มหาสารคาม - จากความผันผวนของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ปั้มน้ำมันหลายแห่งเริ่มทะยอยปิดกิจการเนื่องจากทนแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว ขณะที่ชาวนาหลายรายสวนกระแสน้ำมันแพงออกหาซื้อรถไถไปไว้ไถนาเอง เชื่อว่าสามารถลดต้นทุนได้ดีกว่าจ้างไถ
จากความผันผวนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามล่าสุดราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซินทะลุลิตรละ 40 กว่าบาท แล้ว ประกอบกับคลังน้ำมันบางบริษัทจำกัดปริมาณการจำหน่ายให้กับลูกค่าลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการปั้มน้ำมันหลายแห่ง โดยเฉพาะปั้มน้ำมันในต่างอำเภอขนาดเล็ก ที่ทนแบกรับภาระต้นทุนค่าขนส่งไม่ไหว ทำให้สถานะด้านการเงินขาดสภาพคล่อง เนื่องจากการซื้อขายน้ำมันจากคลังเพื่อนำไปจำหน่ายต้องจ่ายเป็นเงินสดทุกครั้ง
อีกทั้งลูกค้าประจำ และลูกค้าขาจร ต่างมีการใช้น้ำมันน้อยลงโดยหันไปใช้รถยนต์โดยสารประจำทางแทนรถยนต์ส่วนบุคคลกันมากขึ้น ยอดจำหน่ายน้ำมันลดลงกว่าครึ่ง จึงต้องปิดกิจการก่อนที่จะขาดทุนไปมากกว่านี้
ขณะที่ชาวนาในเขตอำเภอโกสุมพิสัย กันทรวิชัย เชียงยืน และอำเภอเมืองมหาสารคาม หลายรายซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานมีการทำนาทั้งนาปี และนาปรัง ต่างสวนกระแสยุคน้ำมันแพง ออกหาซื้อรถไถมีทั้งรถไถเดินตาม และรถไถนั่งขับ เพื่อไว้ใช้ไถนาเอง โดยชาวนารายหนึ่งบอกว่าเมื่อก่อนเคยจ้างไถนาไร่ละ 200 บาท แต่เดี๋ยวนี้ขึ้นราคาเป็นไร่ละ 300 บาท ตนเองทำนาปีละ 2 ครั้ง เมื่อคิดดูแล้วต้นทุนจะต่ำกว่าไปว่าจ้างแรงงานไถนา อีกทั้งไม่ต้องรอนาน เพียงไม่กี่ปีก็คุ้มทุนยังทำให้มีรถไถนาเป็นของตนเอง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ดี จึงทำให้มีโอกาสตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
จากความผันผวนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามล่าสุดราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซินทะลุลิตรละ 40 กว่าบาท แล้ว ประกอบกับคลังน้ำมันบางบริษัทจำกัดปริมาณการจำหน่ายให้กับลูกค่าลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการปั้มน้ำมันหลายแห่ง โดยเฉพาะปั้มน้ำมันในต่างอำเภอขนาดเล็ก ที่ทนแบกรับภาระต้นทุนค่าขนส่งไม่ไหว ทำให้สถานะด้านการเงินขาดสภาพคล่อง เนื่องจากการซื้อขายน้ำมันจากคลังเพื่อนำไปจำหน่ายต้องจ่ายเป็นเงินสดทุกครั้ง
อีกทั้งลูกค้าประจำ และลูกค้าขาจร ต่างมีการใช้น้ำมันน้อยลงโดยหันไปใช้รถยนต์โดยสารประจำทางแทนรถยนต์ส่วนบุคคลกันมากขึ้น ยอดจำหน่ายน้ำมันลดลงกว่าครึ่ง จึงต้องปิดกิจการก่อนที่จะขาดทุนไปมากกว่านี้
ขณะที่ชาวนาในเขตอำเภอโกสุมพิสัย กันทรวิชัย เชียงยืน และอำเภอเมืองมหาสารคาม หลายรายซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานมีการทำนาทั้งนาปี และนาปรัง ต่างสวนกระแสยุคน้ำมันแพง ออกหาซื้อรถไถมีทั้งรถไถเดินตาม และรถไถนั่งขับ เพื่อไว้ใช้ไถนาเอง โดยชาวนารายหนึ่งบอกว่าเมื่อก่อนเคยจ้างไถนาไร่ละ 200 บาท แต่เดี๋ยวนี้ขึ้นราคาเป็นไร่ละ 300 บาท ตนเองทำนาปีละ 2 ครั้ง เมื่อคิดดูแล้วต้นทุนจะต่ำกว่าไปว่าจ้างแรงงานไถนา อีกทั้งไม่ต้องรอนาน เพียงไม่กี่ปีก็คุ้มทุนยังทำให้มีรถไถนาเป็นของตนเอง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ดี จึงทำให้มีโอกาสตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น