xs
xsm
sm
md
lg

ลุยเชือด"หมัก"-"ไชยา"ขึ้นศาล รธน.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ให้เดินหน้าเชือด"หมัก" ชิมไปบ่นไป พร้อมแก้ไขคำสั่งตั้งอนุสอบ บัญญัติข้อกม. เล่นงานให้ชัดเจน และขยายเวลาสอบถึง 21 มิ.ย. ขณะเดียวกันมีมติส่งเรื่อง "ไชยา" ให้ศาลรธน.พิจารณา ด้าน"สมชัย" ขาประจำเสียงข้างน้อย มอง กม.ให้อำนาจ กกต. สอบแค่การสิ้นสุดลงซึ่งสมาชิกภาพของสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น ไม่มีอำนาจตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ยอมรับเครียดที่เป็นเสียงข้างน้อย แต่ถ้ายอมเหมือนคนอื่นทั้งที่คิดต่าง ก็เท่ากับไม่เคารพตัวเอง

ภายหลังการประชุม กกต.เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. แถลงว่าได้มีการพิจารณาหนังสือขอหารือของพล.อ.ยอดชาย เทพยสุวรรณ ประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไปเป็นพิธีกรรายการ ชิมไปบ่นไป ที่อาจทำให้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เกี่ยวกับอำนาจในการสอบสวน โดยมติ กกต.เสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 เสียง เห็นด้วยกับข้อเสนอของอนุกรรมการไต่สวน ที่เสนอให้ปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ สืบสวนสอบสวน จากเดิมที่อาศัยฐานอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 (9) มาตรา 181 มาตรา 182 วรรค 3 ในการสืบสวนสอบสวน ด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมให้ อนุกรรมการไต่สวน อาศัยอำนาจตาม มาตรา 10 (11) ของ พ.ร.บ.กกต ที่ระบุกรณีที่ กกต.เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง, ประกอบ มาตรา 14 ที่ระบุว่า กกต.มีอำนาจแต่งตั้งให้อนุกรรมการปฏิบัติตามที่กกต.มอบหมาย เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนมีความชัดเจนมากขึ้น

"ที่ผ่านมาอนุกรรมการไต่สวนฯ เคยยกประเด็นปัญหาว่า อนุฯมีอำนาจสืบสวนสอบสวนหรือไม่ พร้อมเสนอควรปรับปรุงคำสั่งตั้งอนุกรรมการฯ เพราะเห็นว่า ตัวคำสั่งยังระบุกฎหมายไม่ครบ เพื่อป้องกันการถูกโต้แย้งในอำนาจ หลังจากผลการพิจารณาออกมาเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง"

นายสุทธิพล ยังปฏิเสธว่า การแก้ไขคำสั่งดังกล่าวของ กกต.ไม่ใช่เป็นการเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง แต่ กกต.มีอำนาจตามตัวบทกฎหมายที่มีอยู่แล้ว จึงมีการอ้างบทกฎหมายที่มีอยู่เพิ่มเข้าไป ยกตัวอย่างเช่น มาตรา 10(11) พ.ร.บ. กกต. ระบุว่า ในกรณีที่ กกต.เห็นว่า " ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงให้ กกต.ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการจะมีความเห็นได้ ต้องมีการดำเนินการตามมาตรา 14 พ.ร.บ.กกต. หากไม่มีการดำเนินการตั้งอนุกรรมการ กกต. ก็ไม่สามารถให้ความเห็นได้

นอกจากนี้ กกต.เห็นชอบให้อนุกรรมการไต่สวนชุดดังกล่าว ขยายเวลาในการสืบสวนสอบสวนได้อีก 15 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 7-21 มิ.ย.นี้

ส่ง"ไชยา"ขึ้นเขียงศาล รธน.

สำหรับกรณีคุณสมบัติของนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลเกี่ยวกับการไม่แจ้งการถือครองหุ้นของภรรยานั้น ที่ประชุม กกต.โดยมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 เสียง เห็นตามที่คณะอนุกรรมการสืบสวนชุดที่มี นายอิศระ หลิมศิริวงษ์ เป็นประธาน เสนอให้มีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยจากนี้คณะอนุกรรมการสืบสวน ก็จะเร่งดำเนินการยกร่าง และจะมีการส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมครั้งนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข มาคอยรอฟังมติกกต. ที่จะออกมาเกี่ยวกับนายไชยา ด้วย ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. เสียงข้างมากระบุว่า เมื่อกฎหมายระบุว่าให้ กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญไปด้วยก็ได้ และเมื่อ กกต.หาเหตุผลที่จะไม่ส่งไม่ได้ ก็สมควรจะส่งเรื่องไปตามที่องค์กรเขาขอมา ส่วนข้อเท็จจริงอาจจะเหมือน หรือต่างกัน เพราะเราเองก็มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นตรวจสอบด้วย จึงขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยเอง เพราะกกต. ลงมติแค่เห็นควรส่ง และประกอบกับรายงานข้อเท็จจริงไปเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่า ผู้ถูกกล่าวหามีความผิดหรือไม่

"สมชัย"อ้างไม่มีอำนาจตรวจสอบ รมต.

ทั้งนี้ กกต.ที่เป็นเสียงข้างน้อยใน 2 กรณีดังกล่าวก็คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ โดยได้มีการเผยแพร่ความเห็นส่วนตน ระบุว่า ทั้งในกรณีของนายไชยา และนายสมัคร นั้น เห็นว่า มาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้กกต.มีอำนาจตรวจสอบสืบสวนสอบสวน เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และส.ว. , พ.ร.บ.พรรคการเมือง, พ.ร.บ.กกต. ,พ.ร.บ.ประชามติ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นรวม 5 ฉบับเท่านั้น และเมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญ มาตรา 91 วรรค 3 ที่ให้ กกต.ส่งเรื่องไปยังประธานสภาผู้แทนฯ หรือประธานวุฒิสภา ที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกเมื่อเห็นว่าสมาชิกภาพของผู้นั้นสิ้นสุดลงเพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แสดงว่ากฎหมายให้อำนาจ กกต.ตรวจสอบการสิ้นสุดลง ซึ่งสมาชิกภาพของสมาชิกรัฐสภาได้เท่านั้น ไม่ได้บัญญัติให้มีอำนาจโดยตรงในการตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง จึงไม่มีเหตุที่จะไปตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว

นอกจากนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรค 3 บัญญัติ ให้นำมาตรา 91 ,92 มาใช้บังคับกับการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีตาม ( 2) (3)(5) หรือ(7) โดยให้กกต.เป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วยนั้น เห็นว่า การดำเนินการของกกต. ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 ดังนั้นกรณีที่วุฒิสภาเห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ใดสิ้นสุดลง จะต้องเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 15 คน เสนอเรื่องไปยังประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิก เพื่อให้ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หากประธานสภาแห่งนั้นไม่ดำเนินการ กกต.จึงมีอำนาจที่จะส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ อันเป็นการเยียวยาเพื่อให้กระบวนการพิจารณาความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ดำเนินการต่อไปจนถึงขั้นพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่สะดุดหยุดอยู่ที่ประธานวุฒิสภา ซึ่งเมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว รัฐธรรมนูญประสงค์จะให้เรื่องดังกล่าวถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไปนั่นเอง จะส่งโดยทางใดก็ได้ ดังนั้น กกต.จึงไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาดำเนินการตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว

"เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า กรณี นายสมัคร นั้น นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ร้อง ไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตาม มาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ กกต.จึงไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ เห็นควรให้ยุติเรื่อง และแจ้งผู้ร้องทราบ ส่วนของนายไชยา นั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรื่องนี้ ป.ป.ช. ได้ส่งเรื่องไปยังนายกฯ ประธานวุฒิสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร และ เรื่องได้ถูกเสนอไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว กกต.จึงไม่จำต้องดำเนินการให้เกิดการซ้ำซ้อนอีกเห็นควรให้ยุติเรื่อง"

นายสมชัย ยังกล่าวระหว่างร่วมรายการเวทีความคิดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ว่า ไม่รู้ว่าเหตุผลของตนที่เป็นเสียงข้างน้อยเพียงพอหรือไม่ แต่ก็เป็นมุมมองอันหนึ่ง ซึ่งในหลักการประชาธิปไตย เราต้องเคารพทั้งเสียงข้างมาก และข้างน้อยด้วย อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า เสียงข้างน้อยก็มีเหตุผลไม่ใช่วินิจฉัยอย่างไม่มีหลักการ ถ้า กกต.ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด ก็ไม่จำเป็นต้องมี กกต.ถึง 5 คน

นายสมชัย กล่าวถึงบรรยากาศในการประชุม กกต.ว่า มีการพัฒนามากขึ้นเพราะมีการยิ้มในห้องประชุม แต่สำหรับการลงมตินั้น ตนยิ้มไม่ออก และเคยคิดมองตัวเองว่าทำไมเราต้องเป็นเสียงข้างน้อย เคยคิดว่าจะโหวตตามคนอื่น ให้ผลการโหวตเหมือนเขา แต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่า ถ้าโหวตตามคนอื่น คงทำให้สังคมและทีมงานของตนผิดหวังและเราก็จะผิดหวังในตัวเอง ที่ไม่มีความเคารพในตัวเองด้วย เพราะเป็นการทำตามที่คนอื่นเขาอยากให้เป็นเท่านั้น

ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่า กระแสสังคมเปลี่ยนแปลงได้ แต่สิ่งที่ถูกต้องจะยั่งยืนตลอดไป โดยส่วนตนได้วินิจฉัยยึดหลักตามกฎหมายมาตลอด จนกว่าจะแก้กฎหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ใช่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเสียเองและไม่ใช่ไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่

"ไชยา"อ้างยังมีความชอบธรรม

ด้านนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ กกต. มีมติส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย กรณีขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากนางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยา ถือหุ้นเกินกว่ากฎหมายกำหนด คือร้อยละ 5 ว่าไม่รู้สึกกังวล ไม่หนักใจอะไร เพราะเป็นสิทธิ์ชอบธรรมที่สามารถทำได้ ซึ่งนอกจาก กกต. แล้วยังมี ส.ว.ที่จะลงมติถอดถอนตนออกจากตำแหน่งอีกเช่นกัน ซึ่งก็จะเป็นการตรวจสอบจังหวะที่ 2 ในการถอดถอนตนออกจากตำแหน่ง

"ผมได้ทำหนังสือชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด จึงสามารถทำงานได้ตามปกติ ไม่มีอุปสรรคปัญหาอะไร ผมจึงมีสิทธิ์ มีความชอบธรรมในการออกคำสั่งอยู่" นายไชยา กล่าว

ต่อข้อถามว่า มีการหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชาชนบ้างหรือไม่ นายไชยา ตอบว่า ไม่ได้หารือกับใคร และในที่ประชุม ครม. ก็ไม่มีใครซักถามด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น