รัฐบาลลูกกรอกยังไม่หยุดย่ำยีประชาชนท่ามกลางวิกฤตน้ำมันแพง “ ถาวร เสนเนียม“ แฉโครงการอุบาทว์โล๊ะรถเมล์ร้อน ออกรถแอร์ 6 พันคัน เก็บค่าโดยสารเริ่มต้น 15 บาท สุดสาย 30 บาท อ้างแก้ปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อม พบกลิ่นตุบริษัทจีนเสนอจ่ายใต้โต๊ะคันละ 1 ล้านบาท เป็นเงิน 6 พันล้าน แบ่งเค้ก 3 ก้อน เตือนไม่หยุดเจอซักฟอก ยื่นศาล ปค.สูงสุด-ปปช.สอบแน่ ขณะที่อิหร่านบอกฤดูร้อนนี้ราคาน้ำมันถึง 150 เหรียญต่อบาร์เรล
นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการระบบขนส่งทางรางและขนส่งมวลชน นอกจากจะไม่ดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ยังได้สร้างภาระเพิ่มเติมให้อีกด้วย ด้วยการมีความคิดที่จะยกเลิกใช้รถเมล์ร้อน ทั้งสายครีม-แดง และขาว-เขียว และจะใช้วิธีการเช่ารถปรับอากาศ มาใช้ทั้งหมด จำนวน 6,000 คัน โดยอ้างว่าเป็นการประหยัดพลังงาน ลกเลิกการใช้น้ำมันหันมาใช้แก๊ส NGV และง่ายต่อการจัดการ โดยอีก10 ปี สามารถปลดปัญหาหนี้สิน และมีกำไร แต่สิ่งที่ซ่อนเร้น คือ โครงสร้างการจัดการและการจัดเก็บค่าโดยสารที่กระทบต่อประชาชน
ขณะนี้ราคารถร่วมครีมแดง วิ่งตลอดสาย 7 บาท ขาว-เขียว 8 บาท ส่วรรถแอร์ ขาว-น้ำเงิน และรถยูโร เริ่มต้นที่ 12 บาท แต่เมื่อโครงการที่นายกฯจะดำเนินการจะเริ่มต้นที่ 15 บาท สูงสุดถึง 30 บาท ผลกระทบจะตกอยู่กับคนจนไม่มีสิทธิ์เลือก ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นการช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมเพิ่มภาระให้กับประชาชน
นายถาวรกล่าวว่า หากนายกฯต้องการจะประหลัดพลังงานจริง ควรจะนำรถเมล์ร้อนที่มีอยู่จำนวน 3 พันคัน ไปเปลี่ยนเครื่องยนต์เพื่อใช้แก๊ส NGV ที่ไม่ต้องลงทุนมาก และเก็บค่าโดยสารในราคาเท่าเดิมได้ เพราะหากจะใช้วิธัการเช่ารถปรับอากาศจากเอกเชน ในอนาคตสามารถรับประกันได้หรือไม่ ว่าจะไม่มีการขยับขึ้นราคาอีก เพราะมีความเป็นได้สูงว่า เอกชนจะขอต่อรองขอขึ้นราคาอย่างแน่นอน เพราะมีอำนาจต่อรองสูงเนื่องจากมีรถทั้งหมดอยู่ในมือ
นอกจากนี้นายถาวรยังตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมนายกฯรัฐมนตรีไม่นำเรื่องนี้หาพูดในรายการ จะต้องมีความมาพากล และเห็นว่าประชาชนจะต้องออกมาคัดค้าน จึงได้ปกปิดเอาไว้ แล้วค่อยนำไปเข้าสู่การกระชุม ครม.เพื่อออกเป็นมติ้สียก่อน อย่างไรก้ตามหากรัฐบาลยังดึงดันที่จะใช้โครงการดังกล่าว ประชาชนสามารถไปร้องเรียนต่อศาลปกครอง หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ในฐานะที่ออกคำสั่งโดยมิชอบ และมีการทุจริต
"ขณะนี้ผมมีข้อมูลหลักฐานว่ามีบริษัทสัญชาติจีนบริษัทหนึ่งที่มีคนไทยเป็นเอเย่น กำลังล๊อบบี้กับ บุคคลระดับรัฐมนตรี คือ มิสเตอร์ที และ มิสเตอร์ เอส ที่ร่วมอยู่ในคณะกรรมการฯ ชุดนี้ โดยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนหรือจ่ายใต้โต๊ะ ให้คันละ 1 ล้านบาท เป็นเงิน 6 พันล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น3 กลุ่ม คือ กลุ่มสูงสุดในรัฐบาล กลุ่มกลาง คือระดับรัฐมนตรีว่าการ และ กลุ่มล่าง คือระดับรัฐมนตรีช่วย จึงขอเตือนนายกฯในฐานะประธาน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีรองนายกฯและ รมว.คลัง นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกฯ และนายสันติ พร้อมพันธ์ รมว.คมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม ที่ร่วมเป็นกรรมการฯ ถ้าปล่อยให้มีโครงการนี้ และมีการทุจริตเกิดขึ้น โดยไม่นึกถึงปัญหาความเดือดร้อนของคนจน ผมจะต้องขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจะส่งข้อมูลทั้งหมดให้กับแกนนำกลุ่มพันธมิตร และนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.)ให้ตรวจสอบต่อไป”
**แนะ 4 แนวทางแก้ปัญหาน้ำมันพุ่ง
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเงา กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเกือบ 140 ดอลลาร์สหรัฐฯ ว่า เป็นราคาน้ำมันที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อันจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นไปไม่ต่ำกว่าลิตรละ 42-45 บาทต่อลิตร รัฐบาลต้องถือว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นวิกฤติ จึงอยากเสนอแนะให้รัฐบาลใช้มาตรการพิเศษดูแลปัญหา คือ
1.ต้องยกเลิกเบนซิน 91 ภายในเดือนนี้ เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้น และสะท้อนถึงทิศทางนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล 2.รัฐบาลต้องเร่งกำหนดมาตรการและปฏิบัติการทันที โดยการแก้ไขผลกระทบจากราคาต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นของ 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย ประมง เกษตร และขนส่ง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลยังไม่ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพียงพอในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว 3.รัฐบาลควรต้องกำหนดมาตรการกึ่งบังคับ หรือบังคับ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นสัญญาณที่รุนแรงพอในการรับมือปัญหาราคาน้ำมันที่เข้าสู่วิกฤติ 4.พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้รัฐบาลหารือกับกลุ่มประเทศอาเซียน ในการดำเนินการเพื่อเป็นแกนกลางในการประชุมกับประเทศกลุ่ม G8 หรือกลุ่ม G20 และกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งสหภาพยุโรป เพื่อเข้าไปดูแลกลไกราคาน้ำมัน ทั้งที่ต้นทุนราคาน้ำมันไม่ได้สูงขึ้น แต่มีการปั่นราคา เก็งกำไร กระทั่งทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นผิดปกติอย่างมาก
**ปท.จี8+ชาติเอเชียจำนนแก้น้ำมันแพง
สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานว่า บรรดารัฐมนตรีพลังงานของกลุ่ม 8 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี 8) ซึ่งวานนี้(8) เปิดประชุมภายในกลุ่ม และจากนั้นก็เข้าร่วมหารือกับพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสจาก 3 ชาติใหญ่เอเชีย อันได้แก่ จีน, อินเดีย, และเกาหลีใต้ มีความเห็นกันว่า วิธีรับมือในระยะยาวกับราคาน้ำมันแพงหลุดโลกในเวลานี้ คือการหาวิธีใช้น้ำมันกันให้มีประสิทธิภาพที่สุด แทนที่จะไปเร่งรัดกดดันกลุ่มโอเปก ให้ยอมสูบน้ำมันดิบออกสู่ตลาดโลกให้มากขึ้น
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่งทะยานขึ้นแบบหลุดโลกกว่า 10 ดอลลาร์ในวันเดียวเมื่อวันศุกร์(6) โดยสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์แห่งนิวยอร์ก ปิดทำนิวไฮที่ 138.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงขึ้นกว่าตอนปิดวันก่อน 10.75 ดอลลาร์ แถมในการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์หลังตลาดปิด ราคายังไต่ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดระหว่างวันที่ 139.12 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนดิเบรนต์ของตลาดลอนดอน ก็ทำนิวไฮระหว่างวันที่ 138.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะถอยลงหน่อยมาปิดวันศุกร์ที่ 137.69 ดอลลาร์ ซึ่งก็ยังเป็นสถิติสูงสุดสำหรับราคาปิดของน้ำมันชนิดนี้ และเพิ่มขึ้นจากตอนปิดวันก่อน 10.15 ดอลลาร์
บรรดารัฐมนตรีพลังงานของกลุ่ม จี 8 ซึ่งประชุมกันที่เมืองโออาโมริ ประเทศญี่ปุ่น ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามกำหนดการเดิมแล้วจะหารือกันถึงความจำเป็นที่จะต้องลงทุนกันหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในด้านพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้น เพื่อลดการปล่อยไอเสียคาร์บอนของโลก แต่ด้วยสถานการณ์เร่งด่วนเรื่องราคาน้ำมัน ก็ต้องหันมาพิจารณาปัญหาเฉพาะหน้านี้ด้วย และปรากฏว่าพวกเขาแทบไม่ได้เสนอแนวความคิดอะไรใหม่ๆ สำหรับให้บรรดาผู้นำกลุ่ม จี 8 พิจารณากัน ในการประชุมระดับสุดยอดเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของ จี 8 (ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี, แคนาดา, รัสเซีย) และการหารือในเวลาต่อมา ระหว่าง จี 8 กับเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีน, อินเดีย, และเกาหลีใต้ จบลงโดยคำแถลงภายหลังการประชุมพูดเพียงว่า มีความ "วิตกอย่างจริงจัง" ต่อระดับราคาน้ำมัน
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาที่เสนอกัน ก็คือ การที่ประเทศผู้เข้าร่วมประชุมจะเพิ่มการผลิตน้ำมันของพวกเขาเอง และเรียกร้องให้ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ๆ "เพิ่มการลงทุนเพื่อทำให้ตลาดมีอุปทานน้ำมันเพียงพอที่จะตอบสนองต่ออุปสงค์ของโลกที่กำลังเพิ่มขึ้น"
อีกด้านหนึ่ง ก็คือ มาตรการในการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ โดยในคำแถลงร่วมของที่ประชุมพลังงาน จี8+จีน,อินเดีย, เกาหลีใต้ ระบุว่าเห็นพ้องกันให้จัดตั้งโครงการแม่บทโครงการใหม่ ที่ใช้ชื่อว่า "หุ้นส่วนระหว่างประเทศเพื่อความร่วมมือกันในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ" (IPEEC) เพื่อแลกเปลี่ยนแนวความคิดกันเกี่ยวกับวิธีการประหยัดพลังงาน
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า คำแถลงร่วมเช่นนี้ดูจะเป็นการสะท้อนแนวความคิดที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ชาติผู้บริโภคน้ำมัน นั่นคือควรมุ่งเน้นไปที่การหาวิธีต่างๆ มาผ่อนเพลาอุปสงค์ของพวกตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี, มาตรการสงวนพลังงาน, และการกระจายแหล่งพลังงานที่ต้องพึ่งพา มากกว่าการกดดันกลุ่มโอเปกให้ผลิตน้ำมันดิบออกมาให้มากขึ้น ดังที่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เควิน รัดด์ เสนอขณะเริ่มเยือนญี่ปุ่นเมื่อวานนี้
อันที่จริงเสียงเรียกร้องเช่นของนายกรัฐมนตรีแดนจิงโจ้นี้ มีอยู่เป็นระยะๆ ตลอดปีที่ผ่านมา และพวกเจ้าหน้าที่โอเปกก็ตอบโต้โดยบอกว่า อุปทานน้ำมันในตลาดมีอยู่อย่างเพียงพอแล้ว แต่ราคาที่พุ่งพรวดเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้ เพราะมาจากการที่ดอลลาร์มีค่าอ่อนลง และการเก็งกำไรในตลาด
**อิหร่านบอกฤดูร้อนนี้น้ำมันถึง $150
ทางด้าน โมฮัมหมัด อาลี คาติบี ผู้แทนของอิหร่านประจำกลุ่มโอเปก กล่าววานนี้ว่า เขาทำนายว่าราคาน้ำมันจะไปถึงระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนสิ้นฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ เนื่องจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ปฏิทินในอเมริกาเหนือถือว่าฤดูร้อนสิ้นสุดวันที่ 20 กันยายน.
นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการระบบขนส่งทางรางและขนส่งมวลชน นอกจากจะไม่ดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ยังได้สร้างภาระเพิ่มเติมให้อีกด้วย ด้วยการมีความคิดที่จะยกเลิกใช้รถเมล์ร้อน ทั้งสายครีม-แดง และขาว-เขียว และจะใช้วิธีการเช่ารถปรับอากาศ มาใช้ทั้งหมด จำนวน 6,000 คัน โดยอ้างว่าเป็นการประหยัดพลังงาน ลกเลิกการใช้น้ำมันหันมาใช้แก๊ส NGV และง่ายต่อการจัดการ โดยอีก10 ปี สามารถปลดปัญหาหนี้สิน และมีกำไร แต่สิ่งที่ซ่อนเร้น คือ โครงสร้างการจัดการและการจัดเก็บค่าโดยสารที่กระทบต่อประชาชน
ขณะนี้ราคารถร่วมครีมแดง วิ่งตลอดสาย 7 บาท ขาว-เขียว 8 บาท ส่วรรถแอร์ ขาว-น้ำเงิน และรถยูโร เริ่มต้นที่ 12 บาท แต่เมื่อโครงการที่นายกฯจะดำเนินการจะเริ่มต้นที่ 15 บาท สูงสุดถึง 30 บาท ผลกระทบจะตกอยู่กับคนจนไม่มีสิทธิ์เลือก ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นการช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมเพิ่มภาระให้กับประชาชน
นายถาวรกล่าวว่า หากนายกฯต้องการจะประหลัดพลังงานจริง ควรจะนำรถเมล์ร้อนที่มีอยู่จำนวน 3 พันคัน ไปเปลี่ยนเครื่องยนต์เพื่อใช้แก๊ส NGV ที่ไม่ต้องลงทุนมาก และเก็บค่าโดยสารในราคาเท่าเดิมได้ เพราะหากจะใช้วิธัการเช่ารถปรับอากาศจากเอกเชน ในอนาคตสามารถรับประกันได้หรือไม่ ว่าจะไม่มีการขยับขึ้นราคาอีก เพราะมีความเป็นได้สูงว่า เอกชนจะขอต่อรองขอขึ้นราคาอย่างแน่นอน เพราะมีอำนาจต่อรองสูงเนื่องจากมีรถทั้งหมดอยู่ในมือ
นอกจากนี้นายถาวรยังตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมนายกฯรัฐมนตรีไม่นำเรื่องนี้หาพูดในรายการ จะต้องมีความมาพากล และเห็นว่าประชาชนจะต้องออกมาคัดค้าน จึงได้ปกปิดเอาไว้ แล้วค่อยนำไปเข้าสู่การกระชุม ครม.เพื่อออกเป็นมติ้สียก่อน อย่างไรก้ตามหากรัฐบาลยังดึงดันที่จะใช้โครงการดังกล่าว ประชาชนสามารถไปร้องเรียนต่อศาลปกครอง หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ในฐานะที่ออกคำสั่งโดยมิชอบ และมีการทุจริต
"ขณะนี้ผมมีข้อมูลหลักฐานว่ามีบริษัทสัญชาติจีนบริษัทหนึ่งที่มีคนไทยเป็นเอเย่น กำลังล๊อบบี้กับ บุคคลระดับรัฐมนตรี คือ มิสเตอร์ที และ มิสเตอร์ เอส ที่ร่วมอยู่ในคณะกรรมการฯ ชุดนี้ โดยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนหรือจ่ายใต้โต๊ะ ให้คันละ 1 ล้านบาท เป็นเงิน 6 พันล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น3 กลุ่ม คือ กลุ่มสูงสุดในรัฐบาล กลุ่มกลาง คือระดับรัฐมนตรีว่าการ และ กลุ่มล่าง คือระดับรัฐมนตรีช่วย จึงขอเตือนนายกฯในฐานะประธาน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีรองนายกฯและ รมว.คลัง นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกฯ และนายสันติ พร้อมพันธ์ รมว.คมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม ที่ร่วมเป็นกรรมการฯ ถ้าปล่อยให้มีโครงการนี้ และมีการทุจริตเกิดขึ้น โดยไม่นึกถึงปัญหาความเดือดร้อนของคนจน ผมจะต้องขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจะส่งข้อมูลทั้งหมดให้กับแกนนำกลุ่มพันธมิตร และนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.)ให้ตรวจสอบต่อไป”
**แนะ 4 แนวทางแก้ปัญหาน้ำมันพุ่ง
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเงา กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเกือบ 140 ดอลลาร์สหรัฐฯ ว่า เป็นราคาน้ำมันที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อันจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นไปไม่ต่ำกว่าลิตรละ 42-45 บาทต่อลิตร รัฐบาลต้องถือว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นวิกฤติ จึงอยากเสนอแนะให้รัฐบาลใช้มาตรการพิเศษดูแลปัญหา คือ
1.ต้องยกเลิกเบนซิน 91 ภายในเดือนนี้ เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้น และสะท้อนถึงทิศทางนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล 2.รัฐบาลต้องเร่งกำหนดมาตรการและปฏิบัติการทันที โดยการแก้ไขผลกระทบจากราคาต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นของ 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย ประมง เกษตร และขนส่ง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลยังไม่ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพียงพอในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว 3.รัฐบาลควรต้องกำหนดมาตรการกึ่งบังคับ หรือบังคับ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นสัญญาณที่รุนแรงพอในการรับมือปัญหาราคาน้ำมันที่เข้าสู่วิกฤติ 4.พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้รัฐบาลหารือกับกลุ่มประเทศอาเซียน ในการดำเนินการเพื่อเป็นแกนกลางในการประชุมกับประเทศกลุ่ม G8 หรือกลุ่ม G20 และกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งสหภาพยุโรป เพื่อเข้าไปดูแลกลไกราคาน้ำมัน ทั้งที่ต้นทุนราคาน้ำมันไม่ได้สูงขึ้น แต่มีการปั่นราคา เก็งกำไร กระทั่งทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นผิดปกติอย่างมาก
**ปท.จี8+ชาติเอเชียจำนนแก้น้ำมันแพง
สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานว่า บรรดารัฐมนตรีพลังงานของกลุ่ม 8 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี 8) ซึ่งวานนี้(8) เปิดประชุมภายในกลุ่ม และจากนั้นก็เข้าร่วมหารือกับพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสจาก 3 ชาติใหญ่เอเชีย อันได้แก่ จีน, อินเดีย, และเกาหลีใต้ มีความเห็นกันว่า วิธีรับมือในระยะยาวกับราคาน้ำมันแพงหลุดโลกในเวลานี้ คือการหาวิธีใช้น้ำมันกันให้มีประสิทธิภาพที่สุด แทนที่จะไปเร่งรัดกดดันกลุ่มโอเปก ให้ยอมสูบน้ำมันดิบออกสู่ตลาดโลกให้มากขึ้น
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่งทะยานขึ้นแบบหลุดโลกกว่า 10 ดอลลาร์ในวันเดียวเมื่อวันศุกร์(6) โดยสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์แห่งนิวยอร์ก ปิดทำนิวไฮที่ 138.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงขึ้นกว่าตอนปิดวันก่อน 10.75 ดอลลาร์ แถมในการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์หลังตลาดปิด ราคายังไต่ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดระหว่างวันที่ 139.12 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนดิเบรนต์ของตลาดลอนดอน ก็ทำนิวไฮระหว่างวันที่ 138.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะถอยลงหน่อยมาปิดวันศุกร์ที่ 137.69 ดอลลาร์ ซึ่งก็ยังเป็นสถิติสูงสุดสำหรับราคาปิดของน้ำมันชนิดนี้ และเพิ่มขึ้นจากตอนปิดวันก่อน 10.15 ดอลลาร์
บรรดารัฐมนตรีพลังงานของกลุ่ม จี 8 ซึ่งประชุมกันที่เมืองโออาโมริ ประเทศญี่ปุ่น ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามกำหนดการเดิมแล้วจะหารือกันถึงความจำเป็นที่จะต้องลงทุนกันหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในด้านพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้น เพื่อลดการปล่อยไอเสียคาร์บอนของโลก แต่ด้วยสถานการณ์เร่งด่วนเรื่องราคาน้ำมัน ก็ต้องหันมาพิจารณาปัญหาเฉพาะหน้านี้ด้วย และปรากฏว่าพวกเขาแทบไม่ได้เสนอแนวความคิดอะไรใหม่ๆ สำหรับให้บรรดาผู้นำกลุ่ม จี 8 พิจารณากัน ในการประชุมระดับสุดยอดเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของ จี 8 (ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี, แคนาดา, รัสเซีย) และการหารือในเวลาต่อมา ระหว่าง จี 8 กับเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีน, อินเดีย, และเกาหลีใต้ จบลงโดยคำแถลงภายหลังการประชุมพูดเพียงว่า มีความ "วิตกอย่างจริงจัง" ต่อระดับราคาน้ำมัน
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาที่เสนอกัน ก็คือ การที่ประเทศผู้เข้าร่วมประชุมจะเพิ่มการผลิตน้ำมันของพวกเขาเอง และเรียกร้องให้ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ๆ "เพิ่มการลงทุนเพื่อทำให้ตลาดมีอุปทานน้ำมันเพียงพอที่จะตอบสนองต่ออุปสงค์ของโลกที่กำลังเพิ่มขึ้น"
อีกด้านหนึ่ง ก็คือ มาตรการในการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ โดยในคำแถลงร่วมของที่ประชุมพลังงาน จี8+จีน,อินเดีย, เกาหลีใต้ ระบุว่าเห็นพ้องกันให้จัดตั้งโครงการแม่บทโครงการใหม่ ที่ใช้ชื่อว่า "หุ้นส่วนระหว่างประเทศเพื่อความร่วมมือกันในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ" (IPEEC) เพื่อแลกเปลี่ยนแนวความคิดกันเกี่ยวกับวิธีการประหยัดพลังงาน
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า คำแถลงร่วมเช่นนี้ดูจะเป็นการสะท้อนแนวความคิดที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ชาติผู้บริโภคน้ำมัน นั่นคือควรมุ่งเน้นไปที่การหาวิธีต่างๆ มาผ่อนเพลาอุปสงค์ของพวกตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี, มาตรการสงวนพลังงาน, และการกระจายแหล่งพลังงานที่ต้องพึ่งพา มากกว่าการกดดันกลุ่มโอเปกให้ผลิตน้ำมันดิบออกมาให้มากขึ้น ดังที่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เควิน รัดด์ เสนอขณะเริ่มเยือนญี่ปุ่นเมื่อวานนี้
อันที่จริงเสียงเรียกร้องเช่นของนายกรัฐมนตรีแดนจิงโจ้นี้ มีอยู่เป็นระยะๆ ตลอดปีที่ผ่านมา และพวกเจ้าหน้าที่โอเปกก็ตอบโต้โดยบอกว่า อุปทานน้ำมันในตลาดมีอยู่อย่างเพียงพอแล้ว แต่ราคาที่พุ่งพรวดเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้ เพราะมาจากการที่ดอลลาร์มีค่าอ่อนลง และการเก็งกำไรในตลาด
**อิหร่านบอกฤดูร้อนนี้น้ำมันถึง $150
ทางด้าน โมฮัมหมัด อาลี คาติบี ผู้แทนของอิหร่านประจำกลุ่มโอเปก กล่าววานนี้ว่า เขาทำนายว่าราคาน้ำมันจะไปถึงระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนสิ้นฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ เนื่องจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ปฏิทินในอเมริกาเหนือถือว่าฤดูร้อนสิ้นสุดวันที่ 20 กันยายน.