยได้และช่วยฟื้นฟูการเติบโตเศรษฐกิจในระยะยาวเพื่อให้พ้นจากวิกฤตการณ์
เศรษฐกิจเวียดนามกำลังผันผวนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลใช้มาตรการทางการเงินแก้ไขเงินเฟ้อ แต่ขณะเดียวกันก็กำลังทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นในระบบธนาคารของประเทศ
ธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม หรือ SBV (State Bank of Vietnam) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลางอีกครั้งหนึ่งในวันพุธ (11 มิ.ย.) จาก 12 เป็น 14% ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ทำให้ธนาคารพาณิชย์กว่า 10 แห่งต้องขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อแข่งขันการระดมเงินออม เนื่องจากขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงในระบบ
มาตรการของแบงก์ชาติเวียดนามยังส่งผลกระทบในวงกว้างถึงตลาดหุ้นของประเทศ ดัชนี VN-Index ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ปิดต่ำกว่าแนวรับทางจิตวิทยาสำคัญที่ 400 จุด
หลังจากดัชนีดิ่งหัวลงติดต่อกันมาตลอด 25 วันทำการซื้อขายที่ผ่านมา ได้มีความพยายามฟื้นคืนในปลายสัปดาห์นี้ แต่ดัชนีหุ้นเวียดนามก็ยังปิดต่ำที่ 370.55 จุด ปิดสูงขึ้นจากวันพุธ 0.10 จุดหรือ 0.03% เท่านั้น
นักวิเคราะห์แห่งบริษัทเมอร์ริลลินช์แอนด์โค กล่าวว่าหุ้นเวียดนามอาจจะทรุดหนักตลอดปีนี้ อันเป็นผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย
นายเหวียนแองต๋วน (Nguyen Anh Tuan) รองผู้อำนวยการคนหนึ่งของธนาคารเพื่อการค้าและอุตสาหกรรมกล่าวว่า มาตรการดอกเบี้ยเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการของรัฐบาล ที่ทำให้เงินแห้งไปจากระบบธนาคารในขณะนี้
เงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูง 25.3% ในเดือน พ.ค. จากเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว หรือราว 16% ใน 5 เดือนแรกของปีนี้จากระยะเดียวกันของปี 2550
วันอังคารที่ผ่านมาพร้อมกับประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง แบงก์แห่งรัฐเวียดนามยังประกาศปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินด่งกับเงินดอลลาร์สำหรับการกู้ยืมระหว่างธนาคารหรือ Interbank rate จาก 16,139 ด่ง เป็น 16,461 ด่งต่อดอลลาร์ เท่ากับเป็นการลดค่าเงินด่งลงราว 1.3% โดยปริยาย
มาตรการต่อสู้เงินเฟ้อกำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางกว่าที่คาดคิด ค่าเงินด่งหล่นวูบลงอย่างกระทันหันสัปดาห์ที่แล้วอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดขยับขึ้นสูงสุดถึง 18,500 ด่งต่อดอลลาร์ จาก 17,500 ด่งในสัปดาห์ก่อน ขณะที่อัตราอย่างเป็นทาการยังอยู่ที่ 16,100 ด่ง
นักลงทุน ร้านค้าทั่วไป พากันเข้าซื้อเงินสกุลสหรัฐฯ เพราะเห็นว่ามีเสถียรภาพมากกว่าเงินสกุลท้องถิ่น
ปัญหาค่าเงินด่งยังลามไปสู่ภาคส่งออกและนำเข้าสินค้าของประเทศ ซึ่งบริษัทชิปปิ้งแห่งต่างๆ ได้ปฏิเสธที่จะรับการชำระค่าบริการเป็นเงินด่ง จะรับเฉพาะดอลลาร์และให้ลูกค้าต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดอีกด้วย
บริษัทชิปปิ้งหลายแห่งยอมรับต่อไปการชำระเป็นเงินด่งต่อไป แต่ลูกค้าจะต้องจ่ายเป็นค่าเซอร์ชาร์จเพิ่มอีก 10% หากใช้อัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ.