“มงคล-วีระพล-อิศเรศ” องค์คณะศาลฎีกาเริ่มไต่สวนกล่องขนมยัดเงิน 2 ล้าน เป็นการภายใน ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องรับรู้ในวันพรุ่งนี้ คาดแล้วเสร็จสัปดาห์หน้า ขณะที่ผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ในศาลฎีกาผู้หนึ่งระบุ อดีตทนายความที่นำเงินไปฝากบอกเจ้าหน้าที่ศาลว่า “เอาไปแบ่งๆ กัน” ด้านศาลไม่เชื่อเป็นเงินล้มคดี แต่ต้องการแสดงความหน้าใหญ่หว่านเงินให้เจ้าหน้าที่เพื่อเปิดทางถึงตัวผู้พิพากษา
วันนี้ (12 มิ.ย.) ที่สำนักงานศาลยุติธรรม ถ.รัชดาภิเษก นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีผู้นำกล่องขนมและยัดไส้เงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ไปให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา และนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ได้มีคำสั่งแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริงว่า ขณะนี้ผู้พิพากษาระดับสูงทั้ง 3 คนรับทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว โดยจะเริ่มดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง ประกอบด้วย นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีระพล ตั้งสุวรรณ และ นายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา โดยจะเริ่มดำเนินการไต่สวนบุคคลที่เกี่ยวข้องในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ โดยเบื้องต้นจะไต่สวนเจ้าหน้าศาลฎีกาที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือเห็นเหตุการณ์ก่อน หากพาดถึงใครก็เรียกตัวมาไต่สวนต่อไป ซึ่งบุคคลที่จะถูกไต่สวนยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ทั้งนี้ การไต่สวนบุคคลภายในศาลฎีกาจะกระทำเป็นการภายใน จะไม่เปิดบัลลังก์ไต่สวน แต่หากเป็นบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ศาลจะเปิดบัลลังก์ไต่สวน แต่จะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าฟังการไต่สวนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจขององค์คณะ เพราะองค์คณะอาจจะมีคำสั่งให้พิจารณาลับก็ได้ คาดว่าจะไต่สวนแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า
ที่ศาลฎีกา สนามหลวง วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ในศาลฎีกาผู้หนึ่ง ว่า หลังจากที่ นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ได้ตั้งองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ขณะนี้ได้มีการสรุปข้อเท็จจริงเบื้องต้น เป็นข้อมูลประกอบการไต่สวน ลำดับเหตุการณ์ดังนี้ เวลาประมาณ 12.30 น.วันที่ 10 มิ.ย.ได้มีอดีตทนายความของนักการเมืองคนหนึ่ง มายื่นคำร้องและยื่นถุงขนมให้เจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดดู ก็พบเงินสดจึงสอบถามว่ามีความประสงค์อย่างไร อดีตทนายความตอบว่า “เอาไปแบ่งๆ กัน” เจ้าหน้าที่จึงรายงานผู้บังคับบัญชาและผู้พิพากษาทราบ ขณะนั้นมีผู้พิพากษาคนหนึ่งเดินผ่านมาจึงสอบถามเบื้องต้นแล้วให้ถ่ายภาพธนบัตรกับถุงขนมหูหิ้วไว้ ก่อนส่งเงินคืนแล้วให้กลับไปได้ ซึ่งมีประเด็นน่าจะเป็นไปได้ คือ เป็นการเสนอให้เงินแก่เจ้าหน้าที่ไม่เจาะจงว่าเป็นคนหนึ่งคนใด โดยใช้เงินจำนวนมากเป็นเครื่องสะท้อนของความใจใหญ่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เกิดความสนใจ ที่จะช่วยเป็น “สื่อกลาง” ไปถึงตัวผู้พิพากษา และเป็นการโยนหินถามทาง โดยหยั่งเชิงดูว่าจะมีใครกล้ารับสินบนหรือไม่ สุดท้ายต้องการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของศาลยุติธรรม
“ที่ผู้พิพากษาคืนเงินกลับไป ส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะหลังจากถ่ายรูปทำหลักฐานส่งให้ประธานศาลฎีกา ย่อมดีกว่าปล่อยให้เจ้าหน้าที่เก็บเงินไว้แล้วเรื่องมาแดงภายหลัง เรื่องนี้คาดว่า จะมีการดำเนินคดีฐานละเมิดอำนาจศาลอย่างแน่นอน แต่จะไม่ทำให้” ผู้พิพากษาศาลฎีกากล่าว
ด้าน นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ให้ความเห็นว่า พอทราบข่าวนี้ตนรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมถึงกล้าเอาเงินมาฝากเจ้าหน้าที่ถึงบนศาล และเป็นเงินถึงมากถึง 2 ล้านบาท ถ้าให้เจ้าหน้าที่ก็นับว่ามากไป แต่เจ้าของเงินก็อาจจะมองว่า เป็นเงินเล็กน้อย เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดดูเห็นเงินก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก เลยแจ้งผู้พิพากษามาดู เรื่องนี้ถ้าตนรู้เรื่องตนจะลงมาดูเองและจะไม่ปล่อยให้เอาเงินกลับไป แต่จะดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาลไว้ก่อน คดีนี้เท่าที่ทราบคนที่นำเงินมาเป็นอดีตทนายความคดีหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนให้เงินต้องการใช้เงินหว่าน เพื่อดูใจว่าจะมีเจ้าหน้าที่คนใดสนใจเป็นสื่อกลางพาจำเลยไปคุยกับผู้พิพากษาได้หรือไม่ นายเกรียงชัย กล่าวว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ใครที่คิดทำแสดงว่าไม่เข้าใจระบบงานของศาลฎีกาฯ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเป็นคนกลางติดต่อผู้พิพากษาให้เปลี่ยนแปลงดุลพินิจได้