xs
xsm
sm
md
lg

การชุมนุมของพันธมิตรฯ กับผลกระทบต่อการลงทุนของต่างชาติ

เผยแพร่:   โดย: วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน

เวลานี้สื่อและนักธุรกิจประเภทไร้จิตสำนึกทางการเมืองมักร่วมกันส่งเสียงว่าการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สร้างความวุ่นวายทางการเมือง กระทบเศรษฐกิจ กระทบการลงทุน กระทบหุ้น ถึงขนาดกล้ารายงานข่าวว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ มีผลต่อการลงทุนถึงร้อยละ 80 โดยไม่บอกว่าใช้อะไรเป็นเครื่องวัด ผู้เขียนจึงอยากทราบว่าสองปรากฏการณ์นี้เป็นเหตุเป็นผลกันหรือไม่ อย่างไร การหาคำตอบเรื่องนี้คงต้องพาดพิงเรื่องอื่นที่เกี่ยวโยงพร้อมกันไป

ก่อนอื่นต้องแยกแยะสักเล็กน้อยว่าความไม่สงบทางการเมืองมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับแรงๆ อย่างเช่นการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ ไปจนถึงระดับเบาๆ อย่างเช่นการชุมนุมของประชาชนด้วยความสงบ โดยตรรกะความไม่สงบทางการเมืองใน 3 จังหวัดภาคใต้จะต้องส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าการชุมนุมโดยสงบ แต่ที่ผ่านมาผู้กุมอำนาจสื่อสามารถรายงานให้มันกลับตาลปัตรกันได้ เพราะความไม่สงบของ 3 จังหวัดภาคใต้กระทบเศรษฐกิจได้จริง จึงเพลาๆ การรายงานข่าวตามความเป็นจริง ส่วนการชุมนุมของประชาชนโดยสงบ ก็เพลาๆ การรายงานข่าวตามความเป็นจริงเพื่อเอาใจผู้กุมอำนาจสื่อ ตกลงการเสนอข่าวความไม่สงบทางการเมืองในเมืองไทยไม่มีอะไรที่ตรงไปตรงมา มีแต่สร้างมายาภาพโดยฝีมือของสื่อกระแสหลัก

ความไม่สงบทางการเมืองระดับแรงๆ ที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ย่อมทำให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพของรัฐบาล ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาช่วยตัวเอง คนชั้นกลางจะเริ่ม “รัดเข็มขัด” ลดการใช้จ่ายบางส่วนบางด้าน ส่งผลให้การจำหน่ายและการผลิตภายในประเทศไม่เพิ่ม/เพิ่มน้อย การจ้างงานไม่เพิ่ม/เพิ่มน้อย คนตกงาน รายได้ไม่เพิ่ม/เพิ่มน้อย/ลดลง ลดการใช้จ่ายบางด้านต่อไป หมุนวนจนอาจทำให้เกิดเศรษฐกิจซบเซา ถ้าผลกระทบลูกโซ่นี้แรงมากก็จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เหมือนพายุทอร์นาโดเริ่มแรกก็หมุนวนเบาๆ แต่ยิ่งหมุนวนพลังลมก็ยิ่งรุนแรงขึ้น สรุปคือความไม่สงบทางการเมืองระดับแรงจะส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของภาคเอกชนมากที่สุด

ในด้านผลต่อการลงทุน สิ่งที่นักลงทุนวิตกคือการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย เพราะมีประสบการณ์ว่าเปลี่ยนรัฐบาลทีไรก็จะเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการลงทุน เอาของรัฐบาลเก่าทิ้งไป เอาของตัวเองมาใช้แทน โครงการลงทุนที่เริ่มไปแล้วอาจถูกกระทบก็ได้ เลยไม่อยากลงทุนเพิ่ม แต่นักลงทุนหน้าเก่าทราบดีว่าไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุดนโยบายหลักๆ เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนของไทยไม่เคยเปลี่ยน พวกนี้จึงไม่สนใจปัจจัยการเมือง ดูแต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจล้วนๆ อาจมีบ้างที่นักลงทุนต่างชาติหน้าใหม่จะดูปัจจัยการเมืองด้วย

ที่ผ่านมาเมืองไทยมีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ทั้งเกิดจากการปฏิวัติยึดอำนาจ ทั้งถูกล้มล้างโดยพรรคฝ่ายตรงข้าม การเปลี่ยนรัฐบาลโดยวิธีหลังนี้ในหมู่นักการเมืองจะไม่นำมาโพทะนาว่าอย่าทำนะจะกระทบการลงทุน มีแต่บอกว่าทหารอย่าปฏิวัตินะ เดี๋ยวการลงทุนจะซบเซา ฝ่ายทหารปฏิวัติก็จะอ้างว่ามีการคอร์รัปชันเยอะ กระทบการลงทุน จึงต้องปฏิวัติ ตกลงอะไรกันแน่ที่กระทบการลงทุน

คนอายุเกิน 50 ปีที่ไม่เป็นอัลไซเมอร์ คงจำได้ว่าการกล่าวหาแบบนี้มีมาตลอดตั้งแต่การชุมนุมช่วง 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 ตอนนั้นมีกลุ่มรับจ้างเรียกชื่อว่ากระทิงแดงและกลุ่มนวพล เหมือนกับสมัยนี้มีกลุ่ม นปก. และกลุ่มป่วนอื่นๆ ที่จัดตั้งโดยฝ่ายผู้สูญเสียอำนาจ ทำหน้าที่ป่วนการชุมนุมของประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่โชคดีที่สมัยนั้นสื่อทั้งหลายยังไม่ถูกซื้อ จึงไม่ได้เข้าร่วมประโคมข่าวกล่าวหาการชุมนุมตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ อีกทั้งประชาชนในต่างจังหวัดทั่วประเทศก็ได้รับข่าวสารข้อมูลค่อนข้างทัดเทียมกับชาวกรุงเทพฯ

มาในยุคระบอบทักษิณ มีการใช้อำนาจเงินระดมซื้อผู้นำชุมชนทุกยี่ห้อเป็นเอเย่นต์ซื้อเสียงประชาชนในการลงคะแนนเลือกตั้ง จนประชาชนเหล่านั้นกลายเป็น “ตัวประกันประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง” ให้ระบอบทักษิณยกขึ้นอ้างข่มขู่ฝ่ายต่อต้านอยู่ตลอดเวลา การจัดตั้งกลุ่มเฉพาะกิจต่างๆ เพื่อชุมนุมตามใบสั่ง การจ้างกลุ่มเฉพาะกิจเพื่อป่วนการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรฯ (อันนี้เหมือนสมัย 6 ตุลาถูกกลุ่มกะทิงแดงรังควาน) สื่อกระแสหลักทั้ง นสพ. และโทรทัศน์ทั้งหลายที่คนต่างจังหวัดเข้าถึงก็ล้วนเป็นกระบอกเสียงให้กับระบอบทักษิณฝ่ายเดียว ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรฯ เสียงกล่าวหาการชุมนุมของพันธมิตรฯ จึงดังกลบเสียงของพันธมิตรฯ หมด

แม้แต่ชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนมากที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ แต่เนื่องจากรับแต่สื่อกระแสหลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรทัศน์ที่ระบอบทักษิณแผ่รังสีอำมหิตมานาน และยังแผ่รังสีอำมหิตผ่าน “พรรคการเมืองและรัฐบาลตัวแทน” ต่อไปเวลานี้ จึงมีความเข้าใจการเมืองปัจจุบันที่คับแคบมาก ส่วนคนชั้นกลางจำนวนมากที่ไม่ถูกระบอบทักษิณครอบงำยังคงทำตัวเป็นพลังเงียบ อาจเป็นเพราะยังมีจิตสำนึกทางการเมืองต่ำ หรือว่ายังคงติดอยู่กับนิสัย “ชุบมือเปิบ” ภาษาอังกฤษเรียกว่า free rider แม้เห็นคนสูงวัยจำนวนมากต้องออกมาตรากตรำร่วมชุมนุม ก็ยังไม่อาจสะกิดสะเกาต่อมจิตสำนึกทางการเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมให้ตื่นขึ้นมาได้ อันที่จริงถ้า 1 ใน 4 ของคนกรุงเทพฯ มาร่วมชุมนุมเพียงคนละครั้ง จะได้ผู้ชุมนุมถึง 2.5 ล้านครั้ง-คน ผู้ชุมนุมยิ่งมีจำนวนมาก ยิ่งมีความชอบธรรม ปลอดภัย และเห็นผลเร็ว แต่ถ้ามีผู้ชุมนุมน้อย ยิ่งต้องยืดเยื้อ และผู้ชุมนุมยิ่งเสี่ยงภัย

คนที่ถือคติชุปมือเปิบมักอ้างโน่นอ้างนี่เพื่อจะแก้ตัวไม่ต้องมีส่วนร่วมการชุมนุมในทุกวิถีทาง ประเด็นที่ผู้เขียนได้ยินบ่อยคืออ้างว่าแกนนำชุมนุมคนหนึ่งคือ สนธิ ลิ้มทองกุล มีประวัติไม่สู้ดีในฐานะลูกหนี้สมัยฟองสบู่แตก

ผู้เขียนมักถามกลับว่า มีคนดีพร้อมใสสะอาดคนไหนกล้าออกมาเป็นแกนนำต่อต้านระบอบทักษิณหรือไม่ ถ้ามีคนที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าออกมาเสนอตัวต่อสาธารณะชน ทำไมประชาชนจะไม่เอาด้วย อนึ่งเล่า แกนนำร่วมอีกถึง 4 คนที่หาเรื่องติไม่ได้ จะว่าอย่างไร

แทนที่จะมัวอ้างโน่นอ้างนี่ ควรหันมาดูสาระสำคัญของการต่อต้านจะดีกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมามีเรื่องหลักที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือต่อต้านการโกงกินของผู้มีอำนาจ การโกงกินภายใต้ระบอบทักษิณนั้นหนักหนาสาหัสชนิดทิ้งฝุ่นผู้บริหารประเทศที่ผ่านมาใช่หรือไม่ โกงกินคนเดียวไม่พอ ยังจูงมือบริวารให้เข้ามาร่วมขบวนการโกงกินหรือรับแจกผลได้ เหมือนหนึ่งว่าชั่วคนเดียวไม่พอ ต้องให้ชั่วกันไปทั้งบาง จะได้อาศัยพวกนี้แหละสามัคคีปกป้องนายใหญ่ ความสามัคคีของบริวารระบอบทักษิณจึงไม่ธรรมดาเลย

ที่สำคัญระบบโกงกินก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน บางเรื่องใช้วิธีง่ายๆ เล่นแร่แปรธาตุรัฐวิสาหกิจอันเป็นสมบัติของส่วนรวมมาเป็นสมบัติส่วนบุคคล และไม่ลืมที่จะแจกจ่ายผลประโยชน์ส่วนหนึ่งนับพันนับหมื่นล้านเพื่อปิดปากพวกข้าราชการที่เกี่ยวข้อง บางเรื่องบรรยายให้ฟังกี่หนก็ไม่เข้าหัว เพราะยอกย้อนซ่อนเงื่อนแบบไฮเทคจนคนทั่วไปยากที่จะตามทัน

คนที่ขายจิตวิญญาณทั้งหมดให้แก่ปีศาจเงินตราเท่านั้นจึงจะโกงกินมโหฬารพันลึกขนาดนี้ได้ เพราะต้องใช้ทั้งเวลาคิดค้นและอาศัยที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจึงจะโกงกินได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดนี้

ที่สำคัญที่สุดระบบโกงกินแบบระบอบทักษิณจะก่อความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจทั้งในทางกว้างและทางลึกชนิดที่ว่าใช้เวลาครึ่งศตวรรษก็ยังกู้กลับคืนมาไม่ได้ ดูตัวอย่างประเทศอาร์เจนติน่าหรือฟิลิปปินส์ได้เลย นักการเมืองทรราชคนเดียวสามารถทำลายเศรษฐกิจทั้งระบบให้ย่อยยับ จากนั้นปล่อยให้ประชาชนมีชีวิตอย่างไร้อนาคต คนที่หนีออกนอกประเทศได้ก็หนีไป คนที่ไม่มีหนทางหนีไปไหนก็ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนไปวันๆ ตัวอย่างมีให้เห็นข้างๆ เมืองไทยนี่เอง แม้กระทั่งเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวยังปล่อยให้ประชาชนตายเป็นใบไม้ร่วงโดยไม่ยอมให้ใครเข้ามาช่วยเหลือ เหตุการณ์เช่นนี้อย่าคิดว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับเมืองไทย จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่ คนไทยไม่ได้มีคุณสมบัติเหนือคนพม่าแต่อย่างใด

คนที่โลบโมโทสันขั้นอุกฤษณ์มักมีจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตพร้อมกันไปด้วยหากโอกาสเอื้ออำนวย จะปล่อยให้สายเกินแก้อย่างนั้นหรือ

เรื่องแกนนำต้องเป็นคนดีพร้อม กับเรื่องเศรษฐกิจจะถูกทำลายไปนานถึงครึ่งศตวรรษหรือนานกว่านั้น ประเด็นไหนสำคัญกว่ากัน ยังจะมัวเกี่ยงเรื่องแกนนำอยู่อีกหรือ ในสมัยที่นายใหญ่เรืองอำนาจสูงสุด ไม่ว่าใครที่หาญกล้าออกมาเป็นแกนนำต่อต้านอย่างจริงจัง ประชาชนที่มีจิตสำนึกทางการเมืองเขาเอาด้วยทั้งนั้น

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง คนชั้นกลางต้องเรียนรู้หน้าที่ในการมีส่วนร่วมนอกเหนือจากลงคะแนนเลือกตั้ง ประชาชนต้องพัฒนาจิตสำนึกทางการเมืองให้สูงขึ้น
รังเกียจการโกงกินของนักการเมืองให้สุดจิตสุดใจ ประโยคโง่ๆ ที่ว่า "นักการเมืองโกงกินทุกราย แต่กินแล้วแบ่งให้เราบ้างจะเป็นไรไป " เก็บไว้ให้พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านหัวคะแนน "มักได้" ท่องกันไปเถอะ

คนชั้นกลางต้องหันมาท่องว่า "ในระบอบประชาธิปไตย ผู้โกงกินไม่ว่าหน้าไหนต้องเข้าคุกทุกราย"

ถ้าทุกคนท่องตามนี้รับรองว่าต่างชาติจะแห่มาลงทุนไม่ขาดสาย เหตุที่ต่างชาติมาลงทุนน้อย เพราะเมืองไทยติดอันดับโกงกินเป็นที่ 2 รองจากฟิลิปปินส์ เป็นที่ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก เรื่องนี้ต่างหากเป็นสาเหตุแท้จริงที่กระทบการลงทุนจากต่างชาติ นักลงทุนต่างชาติที่รังเกียจการคอร์รัปชั่นเขาไม่อยากเข้ามาไทย ทำให้ไทยพลาดโอกาสงามๆ มาเป็นเวลานานแล้ว


จะแก้โกงกินได้ ส่วนหนึ่งต้องมี กกต. ที่เข้มแข็ง ต้องปราบปรามทั้ง "การซื้อเสียง" และ "การขายเสียง" ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของระบอบประชาธิปไตย การอ้างความจนเพื่อทำผิดกฎหมายเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น คนจนในอินเดียเขายากจนยิ่งกว่าคนจนในไทยเสียอีก แต่เขาไม่ขายเสียง ความรักในประชาธิปไตยของคนอินเดียเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก คนไทยควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

คนชั้นกลางต้องแสวงหาความรู้ความเข้าใจการเมืองไทยแบบรู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่ใช่รู้แบบตัดตอนหรือรู้ตามที่สื่อไร้จิตสำนึกเป่าหูทุกวี่วัน รู้จักเลือกรับแต่สารที่มีสารัตถะ รู้ทันสื่อกระแสหลัก รู้ทันผู้นำการเมือง รู้ทันแกนนำชุมนุม รู้จักแยกแยะถูกและผิด แยกแยะแก่นและกะพี้ การมีส่วนร่วมในทางอื่นๆ ยังไม่เพียงพอ คนชั้นกลางที่ไม่ถูกครอบงำต้องร่วมด้วยช่วยกันในการชุมนุมโดยสันติไม่ทางใดก็ทางหนึ่งด้วย

เมื่อใดคนชั้นกลางทำได้ตามนี้ เมื่อนั้นแหละบ้านเมืองจะเกิดความสงบสันติอย่างแท้จริง

กำลังโหลดความคิดเห็น