สงครามทวิภพและวิกฤตการเมืองแบบไทยๆ
เผอิญช่วงนี้ ผมหันมาช่วยสอนวิชาทางรัฐศาสตร์ ผมรับสอนเรื่องรัฐไทย และวิกฤตการเมืองไทย
เวลาที่เราเรียนรู้วิชารัฐศาสตร์แบบตะวันตก เราจะเรียนรู้ผ่านความเข้าใจการเมืองในมิติเรื่อง ระบบความสัมพันธ์ทางการเมือง หรือระบบอำนาจ และความขัดแย้งระหว่างชนชั้นและชนชั้นต่างๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำและพลังภาคประชาชน
ทฤษฎีเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวการเมืองได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างน้อยช่วยทำให้คนเข้าใจเรื่องการเมืองไทยในมิติที่ว่าด้วยระบบโครงสร้างอำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนผ่าน
แต่การเมืองไทยวันนี้ กล่าวได้ว่า “ปั่นป่วน จนเวียนหัว”
ชนชั้นนำก็แตกเป็นขั้ว เป็นฝ่าย ทุกฝ่ายก็แตกเป็นขั้วและเป็นฝ่าย ภาคประชาชนเองก็ตีกัน จะเอากันตาย คนในครอบครัวเดียวกันก็แตกกัน ประณามกัน ราวกับว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป
จนไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก ไม่รู้ว่าจะร่วมกับใครดี หรือไม่ดี
บางกลุ่มถึงกับประกาศ “สงครามครั้งสุดท้าย” ราวกับว่า สงครามคือคำตอบ และเราสามารถแก้ปัญหาครั้งนี้ได้โดยวิถีแห่งสงครามเท่านั้น
จึงดูราวว่า วันนี้...การเมืองไทยได้ก้าวสู่จุดเริ่มแห่งกลียุคทางการเมืองแล้ว
ที่สำคัญ ความสลับซับซ้อน ความปั่นป่วน และความพลิกผัน หรือกลียุคทางการเมืองไทยครั้งนี้กำลังส่งผล ทำให้ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์เก่าๆ ที่เคยใช้ร่ำเรียนกันมา ตอบคำถามมากมายไม่ได้
ทำไม!! ผมกล่าวเช่นนี้
วันหนึ่ง ผมต้องไปสอนเรื่อง วิกฤตการเมืองไทยในยุคโลกาภิวัตน์
ก่อนจะเริ่มการเรียนทุกครั้ง ผมมักจะตั้งประเด็นสอนจากคำถามของนักศึกษา
ผมจึงเริ่มว่า
“พวกคุณถามอะไรก็ได้ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่อง วิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบัน”
นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“ก่อนที่ท่านอาจารย์จะเข้ามา พวกเรากำลังคุยเรื่องที่ค่อนข้างแปลกประหลาดมากเรื่องหนึ่ง”
ผมถามกลับไปว่า
“เป็นเรื่องวิกฤตการเมืองหรือเปล่า ถ้าใช่ เราจะได้นำเอามาเป็นประเด็นแลกเปลี่ยนกัน” นักศึกษาตอบว่า
“น่าจะใช่ครับ พวกเราถกกันเรื่องข่าวลือ ว่าท่านอดีตนายกฯ หลงเชื่อว่า ท่านคือพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า”
เล่นเอาผมหัวเราะสักพักหนึ่ง แล้วกล่าวตอบเขาว่า
“ปีที่แล้ว ก็มีนักธุรกิจผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เรียนปริญญาโทที่นี่เช่นกัน ท่านก็ยืนยันเรื่องนี้ ท่านบอกว่าน้องสาวคุณทักษิณเองเคยกล่าวกับท่านด้วยตัวเองว่า พี่ชาย คือพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิด”
ผมกล่าวสืบไปว่า
“ตอนนั้น ผมรับฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมไม่มั่นใจนักว่าเรื่องนี้เป็น ‘จริง’ หรือ ‘ไม่จริง’อย่างไร”
ผมถามนักศึกษาว่า
“ทำไม พวกคุณถึงคุยเรื่องนี้กันในวันนี้ คงไม่ใช่เพียงแค่ข่าวลือ หรือเพราะ ชื่อคุณทักษิณ พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ก็อ่านได้ว่าคือ ตากสิน”
นักศึกษาด้านหลังห้องคนหนึ่งตอบว่า
“อาจารย์ครับ วันนี้ พวกเราคุยถึงเรื่องหมอดูพม่าตาบอดคนหนึ่ง คนไทยทั่วไปเรียกว่า หมอดูอีที แต่ชื่อจริงเป็นภาษาพม่า ออกเสียงคล้ายๆ กับอีที แต่ไม่ใช่อีทีจริงๆ นะครับ
มีพวกเราบางคนเดินทางไปพบหมอท่านนี้ เพราะได้ยินข่าวว่าหมอดูคนนี้เองเคยทำนายหรือบอกคุณทักษิณอย่างชัดๆว่า อดีตชาติของท่านก็คือ พระเจ้าตากสิน”
ผมพูดเชิงแย้งว่า
“ไม่มีตำราหมอดูแบบไหน ที่สามารถดูแบบข้ามภพข้ามชาติได้ จริงๆ นะ หมอดูทั่วไปทำได้อย่างเก่งคือ ทำนายอนาคตข้างหน้าเท่านั้น”
นักศึกษาอีกท่านหนึ่งก็เล่าว่า
“เวลาดู จะมีการทำนายเลขในแบงก์ในกระเป๋าของเราก่อน ทำนายได้ตรงเผงเลย ไม่รู้ว่าทายได้อย่างไร
หลังจากนั้น ก็ดู หรือทำนาย น่าจะใช้วิชาที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้สมาธิชั้นสูง”
ผมถามว่า
“แล้วพวกคุณที่ไปดูกัน ดูแล้วเชื่อหรือไม่”
นักศึกษาท่านหนึ่งบอกว่า
“หมอดูตาบอดคนนี้ทำนายได้แม่นมาก”
นักศึกษาอีกท่านจึงถามขึ้นว่า
“อาจารย์ครับ เรื่องกลับชาติมาเกิด เป็นเรื่องจริงไหมครับ”
ผมตอบว่า
“จริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้”
และกล่าวต่อว่า
“ลองคิดง่ายๆ ดูว่า เราทุกคนตอบได้ไหมว่า เราคือใคร จริงๆ ความเป็นเราเปลี่ยนไปได้ทุกวันไม่ใช่หรือ”
ผมย้ำว่า
“มีใครบ้างเล่าที่จะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตลอดไป ถ้ามีการกลับชาติมาเกิดจริง ชาติที่แล้วเราอาจจะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ชาตินี้เราอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง”
‘ความเป็นพระเจ้าตาก’ ดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยหลายร้อยปีมาแล้ว
วันนี้ ความเป็นพระเจ้าตากยังสามารถดำรงอยู่ได้จริงหรือ
ถ้าได้จริง ก็น่าจะ ‘แปลกพิสดารพันลึกล้ำมาก’
ไม่เชื่อ ก็ลองคิดถึง ‘ตัวเรา’ เอง เราจะพบว่า เราไม่สามารถเป็น หรือดำรงอยู่ อย่างที่เราเคยเป็นได้เลย
นี่คือกฎหลักที่เรียกว่า อนิจจัง และ ทุกขัง ของชาวพุทธ
ตัวอย่างเช่น
สมัยที่พวกเรายังเด็กๆ เราทุกคนน่ารักและอาโนเนะ วันนี้ พอเราแก่ตัว เราไม่มีทางหวนกลับคืนสู่ความเป็นเด็กคนนั้นได้อีกแล้ว ทั้งๆ ที่เด็กคนนั้นคือ ‘ตัวเรา’ ในอดีต
เราจึงสามารถบอกได้ว่า เราคือเด็กคนนั้น และเราไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วในเวลาเดียวกัน
วันนี้ จึงไม่มีใครเป็นพระเจ้าตากได้อีกแล้ว แม้ว่าจะจริง ว่าท่านอดีตนายกฯ คือพระเจ้าตาก จริงหรือไม่ก็ตาม เพราะความเป็นพระเจ้าตากได้จบลงไปแล้วในประวัติศาสตร์ไทย
พอถกกันเรื่องหมอดู ผมได้โอกาสที่จะเริ่มต้นตั้งประเด็นในการสอน
ผมกล่าวขึ้นว่า
การเมืองไทยมีมิติแบบไทยๆ ที่ซ่อนอยู่ และบางครั้งก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีตะวันตกอย่างเช่น อิทธิพลของความเชื่อ ความศรัทธา และคำทำนาย เพราะไม่มากก็น้อย บรรดาชนชั้นนำที่มีอำนาจทั้งหลายมักจะตั้งคำถาม ถามตัวเองว่า ‘ชาติที่แล้ว ท่านเป็นใครกันแน่’
ผมเล่าต่อว่า
ผมเองก็เคยเดินทางไปกับเพื่อนๆ สองคนที่เชื่อเรื่องนี้อย่างมากๆ เพื่อนทั้งสองพาผมไปภาคใต้ เจอผู้หญิงสูงอายุท่านหนึ่ง ท่านสามารถทำนายอดีตชาติด้วยการนั่งสมาธิ แล้วสั่นไปทั้งตัว คล้ายกับการสะกดจิตตัวเอง ราวกับว่าสามารถติดต่อหรือเข้าทรงหลวงพ่อทวดได้
ท่านก็สามารถบอกได้ว่า อดีตชาติของแต่ละคนคือใคร
ในช่วงที่เข้าทรง ท่านบอกว่า เพื่อนผมคนหนึ่งคือ ทหารเอกพระเจ้าตาก กลับชาติมาเกิด อีกคนหนึ่งคือ ท่านท้าวพระศรีสุริโยไท ส่วนผมเองฟังไม่ได้ถนัดว่าคือใครกันแน่ แต่ท่านพูดทำนองว่า อยู่เบื้องหน้าพระนเรศวร เป็นอะไรก็ไม่รู้
ที่แปลกคือ ทุกคนมีอดีตชาติที่เป็นใหญ่เป็นโตกันทั้งนั้น
ผมเลยพูดแบบแหย่ๆ เพื่อนทั้งสองแบบเล่นๆ ว่า
อดีตชาติของพวกคุณไม่ดีเลย ถ้าเป็นจริงตามนี้ ชาตินี้ พวกคุณคงต้องรับกรรมหนักเพราะบรรดาคนที่มีอำนาจทั้งหมดในชาติที่แล้ว ก็ต้องก่อกรรม สร้างเวรไว้จำนวนมาก
ทหารเอกพระเจ้าตาก รวมทั้งท้าวศรีสุริโยไท ก่อนจะขึ้นมามีอำนาจและในช่วงมีอำนาจ ต้องทำสงครามปราบปราม เข่นฆ่าผู้คน ซึ่งถือว่าเป็น‘บาปกรรม’ที่หนักหน่วงที่สุด
ผมบอกเพื่อนๆ ด้วยว่า
“ชาตินี้ พวกคุณคงต้องรับกรรมหนักทั้งชาติเป็นแน่”
เพื่อนทั้งสองพอได้ยินผมกล่าวแหย่เช่นนั้น ก็หน้าซีดไปตามๆ กัน
ส่วนผมดีหน่อย เพราะฟังไม่ออกว่าเป็นใคร
ผมย้ำบอกเพื่อนว่า
“เรามักจะเข้าใจกันผิดๆว่า คนที่มีอำนาจมาก หรือมีเงินมากๆ คือคนมีบุญวาสนามาก เราไม่ตระหนักรู้ว่า ที่แท้คนเหล่านี้ คือคนที่มีเวรและมีกรรมมาก”
ผมยกตัวอย่างให้เพื่อนฟัง
อย่างเช่น ท่านอดีตนายกฯ ท่านมีทั้งเงินและอำนาจ มาวันนี้ ท่านมีแต่ความทุกข์ จมอยู่กับความทุกข์ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ มีเงินนับหมื่นนับแสนล้านก็จะถูกยึด มีผู้คนมากมายในแผ่นดินร่วมกันด่าทอ สาปแช่งท่านและครอบครัว
นักศึกษาท่านหนึ่งยกมือขึ้น ถามผมว่า
“อาจารย์กำลังบอกว่า เรื่องวิญญาณ การกลับชาติมาเกิด เรื่องภพ เรื่องชาติ มีจริงนะซิ”
ผมตอบว่า
“จะจริงก็ได้ ..... ยิ่งเชื่อ ยิ่งใช่ และยิ่งจริง
แต่ทั้งหมดทั้งหลายคือ มายา ”
‘มายา’ คำนี้ไม่ได้แปลว่า ไม่จริง หมายความว่า ถ้าเราหลงเชื่อ ความเชื่อนี้จะมีพลังอำนาจเหนือเรา มีอำนาจเหนือจิตวิญญาณเรา
และถ้าเชื่อว่า “จริงอย่างยิ่ง” สงครามทวิภพ หรือสงครามข้ามชาติข้ามภพ ก็จะ“มีจริง”ด้วย
พระเจ้าตากก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ กลับมาต่อสู้เพื่อช่วงชิงเอาแผ่นดินคืน
ถ้าใครหลงเชื่อเช่นนี้ หรือเกิดความเชื่อเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะทำให้การต่อสู้ทางการเมืองไทยปัจจุบันซับซ้อนมากกว่าการต่อสู้ทั่วไป ที่สู้ในเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องอำนาจเท่านั้น
ยิ่งถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเชื่อเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน และเชื่อว่า ‘เป็นจริง’ หรือเชื่อว่าอดีตชาติตัวเองคือ ใครสักคนที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามพระเจ้าตาก ก็ต้องยอมตาย สู้เพื่อรักษาแผ่นดินที่พวกเขาหวงแหนด้วยชีวิตเช่นกัน
ผมจึงกล่าวแบบสรุปว่า
การวิเคราะห์การเมืองไทยแบบไทยๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับมิติทางจิตวิญญาณและความเชื่อด้วย เลยยุ่งเหมือนยุงตีกัน
นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“...ในช่วงวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา มีเรื่องประหลาด 5 เรื่อง ก่อเกิดขึ้น
เรื่องแรก คือ เรื่องคนบ้าทุบท่านท้าวมหาพรหม
เรื่องที่สอง คือ เรื่องการทำพิธีกรรม ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเชื่อกันว่า พระเจ้าตากเคยไปบวช
เรื่องที่สาม คือ เรื่องการทุบทำลายโบราณสถานที่เขาพนมรุ้งในวันมาฆบูชา
เรื่องที่สี่ คือ การสะเดาะเคราะห์แบบทั่วประเทศไทย
เรื่องที่ห้า คือ เรื่องพิธีกรรมนั่งบนหลังช้าง ราวกับเป็นกษัตริย์
ผมว่า มันแปลกๆ นะครับ…”
ผมกล่าวตอบว่า
เรื่องสะเดาะเคราะห์กันแบบจริงจัง กับพิธีกรรมนั่งบนหลังช้าง อาจจะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ว่า ท่านอดีตนายกฯ อาจจะเชื่อเรื่องเหล่านี้พอสมควรทีเดียว
ส่วนเรื่องที่หนึ่งและเรื่องที่สามนั้น สงสัยว่าน่าจะเกี่ยวกับการทำลายพลังอำนาจ หรือความเชื่อโบราณเรื่อง พระพรหม ซึ่งช่วยปกป้องกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งทำลายพลังอำนาจที่ต่อเชื่อมกับสถาบันกษัตริย์ไทย ซึ่งเชื่อว่า กษัตริย์ คือผู้ที่สืบทอดมาจากพระราม จึงใช้พระนามว่า พระรามาธิบดี
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า กำเนิดกรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับลัทธิพราหมณ์กับความเชื่อว่า กษัตริย์ไทยคือผู้สืบทอดมาจากพระราม
ผมย้ำกับนักศึกษาว่า
อย่าเชื่อบทสรุปนี้มากนัก นี่ถือได้ว่าเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ยืนยันได้แน่ๆร้อยเปอร์เซ็นต์
เราคงต้องศึกษา ค้นหาข้อเท็จจริงเพิ่มมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างไร นี่สะท้อนว่า สงครามทวิภพน่าจะมีจริงอยู่บ้าง ในระดับหนึ่ง
ข้อสำคัญ ความเชื่อเรื่องเหล่านี้อาจจะถูกขยายความให้ดูสมจริงมากขึ้น และถูกใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้
วันหนึ่ง ผมเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ท่านชอบเรื่องหมอดูมาก
ท่านเดินทางไปเชียงใหม่กลับมา พอเจอผม ก็เล่าเรื่องคำทำนายเมืองให้ฟัง
คำทำนายแรก คือ ยุครัตนโกสินทร์กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
ยุคต่อจากนี้ไปคือ ยุคพระเจ้าตาก
นอกจากนี้ ก็บอกกับบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่บางท่านว่า ท่านคือทหารเอกพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิด
‘ทวิภพ’ จึงยิ่งจะกลายเป็นความจริง (ทางความเชื่อของบรรดาผู้คนที่มีอำนาจมากขึ้น) และอาจจะส่งผลให้ความขัดแย้งและสงครามระหว่าง 2 ฝ่ายรุนแรงมากขึ้นเพราะเรื่องราวทั้งหมดจะถูกขยายความ ตีความใหม่ โดยบรรดาผู้คนที่อ้างว่า ‘รู้อนาคต’
ดังนั้น สงครามทวิภพ จึงกลายเป็นสงครามในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ ในเวลาเดียวกันด้วย
นักศึกษาคนหนึ่ง กล่าวว่า
“ถ้าเรื่องนี้จริง เราจะเข้าใจการเมืองไทย คงต้องศึกษาในเชิงจิตวิญญาณและความเชื่อด้วย”
ผมบอกว่า “ใช่”
กล่าวแบบสรุป พระท่านมักกล่าวเตือนเราเสมอว่า
ทั้งหมดทั้งหลาย (การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ ) ล้วนแล้วแต่คือ มายา
ถ้ายอมให้ ‘มายา’ มีอำนาจเหนือเรา เราก็จะตกหลุม เข้าสู่โลกแห่งสงคราม และจมอยู่กับความทุกข์
ทุกข์ที่เชื่อว่าต้องถูกฆ่าตายอย่างทารุณในอดีตชาติ ทุกข์ที่ต้องตามล้างแค้นแบบข้ามชาติข้ามภพ
เราต้องตระหนักเสมอว่า
“เวรนั้น ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” (ยังมีต่อ)
เผอิญช่วงนี้ ผมหันมาช่วยสอนวิชาทางรัฐศาสตร์ ผมรับสอนเรื่องรัฐไทย และวิกฤตการเมืองไทย
เวลาที่เราเรียนรู้วิชารัฐศาสตร์แบบตะวันตก เราจะเรียนรู้ผ่านความเข้าใจการเมืองในมิติเรื่อง ระบบความสัมพันธ์ทางการเมือง หรือระบบอำนาจ และความขัดแย้งระหว่างชนชั้นและชนชั้นต่างๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำและพลังภาคประชาชน
ทฤษฎีเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวการเมืองได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างน้อยช่วยทำให้คนเข้าใจเรื่องการเมืองไทยในมิติที่ว่าด้วยระบบโครงสร้างอำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนผ่าน
แต่การเมืองไทยวันนี้ กล่าวได้ว่า “ปั่นป่วน จนเวียนหัว”
ชนชั้นนำก็แตกเป็นขั้ว เป็นฝ่าย ทุกฝ่ายก็แตกเป็นขั้วและเป็นฝ่าย ภาคประชาชนเองก็ตีกัน จะเอากันตาย คนในครอบครัวเดียวกันก็แตกกัน ประณามกัน ราวกับว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป
จนไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก ไม่รู้ว่าจะร่วมกับใครดี หรือไม่ดี
บางกลุ่มถึงกับประกาศ “สงครามครั้งสุดท้าย” ราวกับว่า สงครามคือคำตอบ และเราสามารถแก้ปัญหาครั้งนี้ได้โดยวิถีแห่งสงครามเท่านั้น
จึงดูราวว่า วันนี้...การเมืองไทยได้ก้าวสู่จุดเริ่มแห่งกลียุคทางการเมืองแล้ว
ที่สำคัญ ความสลับซับซ้อน ความปั่นป่วน และความพลิกผัน หรือกลียุคทางการเมืองไทยครั้งนี้กำลังส่งผล ทำให้ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์เก่าๆ ที่เคยใช้ร่ำเรียนกันมา ตอบคำถามมากมายไม่ได้
ทำไม!! ผมกล่าวเช่นนี้
วันหนึ่ง ผมต้องไปสอนเรื่อง วิกฤตการเมืองไทยในยุคโลกาภิวัตน์
ก่อนจะเริ่มการเรียนทุกครั้ง ผมมักจะตั้งประเด็นสอนจากคำถามของนักศึกษา
ผมจึงเริ่มว่า
“พวกคุณถามอะไรก็ได้ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่อง วิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบัน”
นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“ก่อนที่ท่านอาจารย์จะเข้ามา พวกเรากำลังคุยเรื่องที่ค่อนข้างแปลกประหลาดมากเรื่องหนึ่ง”
ผมถามกลับไปว่า
“เป็นเรื่องวิกฤตการเมืองหรือเปล่า ถ้าใช่ เราจะได้นำเอามาเป็นประเด็นแลกเปลี่ยนกัน” นักศึกษาตอบว่า
“น่าจะใช่ครับ พวกเราถกกันเรื่องข่าวลือ ว่าท่านอดีตนายกฯ หลงเชื่อว่า ท่านคือพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า”
เล่นเอาผมหัวเราะสักพักหนึ่ง แล้วกล่าวตอบเขาว่า
“ปีที่แล้ว ก็มีนักธุรกิจผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เรียนปริญญาโทที่นี่เช่นกัน ท่านก็ยืนยันเรื่องนี้ ท่านบอกว่าน้องสาวคุณทักษิณเองเคยกล่าวกับท่านด้วยตัวเองว่า พี่ชาย คือพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิด”
ผมกล่าวสืบไปว่า
“ตอนนั้น ผมรับฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมไม่มั่นใจนักว่าเรื่องนี้เป็น ‘จริง’ หรือ ‘ไม่จริง’อย่างไร”
ผมถามนักศึกษาว่า
“ทำไม พวกคุณถึงคุยเรื่องนี้กันในวันนี้ คงไม่ใช่เพียงแค่ข่าวลือ หรือเพราะ ชื่อคุณทักษิณ พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ก็อ่านได้ว่าคือ ตากสิน”
นักศึกษาด้านหลังห้องคนหนึ่งตอบว่า
“อาจารย์ครับ วันนี้ พวกเราคุยถึงเรื่องหมอดูพม่าตาบอดคนหนึ่ง คนไทยทั่วไปเรียกว่า หมอดูอีที แต่ชื่อจริงเป็นภาษาพม่า ออกเสียงคล้ายๆ กับอีที แต่ไม่ใช่อีทีจริงๆ นะครับ
มีพวกเราบางคนเดินทางไปพบหมอท่านนี้ เพราะได้ยินข่าวว่าหมอดูคนนี้เองเคยทำนายหรือบอกคุณทักษิณอย่างชัดๆว่า อดีตชาติของท่านก็คือ พระเจ้าตากสิน”
ผมพูดเชิงแย้งว่า
“ไม่มีตำราหมอดูแบบไหน ที่สามารถดูแบบข้ามภพข้ามชาติได้ จริงๆ นะ หมอดูทั่วไปทำได้อย่างเก่งคือ ทำนายอนาคตข้างหน้าเท่านั้น”
นักศึกษาอีกท่านหนึ่งก็เล่าว่า
“เวลาดู จะมีการทำนายเลขในแบงก์ในกระเป๋าของเราก่อน ทำนายได้ตรงเผงเลย ไม่รู้ว่าทายได้อย่างไร
หลังจากนั้น ก็ดู หรือทำนาย น่าจะใช้วิชาที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้สมาธิชั้นสูง”
ผมถามว่า
“แล้วพวกคุณที่ไปดูกัน ดูแล้วเชื่อหรือไม่”
นักศึกษาท่านหนึ่งบอกว่า
“หมอดูตาบอดคนนี้ทำนายได้แม่นมาก”
นักศึกษาอีกท่านจึงถามขึ้นว่า
“อาจารย์ครับ เรื่องกลับชาติมาเกิด เป็นเรื่องจริงไหมครับ”
ผมตอบว่า
“จริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้”
และกล่าวต่อว่า
“ลองคิดง่ายๆ ดูว่า เราทุกคนตอบได้ไหมว่า เราคือใคร จริงๆ ความเป็นเราเปลี่ยนไปได้ทุกวันไม่ใช่หรือ”
ผมย้ำว่า
“มีใครบ้างเล่าที่จะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตลอดไป ถ้ามีการกลับชาติมาเกิดจริง ชาติที่แล้วเราอาจจะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ชาตินี้เราอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง”
‘ความเป็นพระเจ้าตาก’ ดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยหลายร้อยปีมาแล้ว
วันนี้ ความเป็นพระเจ้าตากยังสามารถดำรงอยู่ได้จริงหรือ
ถ้าได้จริง ก็น่าจะ ‘แปลกพิสดารพันลึกล้ำมาก’
ไม่เชื่อ ก็ลองคิดถึง ‘ตัวเรา’ เอง เราจะพบว่า เราไม่สามารถเป็น หรือดำรงอยู่ อย่างที่เราเคยเป็นได้เลย
นี่คือกฎหลักที่เรียกว่า อนิจจัง และ ทุกขัง ของชาวพุทธ
ตัวอย่างเช่น
สมัยที่พวกเรายังเด็กๆ เราทุกคนน่ารักและอาโนเนะ วันนี้ พอเราแก่ตัว เราไม่มีทางหวนกลับคืนสู่ความเป็นเด็กคนนั้นได้อีกแล้ว ทั้งๆ ที่เด็กคนนั้นคือ ‘ตัวเรา’ ในอดีต
เราจึงสามารถบอกได้ว่า เราคือเด็กคนนั้น และเราไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วในเวลาเดียวกัน
วันนี้ จึงไม่มีใครเป็นพระเจ้าตากได้อีกแล้ว แม้ว่าจะจริง ว่าท่านอดีตนายกฯ คือพระเจ้าตาก จริงหรือไม่ก็ตาม เพราะความเป็นพระเจ้าตากได้จบลงไปแล้วในประวัติศาสตร์ไทย
พอถกกันเรื่องหมอดู ผมได้โอกาสที่จะเริ่มต้นตั้งประเด็นในการสอน
ผมกล่าวขึ้นว่า
การเมืองไทยมีมิติแบบไทยๆ ที่ซ่อนอยู่ และบางครั้งก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีตะวันตกอย่างเช่น อิทธิพลของความเชื่อ ความศรัทธา และคำทำนาย เพราะไม่มากก็น้อย บรรดาชนชั้นนำที่มีอำนาจทั้งหลายมักจะตั้งคำถาม ถามตัวเองว่า ‘ชาติที่แล้ว ท่านเป็นใครกันแน่’
ผมเล่าต่อว่า
ผมเองก็เคยเดินทางไปกับเพื่อนๆ สองคนที่เชื่อเรื่องนี้อย่างมากๆ เพื่อนทั้งสองพาผมไปภาคใต้ เจอผู้หญิงสูงอายุท่านหนึ่ง ท่านสามารถทำนายอดีตชาติด้วยการนั่งสมาธิ แล้วสั่นไปทั้งตัว คล้ายกับการสะกดจิตตัวเอง ราวกับว่าสามารถติดต่อหรือเข้าทรงหลวงพ่อทวดได้
ท่านก็สามารถบอกได้ว่า อดีตชาติของแต่ละคนคือใคร
ในช่วงที่เข้าทรง ท่านบอกว่า เพื่อนผมคนหนึ่งคือ ทหารเอกพระเจ้าตาก กลับชาติมาเกิด อีกคนหนึ่งคือ ท่านท้าวพระศรีสุริโยไท ส่วนผมเองฟังไม่ได้ถนัดว่าคือใครกันแน่ แต่ท่านพูดทำนองว่า อยู่เบื้องหน้าพระนเรศวร เป็นอะไรก็ไม่รู้
ที่แปลกคือ ทุกคนมีอดีตชาติที่เป็นใหญ่เป็นโตกันทั้งนั้น
ผมเลยพูดแบบแหย่ๆ เพื่อนทั้งสองแบบเล่นๆ ว่า
อดีตชาติของพวกคุณไม่ดีเลย ถ้าเป็นจริงตามนี้ ชาตินี้ พวกคุณคงต้องรับกรรมหนักเพราะบรรดาคนที่มีอำนาจทั้งหมดในชาติที่แล้ว ก็ต้องก่อกรรม สร้างเวรไว้จำนวนมาก
ทหารเอกพระเจ้าตาก รวมทั้งท้าวศรีสุริโยไท ก่อนจะขึ้นมามีอำนาจและในช่วงมีอำนาจ ต้องทำสงครามปราบปราม เข่นฆ่าผู้คน ซึ่งถือว่าเป็น‘บาปกรรม’ที่หนักหน่วงที่สุด
ผมบอกเพื่อนๆ ด้วยว่า
“ชาตินี้ พวกคุณคงต้องรับกรรมหนักทั้งชาติเป็นแน่”
เพื่อนทั้งสองพอได้ยินผมกล่าวแหย่เช่นนั้น ก็หน้าซีดไปตามๆ กัน
ส่วนผมดีหน่อย เพราะฟังไม่ออกว่าเป็นใคร
ผมย้ำบอกเพื่อนว่า
“เรามักจะเข้าใจกันผิดๆว่า คนที่มีอำนาจมาก หรือมีเงินมากๆ คือคนมีบุญวาสนามาก เราไม่ตระหนักรู้ว่า ที่แท้คนเหล่านี้ คือคนที่มีเวรและมีกรรมมาก”
ผมยกตัวอย่างให้เพื่อนฟัง
อย่างเช่น ท่านอดีตนายกฯ ท่านมีทั้งเงินและอำนาจ มาวันนี้ ท่านมีแต่ความทุกข์ จมอยู่กับความทุกข์ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ มีเงินนับหมื่นนับแสนล้านก็จะถูกยึด มีผู้คนมากมายในแผ่นดินร่วมกันด่าทอ สาปแช่งท่านและครอบครัว
นักศึกษาท่านหนึ่งยกมือขึ้น ถามผมว่า
“อาจารย์กำลังบอกว่า เรื่องวิญญาณ การกลับชาติมาเกิด เรื่องภพ เรื่องชาติ มีจริงนะซิ”
ผมตอบว่า
“จะจริงก็ได้ ..... ยิ่งเชื่อ ยิ่งใช่ และยิ่งจริง
แต่ทั้งหมดทั้งหลายคือ มายา ”
‘มายา’ คำนี้ไม่ได้แปลว่า ไม่จริง หมายความว่า ถ้าเราหลงเชื่อ ความเชื่อนี้จะมีพลังอำนาจเหนือเรา มีอำนาจเหนือจิตวิญญาณเรา
และถ้าเชื่อว่า “จริงอย่างยิ่ง” สงครามทวิภพ หรือสงครามข้ามชาติข้ามภพ ก็จะ“มีจริง”ด้วย
พระเจ้าตากก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ กลับมาต่อสู้เพื่อช่วงชิงเอาแผ่นดินคืน
ถ้าใครหลงเชื่อเช่นนี้ หรือเกิดความเชื่อเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะทำให้การต่อสู้ทางการเมืองไทยปัจจุบันซับซ้อนมากกว่าการต่อสู้ทั่วไป ที่สู้ในเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องอำนาจเท่านั้น
ยิ่งถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเชื่อเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน และเชื่อว่า ‘เป็นจริง’ หรือเชื่อว่าอดีตชาติตัวเองคือ ใครสักคนที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามพระเจ้าตาก ก็ต้องยอมตาย สู้เพื่อรักษาแผ่นดินที่พวกเขาหวงแหนด้วยชีวิตเช่นกัน
ผมจึงกล่าวแบบสรุปว่า
การวิเคราะห์การเมืองไทยแบบไทยๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับมิติทางจิตวิญญาณและความเชื่อด้วย เลยยุ่งเหมือนยุงตีกัน
นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“...ในช่วงวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา มีเรื่องประหลาด 5 เรื่อง ก่อเกิดขึ้น
เรื่องแรก คือ เรื่องคนบ้าทุบท่านท้าวมหาพรหม
เรื่องที่สอง คือ เรื่องการทำพิธีกรรม ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเชื่อกันว่า พระเจ้าตากเคยไปบวช
เรื่องที่สาม คือ เรื่องการทุบทำลายโบราณสถานที่เขาพนมรุ้งในวันมาฆบูชา
เรื่องที่สี่ คือ การสะเดาะเคราะห์แบบทั่วประเทศไทย
เรื่องที่ห้า คือ เรื่องพิธีกรรมนั่งบนหลังช้าง ราวกับเป็นกษัตริย์
ผมว่า มันแปลกๆ นะครับ…”
ผมกล่าวตอบว่า
เรื่องสะเดาะเคราะห์กันแบบจริงจัง กับพิธีกรรมนั่งบนหลังช้าง อาจจะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ว่า ท่านอดีตนายกฯ อาจจะเชื่อเรื่องเหล่านี้พอสมควรทีเดียว
ส่วนเรื่องที่หนึ่งและเรื่องที่สามนั้น สงสัยว่าน่าจะเกี่ยวกับการทำลายพลังอำนาจ หรือความเชื่อโบราณเรื่อง พระพรหม ซึ่งช่วยปกป้องกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งทำลายพลังอำนาจที่ต่อเชื่อมกับสถาบันกษัตริย์ไทย ซึ่งเชื่อว่า กษัตริย์ คือผู้ที่สืบทอดมาจากพระราม จึงใช้พระนามว่า พระรามาธิบดี
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า กำเนิดกรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับลัทธิพราหมณ์กับความเชื่อว่า กษัตริย์ไทยคือผู้สืบทอดมาจากพระราม
ผมย้ำกับนักศึกษาว่า
อย่าเชื่อบทสรุปนี้มากนัก นี่ถือได้ว่าเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ยืนยันได้แน่ๆร้อยเปอร์เซ็นต์
เราคงต้องศึกษา ค้นหาข้อเท็จจริงเพิ่มมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างไร นี่สะท้อนว่า สงครามทวิภพน่าจะมีจริงอยู่บ้าง ในระดับหนึ่ง
ข้อสำคัญ ความเชื่อเรื่องเหล่านี้อาจจะถูกขยายความให้ดูสมจริงมากขึ้น และถูกใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้
วันหนึ่ง ผมเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ท่านชอบเรื่องหมอดูมาก
ท่านเดินทางไปเชียงใหม่กลับมา พอเจอผม ก็เล่าเรื่องคำทำนายเมืองให้ฟัง
คำทำนายแรก คือ ยุครัตนโกสินทร์กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
ยุคต่อจากนี้ไปคือ ยุคพระเจ้าตาก
นอกจากนี้ ก็บอกกับบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่บางท่านว่า ท่านคือทหารเอกพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิด
‘ทวิภพ’ จึงยิ่งจะกลายเป็นความจริง (ทางความเชื่อของบรรดาผู้คนที่มีอำนาจมากขึ้น) และอาจจะส่งผลให้ความขัดแย้งและสงครามระหว่าง 2 ฝ่ายรุนแรงมากขึ้นเพราะเรื่องราวทั้งหมดจะถูกขยายความ ตีความใหม่ โดยบรรดาผู้คนที่อ้างว่า ‘รู้อนาคต’
ดังนั้น สงครามทวิภพ จึงกลายเป็นสงครามในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ ในเวลาเดียวกันด้วย
นักศึกษาคนหนึ่ง กล่าวว่า
“ถ้าเรื่องนี้จริง เราจะเข้าใจการเมืองไทย คงต้องศึกษาในเชิงจิตวิญญาณและความเชื่อด้วย”
ผมบอกว่า “ใช่”
กล่าวแบบสรุป พระท่านมักกล่าวเตือนเราเสมอว่า
ทั้งหมดทั้งหลาย (การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ ) ล้วนแล้วแต่คือ มายา
ถ้ายอมให้ ‘มายา’ มีอำนาจเหนือเรา เราก็จะตกหลุม เข้าสู่โลกแห่งสงคราม และจมอยู่กับความทุกข์
ทุกข์ที่เชื่อว่าต้องถูกฆ่าตายอย่างทารุณในอดีตชาติ ทุกข์ที่ต้องตามล้างแค้นแบบข้ามชาติข้ามภพ
เราต้องตระหนักเสมอว่า
“เวรนั้น ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” (ยังมีต่อ)