00 ต้องบอกว่า ข่าวทนายความคดีการเมืองดังนำเงิน 2 ล้านบาทมายัดใส่กล่องขนมมามอบให้เจ้าหน้าระดับสูงในศาลฎีกาเรียกเสียงฮือฮา และวิพากษ์วิจารณ์กันดังลั่นสนั่นเมือง หลายคนก็หลายมุมมอง อย่างไรก็ดีเรื่องราวที่ว่ามันเกิดข้อพิรุธที่ต้องค่อยๆปะติดปะต่อมาเชื่อมโยงกัน
00 ถ้ามองเผินๆอาจพิจารณาได้ว่านี่เป็นการติดสินบนศาลเพื่อหวังผลทางคดีให้เป็นคุณกับตัวเอง แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าพิจารณาให้รอบคอบแล้วน่าจะเป็นไปได้ว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในแผนชั่วเพื่อทำลายศาล ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ซึ่งถือว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายของสังคมที่คาดกันว่าจะ “ตุลาการภิวัฒน์” เพื่อฝ่าวิกฤตการเมืองให้ผ่านพ้นไปได้
00 ถ้าหากมองว่าการนำเงิน 2 ล้านบาทมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ศาลเป็นการติดสินบนนั้นก็อาจ “จงใจ” ทำให้มองเห็นได้อย่างนั้น แต่ว่ามันจะดูง่ายเกินไป “โฉ่งฉ่าง” แบบทะเร่อทะร่ามากเกินไปหรือไม่ ดังนั้นถ้าจะให้สรุปกันในนาทีนี้มันน่าจะมีความซับซ้อนและหวังผลทางจิตวิทยาสังคมเพื่อ “มุ่งหวัง” บางอย่างแน่นอน
00 ผลทางจิตวิทยาที่ว่าก็คือต้องการสื่อให้สังคมเห็นว่ามีการติดสินบน ให้สังคมเกิดความระแวง ขณะเดียวกันในหมู่องค์คณะของผู้พิพากษาเกิดความระแวงกันเองด้วย และในขั้นตอนสุดท้ายอาจนำไปเป็นเหตุผลในการยื่นร้องขอเปลี่ยนแปลงองค์คณะในบางคดีก็เป็นได้
00 อย่างไรก็ดีเรื่องราวที่เกิดขึ้นนับเป็นนิมิตหมายที่ดีเมื่อประธานศาลฎีกาออกคำสั่งตั้งผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่จำนวน 3 ท่านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และเชื่อว่าไม่น่าจะเกินความสามารถเพราะมีตัวตนปรากฏชัดเจน อีกทั้งยังเชื่อว่าภายในศาลมีกล้องวงจรปิดน่าจะบันทึกภาพทนายที่นำเงินยัดใส่กล่องขนมเพื่อสืบสาวราวเรื่องกันได้ไม่ยาก เพราะในคำแถลงของรองเลขาธิการศาลยุติธรรม สราวุธ เบญจกุล ระบุว่าได้ส่งเงินจำนวน 2 ล้านบาทคืนให้เจ้าของ แถมยังมีรายงานจากตีนโรงตีนศาลอีกว่ามีการจดบันทึกรูปพรรณสัณฐาน “ไอ้โม่ง” ทนายความนักการเมืองคนนั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
00 แต่ถ้าให้ดี ถ้าจะให้เคลียร์ก็น่าจะให้มีการกระชากหน้ากาก เปิดเผยโฉมหน้าทนายความของนักการเมืองคนที่กล้าเอากระดิ่งไปผูกคอแมวอย่างรีบด่วนเพื่อจะได้คลายความเคลือบแคลงไปได้ในเบื้องต้นไปก่อน อีกทั้งยังเป็นการสกัดแผนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลได้อย่างทันท่วงที
00 แต่ไม่ว่าจะผลสรุปออกมาอย่างไรต้องขอชื่นชมอดีต “ทั่นเปาตงฉิน” อย่าง “อุดม เฟื่องฟุ้ง” ที่ออกมากระโตกกระตากโวยวายว่ามีเรื่องแบบนี้ในโรงในศาลเสียก่อน ทำให้เกิดการตื่นตัวกันวุ่นวาย
00 ส่วนเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินจำนวนสองล้านหรือไม่ เพราะมีสายสืบใต้ถุนศาลแอบกระซิบมาเข้าหูว่ามีรัฐมนตรีนอมินีของ “เฮีย” บางคนที่มักเกี่ยวข้องกับระดับ “โปรเจ็กต์เมกา” ทั่นหนึ่งไปพบกับคนๆหนึ่งและคนๆนั้นบังเอิญมีหน้าตาคล้ายๆกับกับองค์คณะในคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มี “คนหน้าเหลี่ยม” เป็นจำเลยเสียด้วยซี และยังบังเอิญอีกว่าการนัดพบกันดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญคือก่อนมีการรายงานตัวของ “บางคน”ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมาเสียด้วยซี
00 ดังนั้นแม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกรณียัดเงินใส่กล่องขนม “สี่เหลี่ยม” จะเป็นการติดสินบนศาลหรือไม่หรือการนัดพบกันกับรัฐมนตรีนอมินีของเฮียจะเกี่ยวข้องโยงใยกันหรือไม่ แต่เอาเป็นว่าเวลานี้ทำให้สังคมส่วนหนึ่งเกิดความระแวงศาล ซึ่งถ้ายังเป็นแบบนี้ก็ถือว่าอันตราย และเข้าทางอีกฝ่ายทันที เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีองค์กรไหนเป็นที่พึ่งของสังคมได้อีกต่อไป ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย สาธุ !!
00 ถ้ามองเผินๆอาจพิจารณาได้ว่านี่เป็นการติดสินบนศาลเพื่อหวังผลทางคดีให้เป็นคุณกับตัวเอง แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าพิจารณาให้รอบคอบแล้วน่าจะเป็นไปได้ว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในแผนชั่วเพื่อทำลายศาล ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ซึ่งถือว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายของสังคมที่คาดกันว่าจะ “ตุลาการภิวัฒน์” เพื่อฝ่าวิกฤตการเมืองให้ผ่านพ้นไปได้
00 ถ้าหากมองว่าการนำเงิน 2 ล้านบาทมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ศาลเป็นการติดสินบนนั้นก็อาจ “จงใจ” ทำให้มองเห็นได้อย่างนั้น แต่ว่ามันจะดูง่ายเกินไป “โฉ่งฉ่าง” แบบทะเร่อทะร่ามากเกินไปหรือไม่ ดังนั้นถ้าจะให้สรุปกันในนาทีนี้มันน่าจะมีความซับซ้อนและหวังผลทางจิตวิทยาสังคมเพื่อ “มุ่งหวัง” บางอย่างแน่นอน
00 ผลทางจิตวิทยาที่ว่าก็คือต้องการสื่อให้สังคมเห็นว่ามีการติดสินบน ให้สังคมเกิดความระแวง ขณะเดียวกันในหมู่องค์คณะของผู้พิพากษาเกิดความระแวงกันเองด้วย และในขั้นตอนสุดท้ายอาจนำไปเป็นเหตุผลในการยื่นร้องขอเปลี่ยนแปลงองค์คณะในบางคดีก็เป็นได้
00 อย่างไรก็ดีเรื่องราวที่เกิดขึ้นนับเป็นนิมิตหมายที่ดีเมื่อประธานศาลฎีกาออกคำสั่งตั้งผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่จำนวน 3 ท่านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และเชื่อว่าไม่น่าจะเกินความสามารถเพราะมีตัวตนปรากฏชัดเจน อีกทั้งยังเชื่อว่าภายในศาลมีกล้องวงจรปิดน่าจะบันทึกภาพทนายที่นำเงินยัดใส่กล่องขนมเพื่อสืบสาวราวเรื่องกันได้ไม่ยาก เพราะในคำแถลงของรองเลขาธิการศาลยุติธรรม สราวุธ เบญจกุล ระบุว่าได้ส่งเงินจำนวน 2 ล้านบาทคืนให้เจ้าของ แถมยังมีรายงานจากตีนโรงตีนศาลอีกว่ามีการจดบันทึกรูปพรรณสัณฐาน “ไอ้โม่ง” ทนายความนักการเมืองคนนั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
00 แต่ถ้าให้ดี ถ้าจะให้เคลียร์ก็น่าจะให้มีการกระชากหน้ากาก เปิดเผยโฉมหน้าทนายความของนักการเมืองคนที่กล้าเอากระดิ่งไปผูกคอแมวอย่างรีบด่วนเพื่อจะได้คลายความเคลือบแคลงไปได้ในเบื้องต้นไปก่อน อีกทั้งยังเป็นการสกัดแผนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลได้อย่างทันท่วงที
00 แต่ไม่ว่าจะผลสรุปออกมาอย่างไรต้องขอชื่นชมอดีต “ทั่นเปาตงฉิน” อย่าง “อุดม เฟื่องฟุ้ง” ที่ออกมากระโตกกระตากโวยวายว่ามีเรื่องแบบนี้ในโรงในศาลเสียก่อน ทำให้เกิดการตื่นตัวกันวุ่นวาย
00 ส่วนเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินจำนวนสองล้านหรือไม่ เพราะมีสายสืบใต้ถุนศาลแอบกระซิบมาเข้าหูว่ามีรัฐมนตรีนอมินีของ “เฮีย” บางคนที่มักเกี่ยวข้องกับระดับ “โปรเจ็กต์เมกา” ทั่นหนึ่งไปพบกับคนๆหนึ่งและคนๆนั้นบังเอิญมีหน้าตาคล้ายๆกับกับองค์คณะในคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มี “คนหน้าเหลี่ยม” เป็นจำเลยเสียด้วยซี และยังบังเอิญอีกว่าการนัดพบกันดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญคือก่อนมีการรายงานตัวของ “บางคน”ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมาเสียด้วยซี
00 ดังนั้นแม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกรณียัดเงินใส่กล่องขนม “สี่เหลี่ยม” จะเป็นการติดสินบนศาลหรือไม่หรือการนัดพบกันกับรัฐมนตรีนอมินีของเฮียจะเกี่ยวข้องโยงใยกันหรือไม่ แต่เอาเป็นว่าเวลานี้ทำให้สังคมส่วนหนึ่งเกิดความระแวงศาล ซึ่งถ้ายังเป็นแบบนี้ก็ถือว่าอันตราย และเข้าทางอีกฝ่ายทันที เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีองค์กรไหนเป็นที่พึ่งของสังคมได้อีกต่อไป ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย สาธุ !!
