xs
xsm
sm
md
lg

สงครามทวิภพ แต่งตำรารัฐศาสตร์ใหม่(1)

เผยแพร่:   โดย: ยุค ศรีอาริยะ

ประมาณ 2 เดือนก่อน ผมได้ออกหนังสือใหม่เรื่อง เต๋าแห่งสังคมศาสตร์
เจอเพื่อนนักวิชาการท่านหนึ่งกล่าวเสนอแนะว่า
“ได้อ่านงานชิ้นใหม่แล้ว ชอบมาก เห็นด้วยกับการคิดอย่างเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำปรัชญาตะวันออกโบราณเรื่อง หยาง กับ หยิน ของเต๋ามาใช้วิเคราะห์ระบบโลกปัจจุบัน อ่านแล้วเข้าท่าดี”

ผมตอบว่า “ขอบคุณมาก”
แต่ก่อนที่ผมจะพูดต่อ ท่านกล่าวขึ้นว่า
“วันนี้ บ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการเมือง กำลังวุ่นวายอย่างยิ่ง คุณยุคน่าจะลองนำเสนอบทการวิเคราะห์วิกฤตทางการเมืองไทยโดยใช้ปรัชญาตะวันออกบ้าง”

ผมสัญญากับเพื่อนนักวิชาการท่านนี้ว่า ‘จะพยายาม’ ที่จะเขียนงานสักชิ้นหนึ่งในเรื่องนี้ออกมา

ที่จริงแล้ว ผมเคยนำเสนอแนววิเคราะห์การเมืองไทยไว้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมจะมองวิกฤตการเมืองในกรอบของวิกฤตระบบโลก และในมุมที่มองค่อนข้างกว้างมาก จึงไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องวิกฤตการเมืองไทยมากนัก

อย่างเช่น ผมได้นำเอาปรัชญาเรื่อง ดุลยภาพ และ การเสียดุล ของเต๋ามาอธิบายประสานเข้ากับการใช้ทฤษฎี Chaos ในการอธิบายสภาวะวิกฤตที่ซ้อนทับกันจนยากจะเข้าใจได้

ถ้าใช้หลักดุลยภาพของเต๋า เราจะสามารถเสนอว่า ระบบโลกปัจจุบันในทุกด้านกำลังก้าวสู่การเสียดุลอย่างยิ่ง

ในทางธรรมชาติ คือ การเสียดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ขณะเดียวกัน ในทางสังคม ระบบโลกก็ก้าวสู่สภาวะที่เสียดุลอย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะ ระหว่างกลุ่มที่เรียกว่า ชนชั้นนำระดับโลก หรือ Superclass กับประชาชนชั้นชนต่างๆ ทั่วโลก

คำว่า Superclass นี้มาจากงานเขียนของคุณเดวิค รอธคอปฟ์
รอธคอปฟ์ได้พัฒนาแนวคิดนี้มาจากคำว่า Elite หรือ ชนชั้นนำ ซึ่งอาจารย์ของอาจารย์ผมคือ ท่านอาจารย์ ซี ไรด์ มิลส์ เป็นผู้นำเสนอแนวคิดนี้ขึ้นประมาณ ค.ศ. 1950

ท่านเสนอว่า ระบบทุนโลกในยุคนั้น ได้เกิดชนชั้นนำพิเศษขึ้นมากลุ่มหนึ่ง มีฐานะอำนาจและความมั่งคั่งเหนือกว่าชนชั้นนายทุนทั่วไป

ยุคนั้นนับว่าเป็นจุดเริ่มแรกของการกำเนิดบรรษัทยักษ์ข้ามชาติ ที่มีอิทธิพลเหนือประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจและวัฒนธรรมโลก

ปัจจุบันระบบโลกได้ก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตน์ กลุ่มคนเหล่านี้สามารถเพิ่มขยายความมั่งคั่งขึ้นไปอีกเนื่องจากพวกเขาสามารถควบคุมเหนือกระบวนการแสวงหากำไร (จากการปั่นกำไร)

เราเรียกวิถีการปั่นกำไร หรือหากำไรแบบไม่ต้องทำการผลิตแบบนี้ว่า Turbo-Accumulation การสะสมทุนที่รวดเร็วราวกับเครื่องไอพ่น

บรรดากองทุนที่คนไทยรู้จักกันในนามของ เฮดจ์ฟันด์ คือเครื่องมือที่ก่อเกิดขบวนการการแสวงหาลักษณะนี้

ปัจจุบัน มีกองทุนเฮดจ์ฟันด์ประมาณ 10,000 ราย ในจำนวนนั้น 300 กองทุนควบคุมทรัพย์สินของกิจการอุตสาหกรรมถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มีเพียง 100 กองทุนแรกคุมทรัพย์สินถึง 60เปอร์เซ็นต์

คนไทยได้เรียนรู้เรื่อง Turbo-Accumulation โดยตรง ผ่านเรื่องราวครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย นั่นคือการปั่นฟองสบู่ และการแตกของฟองสบู่ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงประมาณ พ.ศ. 2535 ถึง 2540

การแตกของฟองสบู่เมื่อ พ.ศ. 2540ได้ส่งผลให้ทุนระดับชาติของไทยพังพินาศ และล่มจมล้มละลายกันเป็นทิว แต่ในเวลาเดียวกันกลับสามารถสร้างความมั่งคั่งให้ทุนเก็งกำไรระดับโลกอย่างมหาศาล

ปัจจุบัน คำว่า Supercalss จึงถูกนำเสนอขึ้นแทนที่คำว่า Elite เพราะคำ Elite นี้มีความหมายเดิมเพียงแค่เป็นชนชั้นนำของชนชั้นนายทุนเท่านั้น ซึ่งน่าจะมีผลประโยชน์และเป็นหนึ่งเดียวกับชนชั้นนายทุนโดยทั่วไป

แต่เดี๋ยวนี้ กลุ่มคนที่เราเรียกว่า Superclass (ผู้มีอำนาจควบคุมบรรษัทยักษ์ของโลก CEO ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ รวมทั้งเจ้าของสื่อระดับโลก) สามารถยืนอยู่บนหัวชนชั้นนายทุนและระบบทุนอีกที ราวกับเป็นต้นกาฝากยักษ์ ซึ่งการแสวงหากำไรของพวกเขาสามารถทำลายชนชั้นนายทุน ทำลายเศรษฐกิจระดับประเทศได้ด้วย

วันนี้ พวก Superclass มีอำนาจเหนือรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลทั่วโลก รวมทั้งมีอำนาจผูกขาดกิจการโลกขนาดใหญ่ (ทั้งด้านการผลิต ด้านทรัพยากร เงินตรา และการสื่อสารโลก)

พวกเขาพบว่า วิถีในการสร้างกำไรที่รวดเร็วที่สุดคือ ก่อวิกฤต และใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการปั่นราคา ปั่นกำไร ปล้นโลกทั้งโลก

กล่าวแบบสั้นๆคือว่า
ยิ่งวิกฤต ยิ่งกำไร

ตัวอย่างเช่น
ปัจจุบัน บรรษัทเอ็กซ์ซอน บรรษัทน้ำมันโลก รวมทั้งมหาเศรษฐีน้ำมัน ไม่เพียงผูกขาดการค้าขายน้ำมันเท่านั้น แต่บรรดา CEO ของบรรษัทเหล่านี้ยังร่วมมือกับบรรดานักเก็งกำไร และสื่อโลกช่วยกันปั่นราคาน้ำมันโลกด้วย

ดังนั้น ราคาน้ำมันจริงๆ ไม่ได้เคลื่อนตัวไปตามหลักการตลาด หรือหลักการเรื่อง Demand & Supply อย่างที่กล่าวอ้างแม้แต่น้อย

กำไรเดิมจากการผูกขาดก็มากมหาศาลอยู่แล้ว เมื่อสามารถบวกกับกำไรจากการปั่นราคาด้วย กำไรก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีก 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า

นักวิชาการไทยบางท่านจึงเรียกกลุ่มคนพวกนี้ว่า ทุนสามานย์ หรือ ไอ้ทุนชั่ว
ผมเองจะไม่เรียกพวกนี้ว่าเป็น ‘นายทุน’ อีกต่อไป เพราะคนเหล่านี้พัฒนาเกินกว่าความหมายของคำว่านายทุนแบบทั่วไป แต่เป็นพวกที่อยู่เหนือชนชั้นนายทุน เกาะกินทุน และทำลายทุน

นอกจากสามารถแสวงหาความร่ำรวยจากการปั่นกำไร หรือการปล้นโลกแล้ว พวกเขายังสามารถหากำไรจากการสร้างวิกฤตอื่นๆ อย่างเช่น วิกฤตสงคราม (การค้าอาวุธ) และวิกฤตสุขภาพด้วยการค้ายาแบบผูกขาด และปั่นราคายาให้แพงอย่างยิ่ง (ยารักษามะเร็งเข็มละล้าน แต่ไม่ประกันว่าจะหาย)

บางกลุ่มก็หากินกับการสร้างขยายวิกฤตทางด้านวัฒนธรรม ด้วยการเปิดบ่อนพนัน รวมทั้ง แหล่งบันเทิงที่มอมเมาประชาชน (เหล้า ผู้หญิง ยาเสพติด)

Supercalss มีทั้งในระดับโลก และระดับปลายแถว
ระดับโลกที่คนไทยมักจะได้ยินชื่อกัน อย่างเช่น รูเพิร์ต เมอร์ด็อก บิลเกตส์
ระดับหางแถว คือ อยู่ในระดับประเทศ
ประเทศไทยก็มี Superclass ระดับปลายแถวเช่นกัน อย่างเช่น ท่านอดีตนายกฯ ไทย ผมคงไม่ต้องเอ่ยชื่อท่านเพราะทุกคนรู้จักท่านดี

วันหนึ่ง มีนักข่าวท่านหนึ่งถามผมว่า
“ทำไมคุณทักษิณ จึงไปเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลที่มีชื่อของอังกฤษ”
ผมก็ตอบแบบสั้นๆ ว่า
“คุณไม่รู้หรือว่าแหล่งการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ การพนันฟุตบอล”
นอกจากนี้ การเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลในอังกฤษ คือ ใบเบิกทางที่เปิดโอกาสให้คุณทักษิณมีโอกาสรู้จักกับบรรดา Superclass ระดับโลก และสามารถยกฐานะตัวเอง สร้างความยอมรับว่าตนมีฐานะความมั่งคั่งระดับโลกเช่นกัน

นี่คือ การเปิดช่องทางใหญ่ในการหากิน
คุณทักษิณจึงสามารถติดต่อกับบรรดา Superclass ระดับโลก และพาพวกนี้มาลงทุนในประเทศไทย

แต่อย่าคิดว่า จะเป็นผลดีต่อประเทศไทยเสมอไป
Superclass เหล่านี้มีเงินมหาศาลมาก มากพอที่จะยึดและซื้อประเทศไทย ยึดอำนาจรัฐและสร้างอิทธิพลครอบสังคมไทยไว้ได้


ที่สำคัญ พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่กับการผลิตจริง เขาสนใจกิจการที่สร้างกำไรแบบพิเศษได้เท่านั้น

พอราคาพืชผลสูงขึ้น พวก Superclass ทางตะวันออกกลางก็คิดจะมาหาประโยชน์จากการปั่นราคาข้าวและพืชผลอื่นๆ จึงเดินทางมาเมืองไทย

ถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน (ระหว่าง Superclasss ที่ตะวันออกกลาง กับพวกปลายแถวระดับประเทศไทย) การปั่นราคาข้าวและการปั่นราคาพืชผลจะเกิดขึ้น และรุนแรงขึ้น ประชาชนทั่วโลกนับพันๆ ล้านคนที่ยากจนอยู่แล้วจะเดือดร้อนและล้มตาย

กล่าวอย่างสรุปก็คือ
พวก Superclass หันมาสนใจประทศไทยเพราะไทยคือฐานผลิตพืชผลและสินค้าการเกษตรที่สำคัญของโลก ถ้าพวกเขาควบคุมไทย (การเมือง และเกษตรกรรมของไทย) ได้ พวกเขาก็จะสามารถใช้ไทยเป็นฐานการปล้นโลก และสร้างหายนะแก่คนทั่วโลกได้

วันนี้ ความสามารถในการสร้างกำไรสมัยใหม่ด้วยการสร้างวิกฤตและปล้นโลก ได้ส่งผลขยายช่องว่างระหว่างพวก Superclass กับประชาชนทั่วโลก ขยายตัวไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

วันนี้ คนเพียง 1,100 คน มีทรัพย์สินในมือมากกว่าคนที่ยากจนที่สุด (สองพันห้าร้อยล้านคน)ถึง 2 เท่าตัว

วันนี้ บรรดา CEO มีเงินเดือนมากกว่าพนักงานทั่วไป ประมาณ 400 ถึง 500 เท่า

วันนี้ บรรษัทน้ำมันเอ็กซ์ซอน มียอดขายในแต่ละปีใกล้เคียงกับผลผลิตมวลรวมของประเทศสวีเดนซึ่งถือว่ามี GDP ระดับ 9 ของโลก


ที่สำคัญ ความมั่งคั่งและการปล้นโลกของ Superclasss กำลังก่อให้เกิด ‘อภิมหาวิบัติ’ และกำลังทำให้ระบบทุนโลกเองที่เคยยิ่งใหญ่ ก้าวสู่กาลอวสาน(ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น