ท่ามกลางความเดือดร้อนแสนสาหัสของชนทุกชั้นจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลสมัคร นอกจากไม่ใส่ใจแก้ไข กลับลุกลี้ลุกลนเข็นเมกะโปรเจกต์ หรือโครงการที่มีมูลค่าหลายพันล้าน หลายหมื่นล้านเข้า ครม.อย่างผิดสังเกต น่าสงสัยในวาระที่ซ่อนเร้น!
กรณีกระทรวงคมนาคมเสนอแผนปรับโครงสร้างองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยขอ ครม.อนุมัติให้เช่ารถโดยสารปรับอากาศ ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 6,000 คัน มาให้บริการแทนรถเมล์ร้อน และก็เห็นชอบในหลักการไปแล้วนั้น นับเป็นตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ โครงการที่เห็นได้ชัด
ตามข่าวว่ากันว่า โครงการนี้จะมีคนได้ประโยชน์จาก “ค่าคอมมิชชัน” หรือ “เงินปากถุง” คันละล้านหรือ 6,000 ล้าน ขณะที่นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม ตอบโต้ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย คนที่ให้ข่าวบิดเบือนข้อมูล เพราะ โครงการนี้คนที่ได้ประโยชน์คือ คนกรุงเทพฯ จะได้ใช้บริการรถ ขสมก.ดีขึ้น ส่วน ขสมก.ก็จะมีรายได้เพิ่ม
นายทรงศักดิ์ ยังบอกว่า ขสมก.ที่ปัจจุบันขาดทุนสะสมถึง 70,000 ล้านบาทโครงการนี้ช่วยลดขาดทุนได้ถึง50% และหลังจากให้บริการครบ 6,000 คัน 2-3 ปี ขสมก.ก็น่าจะมองเห็นอนาคตสดใสรออยู่
ฟังแล้วเคลิ้ม สรุปว่า มีแต่ได้กับได้! ผมเองก็อยากจะเชื่อ และหวังจะเห็น ขสมก.ดีขึ้นเสียที ไม่ใช่จมปลักอยู่กับปัญหาการขาดทุนมานานปีดีดัก แต่ทำใจลำบาก เพราะ เรื่องนี้ยังมีเงื่อนงำที่ชวนให้คิด
ประเด็นแรก โครงการเช่าซื้อรถใหม่มาแทนรถเก่านี้ ไม่ได้อยู่ในแผนการปรับโครงสร้าง ขสมก. แต่มาจากนักล็อบบี้ยิสต์ที่เสนอโครงการมาพร้อมเงื่อนไข (ทีโออาร์) ให้นักการเมือง
เชื่อหรือไม่ว่า เขาร่างกันขึ้นมาภายในเวลา 7 วันเท่านั้น!! ควรทราบว่า เดิมที ขสมก.ได้ว่าจ้างให้วิศวกรสำรวจรถโดยสารทั้งเมล์ร้อนและรถแอร์ พบว่า รถเดิมยังสามารถใช้งานได้อีก 7-10 ปี จึงมีมติให้ดำเนินการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากดีเซลที่น้ำมันแพงขึ้นทุกวันๆ เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีแทน
ขสมก.คิดสะระตะออกมาแล้วว่า หากใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจะประหยัดไปได้ถึง75% แถมลดมลพิษ และช่วยตรึงค่าโดยสาร หรือลดค่าโดยสารให้ประชาชนได้โดยไม่ต้องแบกภาระขึ้นค่ารถตามต้นทุนน้ำมัน หรือเอาเงินภาษีประชาชนมาอุดหนุน!!
การดำเนินการเรื่องนี้ทำมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 ผอ.ขสมก.ทราบดี เพราะได้มีการประกาศเชิญให้บริษัทเอกชนทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ ให้เข้ามารับงานจาก ขสมก.โดยกำหนดเงื่อนไขให้มีการทดสอบขึ้น
ช่วงนั้นมีนักลงทุนให้สนใจหลากหลาย ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ รวมถึงอเมริกาเข้ามาทดสอบกับ ขสมก.จนกระทั่งปลายปี 26 ธันวาคม 2550 มีบริษัทที่ผ่านการทดสอบ 10 บริษัท ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้เพื่อรอดำเนินการตามขั้นตอน อาทิ การจัดทำทีโออาร์ เพื่อเสนอและต่อรองราคาทำสัญญาจ้างต่อไป
ทว่า เริ่มต้นปี 2551 โครงการนี้ก็ชะลอไปเฉยๆ คล้ายรอดูทิศทางลมขั้วการเมืองที่จะเปลี่ยนจนหวยออกมาอย่างเห็น!
ประการที่สอง เมื่อเทียบผลประโยชน์ที่จะได้รับ จากแผนเดิมและแผนใหม่ การเช่ารถ ขสมก.แทบไม่ได้อะไร ตรงกันข้าม กลับจะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น
แผนเดิม หาก ขสมก.เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นก๊าซแล้วเสร็จ จะสามารถคืนทุนได้ในเวลาแค่ 18 เดือน ไม่ต้องรอถึง 24-36 เดือนตามโครงการใหม่ ซึ่ง ขสมก.คำนวณไว้แล้วว่า จะลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณวันละ 7 ล้านเศษ หรือเท่ากับ 2,555 ล้านบาทต่อปี
หากเช่าโดยเป็นรถปรับอากาศทั้งหมด แน่นอน ค่าเช่าย่อมต้องรวมค่าเหมาซ่อมอยู่ในนี้ด้วย สมมติว่า รถราคาอยู่ที่คันละ 7 ล้านบาท (คิดตามราคารถที่กทม.กำลังจะเช่ามาวิ่งรถบีอาร์ที) บวกดอกเบี้ย ค่าซ่อมบำรุง ค่าเชื้อเพลิง ค่ากำไรพึงได้ ค่าเช่าก็น่าจะตกอยู่ราวๆ 9,000 บาท/วัน/คัน คูณ 6,000 คัน เท่ากับ 54 ล้านบาท/วัน หรือ 1,620 ล้านบาท/เดือน
ขณะที่ปัจจุบัน ขสมก.แจ้งว่า มีรายได้ 500 ล้านบาท/เดือน และจะเพิ่มให้ได้ 900 ล้านบาท/เดือน รายได้ไม่พอรายจ่ายแบบนี้ ไหนละ! อนาคตที่สดใสของ ขสมก.?
ประเด็นต่อมา ค่าโดยสาร ซึ่งแน่นอนว่า รถแอร์ประชาชนต้องควักกระเป๋าแพงกว่า 7 บาทของเมล์ร้อนในปัจจุบัน แล้วคนที่มีรายได้น้อยจะทำอย่างไร? ตกลงรัฐบาลจะแก้ปัญหา หรือซ้ำเติมค่าครองชีพของประชาชนให้เพิ่มขึ้น?
คมนาคม บอกว่า คิดเช่นนี้เป็นพวกไร้สมอง จ้องจับผิด เพราะในเงื่อนไขจะนำระบบ E-Ticket หรือตั๋วโดยสารอิเล็กทรอนิกส์แบบเหมาจ่ายรายเดือนๆ ละ 900 บาทมาใช้ เพื่อให้ผู้ที่ใช้บริการ ขสมก.จะขึ้นรถกี่ต่อ กี่คันก็เสียครั้งเดียว
ถามจริงๆ ว่า ระบบนี้จะเชื่อมต่อกับใครบ้าง บริษัทไหนทำ ผูกขาดหรือไม่ รถร่วมบริการ และ ระบบขนส่งอื่นๆ เห็นด้วย ยอมที่จะเข้าร่วมแล้วหรือ?
จำได้ว่า รถไฟฟ้าบนดิน-ใต้ดินก็เคยมีแนวคิดนี้แต่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว! สำคัญที่สุด ใครคือผู้ลงทุนระบบที่คาดว่า อย่างน้อยๆ ต้องใช้เงินกว่า 4,400 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมประเด็นปลีกย่อยต่างๆ ที่ล้วนแต่เป็นคำถามที่คมนาคม และ ขสมก.ยังไม่ตอบประชาชนให้ชัดๆ ก่อนที่จะเสนอโครงการรถเช่า มาแทนรถเมล์ร้อนครั้งนี้ อาทิ จำนวนรถ 6,000 คันจะเช่ามาจากบริษัทเดียว ทำอย่างไร? รถเมล์ร้อนหรือ รถโดยสารเก่าที่จะโล๊ะทิ้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีถึง 3,500 คันจะทำอย่างไร?
ลองชั่งน้ำหนักดูละกันว่า เขารีบร้อนเอารถแอร์มาทำไม?
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
กรณีกระทรวงคมนาคมเสนอแผนปรับโครงสร้างองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยขอ ครม.อนุมัติให้เช่ารถโดยสารปรับอากาศ ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 6,000 คัน มาให้บริการแทนรถเมล์ร้อน และก็เห็นชอบในหลักการไปแล้วนั้น นับเป็นตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ โครงการที่เห็นได้ชัด
ตามข่าวว่ากันว่า โครงการนี้จะมีคนได้ประโยชน์จาก “ค่าคอมมิชชัน” หรือ “เงินปากถุง” คันละล้านหรือ 6,000 ล้าน ขณะที่นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม ตอบโต้ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย คนที่ให้ข่าวบิดเบือนข้อมูล เพราะ โครงการนี้คนที่ได้ประโยชน์คือ คนกรุงเทพฯ จะได้ใช้บริการรถ ขสมก.ดีขึ้น ส่วน ขสมก.ก็จะมีรายได้เพิ่ม
นายทรงศักดิ์ ยังบอกว่า ขสมก.ที่ปัจจุบันขาดทุนสะสมถึง 70,000 ล้านบาทโครงการนี้ช่วยลดขาดทุนได้ถึง50% และหลังจากให้บริการครบ 6,000 คัน 2-3 ปี ขสมก.ก็น่าจะมองเห็นอนาคตสดใสรออยู่
ฟังแล้วเคลิ้ม สรุปว่า มีแต่ได้กับได้! ผมเองก็อยากจะเชื่อ และหวังจะเห็น ขสมก.ดีขึ้นเสียที ไม่ใช่จมปลักอยู่กับปัญหาการขาดทุนมานานปีดีดัก แต่ทำใจลำบาก เพราะ เรื่องนี้ยังมีเงื่อนงำที่ชวนให้คิด
ประเด็นแรก โครงการเช่าซื้อรถใหม่มาแทนรถเก่านี้ ไม่ได้อยู่ในแผนการปรับโครงสร้าง ขสมก. แต่มาจากนักล็อบบี้ยิสต์ที่เสนอโครงการมาพร้อมเงื่อนไข (ทีโออาร์) ให้นักการเมือง
เชื่อหรือไม่ว่า เขาร่างกันขึ้นมาภายในเวลา 7 วันเท่านั้น!! ควรทราบว่า เดิมที ขสมก.ได้ว่าจ้างให้วิศวกรสำรวจรถโดยสารทั้งเมล์ร้อนและรถแอร์ พบว่า รถเดิมยังสามารถใช้งานได้อีก 7-10 ปี จึงมีมติให้ดำเนินการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากดีเซลที่น้ำมันแพงขึ้นทุกวันๆ เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีแทน
ขสมก.คิดสะระตะออกมาแล้วว่า หากใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจะประหยัดไปได้ถึง75% แถมลดมลพิษ และช่วยตรึงค่าโดยสาร หรือลดค่าโดยสารให้ประชาชนได้โดยไม่ต้องแบกภาระขึ้นค่ารถตามต้นทุนน้ำมัน หรือเอาเงินภาษีประชาชนมาอุดหนุน!!
การดำเนินการเรื่องนี้ทำมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 ผอ.ขสมก.ทราบดี เพราะได้มีการประกาศเชิญให้บริษัทเอกชนทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ ให้เข้ามารับงานจาก ขสมก.โดยกำหนดเงื่อนไขให้มีการทดสอบขึ้น
ช่วงนั้นมีนักลงทุนให้สนใจหลากหลาย ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ รวมถึงอเมริกาเข้ามาทดสอบกับ ขสมก.จนกระทั่งปลายปี 26 ธันวาคม 2550 มีบริษัทที่ผ่านการทดสอบ 10 บริษัท ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้เพื่อรอดำเนินการตามขั้นตอน อาทิ การจัดทำทีโออาร์ เพื่อเสนอและต่อรองราคาทำสัญญาจ้างต่อไป
ทว่า เริ่มต้นปี 2551 โครงการนี้ก็ชะลอไปเฉยๆ คล้ายรอดูทิศทางลมขั้วการเมืองที่จะเปลี่ยนจนหวยออกมาอย่างเห็น!
ประการที่สอง เมื่อเทียบผลประโยชน์ที่จะได้รับ จากแผนเดิมและแผนใหม่ การเช่ารถ ขสมก.แทบไม่ได้อะไร ตรงกันข้าม กลับจะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น
แผนเดิม หาก ขสมก.เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นก๊าซแล้วเสร็จ จะสามารถคืนทุนได้ในเวลาแค่ 18 เดือน ไม่ต้องรอถึง 24-36 เดือนตามโครงการใหม่ ซึ่ง ขสมก.คำนวณไว้แล้วว่า จะลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณวันละ 7 ล้านเศษ หรือเท่ากับ 2,555 ล้านบาทต่อปี
หากเช่าโดยเป็นรถปรับอากาศทั้งหมด แน่นอน ค่าเช่าย่อมต้องรวมค่าเหมาซ่อมอยู่ในนี้ด้วย สมมติว่า รถราคาอยู่ที่คันละ 7 ล้านบาท (คิดตามราคารถที่กทม.กำลังจะเช่ามาวิ่งรถบีอาร์ที) บวกดอกเบี้ย ค่าซ่อมบำรุง ค่าเชื้อเพลิง ค่ากำไรพึงได้ ค่าเช่าก็น่าจะตกอยู่ราวๆ 9,000 บาท/วัน/คัน คูณ 6,000 คัน เท่ากับ 54 ล้านบาท/วัน หรือ 1,620 ล้านบาท/เดือน
ขณะที่ปัจจุบัน ขสมก.แจ้งว่า มีรายได้ 500 ล้านบาท/เดือน และจะเพิ่มให้ได้ 900 ล้านบาท/เดือน รายได้ไม่พอรายจ่ายแบบนี้ ไหนละ! อนาคตที่สดใสของ ขสมก.?
ประเด็นต่อมา ค่าโดยสาร ซึ่งแน่นอนว่า รถแอร์ประชาชนต้องควักกระเป๋าแพงกว่า 7 บาทของเมล์ร้อนในปัจจุบัน แล้วคนที่มีรายได้น้อยจะทำอย่างไร? ตกลงรัฐบาลจะแก้ปัญหา หรือซ้ำเติมค่าครองชีพของประชาชนให้เพิ่มขึ้น?
คมนาคม บอกว่า คิดเช่นนี้เป็นพวกไร้สมอง จ้องจับผิด เพราะในเงื่อนไขจะนำระบบ E-Ticket หรือตั๋วโดยสารอิเล็กทรอนิกส์แบบเหมาจ่ายรายเดือนๆ ละ 900 บาทมาใช้ เพื่อให้ผู้ที่ใช้บริการ ขสมก.จะขึ้นรถกี่ต่อ กี่คันก็เสียครั้งเดียว
ถามจริงๆ ว่า ระบบนี้จะเชื่อมต่อกับใครบ้าง บริษัทไหนทำ ผูกขาดหรือไม่ รถร่วมบริการ และ ระบบขนส่งอื่นๆ เห็นด้วย ยอมที่จะเข้าร่วมแล้วหรือ?
จำได้ว่า รถไฟฟ้าบนดิน-ใต้ดินก็เคยมีแนวคิดนี้แต่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว! สำคัญที่สุด ใครคือผู้ลงทุนระบบที่คาดว่า อย่างน้อยๆ ต้องใช้เงินกว่า 4,400 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมประเด็นปลีกย่อยต่างๆ ที่ล้วนแต่เป็นคำถามที่คมนาคม และ ขสมก.ยังไม่ตอบประชาชนให้ชัดๆ ก่อนที่จะเสนอโครงการรถเช่า มาแทนรถเมล์ร้อนครั้งนี้ อาทิ จำนวนรถ 6,000 คันจะเช่ามาจากบริษัทเดียว ทำอย่างไร? รถเมล์ร้อนหรือ รถโดยสารเก่าที่จะโล๊ะทิ้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีถึง 3,500 คันจะทำอย่างไร?
ลองชั่งน้ำหนักดูละกันว่า เขารีบร้อนเอารถแอร์มาทำไม?
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th