นักวิทยาศาสตร์ถือว่า-มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกกลมๆ ใบนี้
แต่ทุกคนทราบดีว่า มนุษย์ต่างกับสัตว์ตรงที่สมองรู้จักคิด รู้จักค้นคว้าพัฒนา จนมนุษย์กลายเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าสัตว์ชนิดอื่น
พูดตรงๆ มนุษย์ต้องรู้จักคิด-รู้จักสร้างสรรค์-รู้จักผิดชอบชั่วดีมากกว่าสัตว์ครับ
ในทางรัฐศาสตร์ ถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์การเมือง
สัตว์การเมืองที่รู้จักคิด รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักเห็นแก่ชาติบ้านเมืองและส่วนรวม นั่นจึงเป็นสัตว์การเมืองที่ดี..หรือเป็นมนุษย์ที่ดีครับ
กลับกัน..หากสัตว์การเมืองคนไหนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เอาแต่ได้เฉพาะตนและพวกพ้องไม่กี่คน ต้องถือเป็นสัตว์การเมืองชั่วช้าที่สุดของสังคมครับ
สัตว์การเมืองบ้านเรา เมื่อก่อนหากินกันแบบไม่ซับซ้อน ออกแนวโลว์เทค คือ คอร์รัปชันรับประทานอิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก ฯลฯ ในโครงการก่อสร้างของรัฐสารพัดเป็นหลัก
แต่ก็ต้องถือว่า..สวาปามกินกันแบบผิดมนุษย์มนาครับ!
สัตว์การเมืองยุค “คนหน้าเหลี่ยม” นั้น เขาพัฒนาการบริโภคแบบยุคโลกาภิวัตน์ นั่นคือ รับประทานได้แยบยลและมโหฬารมากขึ้น กินทั้งโครงการไฮเทคด้วยเทคโนโลยีทันสมัย จนถึงโครงการโลว์เทคทั้งอิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก ฯลฯ ในโครงการก่อสร้างทั่วไปเหมือนเดิม
เรียกว่าการคอร์รัปชันของสัตว์การเมือง ในยุคอัศวินคลื่นลูกที่สามแบบ “คนหน้าเหลี่ยม” เนี่ย กินแบบถี่ยิบไปหมดทุกเรื่อง กินตะกละตะกลามผิดมนุษย์มนาแล้ว ยังกินคำโตๆ ชนิดไม่กลัวท้องแตกตายเลย..เฮ้อ..
ยุค “คนหน้าเหลี่ยม” ครองเมือง จึงเกิดการคอร์รัปชันเชิงนโยบายในบิ๊กโปรเจกต์สารพัด อย่างโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมินั้น กินกันตั้งแต่โครงสร้างถมดินถมทราย เหล็ก ผ้าใบ กระจก เก้าอี้ รถเข็น อ้อ..กินอึ..เอ๊ย..การสร้างห้องส้วมที่แสนห่วยไงล่ะครับ
นั่นยังไม่รวมผลประโยชน์จากระบบการบริการและการบริหารสนามบิน ที่มีทั้งบนดินบนอากาศอีกสารพัด ..เรียกว่า ทุกตารางนิ้วของสนามบินสุวรรณภูมินั้น เงิน-เงิน-เงินใต้โต๊ะสะพัดไหลสู่กระเป๋านักการเมืองจนตุงกันเป็นแถว
นั่นทำให้แทนที่จะได้สนามบินระดับนานาชาติ ที่สวยงามเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยต่อชาวโลก กลับได้สนามบินสุวรรณภูมิที่ห่วยแตก และฉาวโฉ่ขายหน้าชาวโลกแทนไงล่ะครับ
ต้องถือว่าสัตว์การเมืองบ้านเรานั้นเลวชาติทั้งคู่ แต่สัตว์การเมืองยุคก่อน..ยังต้องถือว่าเลวทรามน้อยกว่า สัตว์การเมืองแบบหน้าเหลี่ยมชนิดเปรียบเทียบมิได้เลย เพราะสัตว์การเมืองยุคก่อนยังไม่กล้าใช้เงินและกลโกง มาสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จยึดบ้านเมืองอย่างทุกวันนี้
คนหน้าเหลี่ยม-อัศวินคลื่นลูกที่สามนี่เหลือร้าย ร้าย..จนถูกขนานนามว่าเป็นทุนนิยมผูกขาดสามานย์ ที่คิดแต่กำไร-กำไรและกำไรสูงสุดสถานเดียว โดยไม่ใส่ใจว่าการคอร์รัปชัน เช่น การมุบมิบเอาหุ้นปตท.มาแอบขายให้นักการเมืองและพวกพ้องอย่างน่าเกลียด ทำให้บริษัทน้ำมันของรัฐกลายเป็นของเอกชนไปกว่า 40%
ทำให้ประชาชนต้องแบกรับปัญหาน้ำมันขึ้นราคาอย่างบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อทำกำไรให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นนับแสนๆ ล้านบาท โดยไม่แยแสต่อผู้คนทั้งประเทศ ที่ต้องเผชิญความเดือดร้อนจนเลือดตาแทบกระเด็น
นี่เป็นหนึ่งในรูปธรรม..ที่ถือเป็นมหกรรมการหากินหาเงินบนความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางความทุกข์เข็ญของประชาชนคนไทยอย่างน่าขยะแขยงที่สุด
ต้องยอมรับว่า..เป็นเรื่องน่ากลัวมาก เมื่อนายทุนนิยมสามานย์ได้ผสมพันธุ์กับนักการเมืองชั่ว จึงได้สัตว์การเมืองสายพันธุ์พิเศษ ที่เรียกว่า..นักการเมืองทุนนิยมสามานย์!
ทุนนิยมสามานย์ “คนหน้าเหลี่ยม” จึงเป็นสัตว์การเมืองอันตรายมาก ชนิดที่สัตว์หน้าไหนก็ยากจะมาเทียบชั้นได้ และหากใครคิดจะมาปราบสัตว์ร้ายทางการเมืองตัวนี้ ยิ่งยากใหญ่..ยากอย่างเหลือเชื่อ..ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา..จริงมั้ย..พันธมิตรฯ ทั้งหลาย?
แต่อย่าห่วง..บรรดาพันธมิตรฯ และประชาชนที่กำลังต่อสู้กับสัตว์การเมืองแบบ“คนหน้าเหลี่ยม” พวกคุณชนะแน่..ชนะในอีกไม่นานนี้แหละ เพราะสัตว์การเมืองสไตล์ “คนหน้าเหลี่ยม” นั้น โลภมากเกินเหตุ โลภมากแบบสุดๆ...ที่สำคัญมีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงทางการเมือง อ้อ..แถมบ้าอำนาจไม่ต่างไปจาก “ไฮ้-ฮิตเลอร์” ทีเดียวเชียวแหละ
หาก “คนหน้าเหลี่ยม” จำกัดบทบาทตนเป็นแค่นายทุนผูกขาดสามานย์ และวางตนหลบอยู่เบื้องหลังทางการเมือง “คนหน้าเหลี่ยม” ก็อาจจะอยู่รอดปลอดภัยไปชั่วชีวิต แต่เพราะจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงและคิดว่ามีเงินร่ำรวยล้นฟ้า ผนวกกับเชื่ออีกว่า..เงินเท่านั้นที่ซื้อทุกอย่างในโลกนี้ได้
ด้วยความที่ “คนหน้าเหลี่ยม” ขยายพันธุ์จากพ่อค้าไปสมสู่กับนักการเมือง ดังนั้นทุกอย่างของแผนและภาคปฏิบัติ เขาจะขยายผลประโยชน์ออกเป็นสองส่วน
ส่วนที่หนึ่ง-ยังคงต้องได้ประโยชน์เข้าตนแบบพ่อค้าหน้าเลือดเหมือนเดิม
ส่วนที่สอง-เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อได้ประโยชน์จากคะแนนเสียงทางการเมืองด้วย
“คนหน้าเหลี่ยม”-สัตว์การเมืองที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์ จึงใช้นโยบายประชานิยมไปทั่วทุกหัวระแหง เพื่อเอาใจพวกรากหญ้าในชนบท ส่วนในเมืองก็ใช้นโยบายเอสเอ็มอี พวกชนชั้นกลางในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ใช้กลยุทธ์เพิ่มมูลค่าด้วยการปั่นหุ้นสารพัด เพื่อทำให้การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โตขึ้น
แต่กับสถาบันหลักของชาติ “คนหน้าเหลี่ยม” ไม่ให้คุณค่าราคาเท่าที่ควร แถมถูกลดความสำคัญลง ถูกละเลยดูแคลน กระทั่งบางคราบางเรื่องยังถูกหยามเหยียดจากคำพูดและการกระทำของ “คนหน้าเหลี่ยม” อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม..ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน “คนหน้าเหลี่ยม” ใช้ทั้งเวลาและผลงานเป็นบทพิสูจน์จนครบถ้วนแล้วว่า เขาเป็นได้แค่สัตว์การเมืองเลวๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
จุดอ่อนของ “คนหน้าเหลี่ยม” อยู่ที่ เขาเห็นแก่ได้ คิดแต่ประโยชน์เข้าตัวชนิดไม่รู้จักพอ เขาอยากรวยที่สุดในประเทศไทยและในโลก เขาอยากมีอำนาจและเป็นเผด็จการตามนิสัยที่ชอบผูกขาดทางธุรกิจอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน
“คนหน้าเหลี่ยม” ไม่คำนึงว่า..การได้ประโยชน์เข้าตัวของเขานั้น จะไปทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองและประชาชนสักปานใด? เขาไม่เคยแยแสสนใจแม้แต่น้อย นั่นคือ ความคิดในสมองของทุนนิยมผูกขาดสามานย์ของ “คนหน้าเหลี่ยม” ครับ
ที่ส่งผลร้ายต่อชาติบ้านเมืองในวงกว้างก็คือ สัตว์การเมืองทุนนิยมสามานย์หน้าเหลี่ยมคนนี้ดันมีอำนาจล้นฟ้าครองบ้านครองเมือง มันใช้สมุนชั่วร้ายที่เสพเงินเป็นภักษาหาร ทำการรุกรบทุกวิธีการทั้งลับและเปิดเผย
เป้าหมายมุ่งสู่การทำร้ายทำลายสถาบันหลักของชาติ โดยเฉพาะแนวรบทางวิชาการ เว็บไซต์ แผ่นปลิวและสิ่งพิมพ์อีกสารพัดรูปแบบอย่างต่อเนื่อง แนวรบนี้ถูกปล่อยให้โจมตีสถาบันหลักข้างเดียวดังที่ผ่านมา จนบ่อนเซาะฐานรากของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้อ่อนแอและอาจทลายล้มครืนลงได้ในอนาคตอันใกล้นี้..
ดังนั้นการสู้รบทางการเมืองของพันธมิตรฯ บนถนนราชดำเนินของประชาชนเรือนแสนในขณะนี้ จึงเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะถือได้ว่าพันธมิตรฯ ได้เปิดโรงเรียนทางการเมืองขนาดใหญ่ให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ถึงข้อมูลข่าวสาร
อีกทั้งยังเป็นการปรามและเป็นการต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมต่อความคิดและปฏิบัติการของบรรดาบุคคลที่กำลังบ่อนทำลายระบอบปกครองที่แตกต่าง และไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยนั่นเอง
น่าเสียดายที่สัตว์การเมือง “หน้าเหลี่ยม” ซึ่งร่ำรวยล้นฟ้า แทนที่จะทำความดีเพื่อตนเองและวงศ์ตระกูล ด้วยการทำคุณงามความดีเพื่อแผ่นดิน ทว่า..การณ์กลับกลายเป็นสัตว์การเมืองที่ชั่วร้าย เลือดเย็นต่อการทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองอย่างเหลือเชื่อ!
นั่นทำให้ “คนหน้าเหลี่ยม” เป็นได้เพียงแค่สัตว์การเมืองตัวหนึ่งในโลกใบนี้เท่านั้น!!
เฮ้อ..ไม่น่าเชื่อว่า..บ้านเมืองและสถาบันหลักของชาติ อีกทั้งผู้คนทั้งประเทศต้องมาเดือดร้อนปั่นป่วนไปหมด เพียงเพราะมีเจ้าสัตว์ร้ายทางการเมือง “หน้าเหลี่ยม” ตัวเดียว ในประเทศไทยหรือในโลกใบนี้ครับ!!!
แต่ทุกคนทราบดีว่า มนุษย์ต่างกับสัตว์ตรงที่สมองรู้จักคิด รู้จักค้นคว้าพัฒนา จนมนุษย์กลายเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าสัตว์ชนิดอื่น
พูดตรงๆ มนุษย์ต้องรู้จักคิด-รู้จักสร้างสรรค์-รู้จักผิดชอบชั่วดีมากกว่าสัตว์ครับ
ในทางรัฐศาสตร์ ถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์การเมือง
สัตว์การเมืองที่รู้จักคิด รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักเห็นแก่ชาติบ้านเมืองและส่วนรวม นั่นจึงเป็นสัตว์การเมืองที่ดี..หรือเป็นมนุษย์ที่ดีครับ
กลับกัน..หากสัตว์การเมืองคนไหนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เอาแต่ได้เฉพาะตนและพวกพ้องไม่กี่คน ต้องถือเป็นสัตว์การเมืองชั่วช้าที่สุดของสังคมครับ
สัตว์การเมืองบ้านเรา เมื่อก่อนหากินกันแบบไม่ซับซ้อน ออกแนวโลว์เทค คือ คอร์รัปชันรับประทานอิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก ฯลฯ ในโครงการก่อสร้างของรัฐสารพัดเป็นหลัก
แต่ก็ต้องถือว่า..สวาปามกินกันแบบผิดมนุษย์มนาครับ!
สัตว์การเมืองยุค “คนหน้าเหลี่ยม” นั้น เขาพัฒนาการบริโภคแบบยุคโลกาภิวัตน์ นั่นคือ รับประทานได้แยบยลและมโหฬารมากขึ้น กินทั้งโครงการไฮเทคด้วยเทคโนโลยีทันสมัย จนถึงโครงการโลว์เทคทั้งอิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก ฯลฯ ในโครงการก่อสร้างทั่วไปเหมือนเดิม
เรียกว่าการคอร์รัปชันของสัตว์การเมือง ในยุคอัศวินคลื่นลูกที่สามแบบ “คนหน้าเหลี่ยม” เนี่ย กินแบบถี่ยิบไปหมดทุกเรื่อง กินตะกละตะกลามผิดมนุษย์มนาแล้ว ยังกินคำโตๆ ชนิดไม่กลัวท้องแตกตายเลย..เฮ้อ..
ยุค “คนหน้าเหลี่ยม” ครองเมือง จึงเกิดการคอร์รัปชันเชิงนโยบายในบิ๊กโปรเจกต์สารพัด อย่างโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมินั้น กินกันตั้งแต่โครงสร้างถมดินถมทราย เหล็ก ผ้าใบ กระจก เก้าอี้ รถเข็น อ้อ..กินอึ..เอ๊ย..การสร้างห้องส้วมที่แสนห่วยไงล่ะครับ
นั่นยังไม่รวมผลประโยชน์จากระบบการบริการและการบริหารสนามบิน ที่มีทั้งบนดินบนอากาศอีกสารพัด ..เรียกว่า ทุกตารางนิ้วของสนามบินสุวรรณภูมินั้น เงิน-เงิน-เงินใต้โต๊ะสะพัดไหลสู่กระเป๋านักการเมืองจนตุงกันเป็นแถว
นั่นทำให้แทนที่จะได้สนามบินระดับนานาชาติ ที่สวยงามเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยต่อชาวโลก กลับได้สนามบินสุวรรณภูมิที่ห่วยแตก และฉาวโฉ่ขายหน้าชาวโลกแทนไงล่ะครับ
ต้องถือว่าสัตว์การเมืองบ้านเรานั้นเลวชาติทั้งคู่ แต่สัตว์การเมืองยุคก่อน..ยังต้องถือว่าเลวทรามน้อยกว่า สัตว์การเมืองแบบหน้าเหลี่ยมชนิดเปรียบเทียบมิได้เลย เพราะสัตว์การเมืองยุคก่อนยังไม่กล้าใช้เงินและกลโกง มาสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จยึดบ้านเมืองอย่างทุกวันนี้
คนหน้าเหลี่ยม-อัศวินคลื่นลูกที่สามนี่เหลือร้าย ร้าย..จนถูกขนานนามว่าเป็นทุนนิยมผูกขาดสามานย์ ที่คิดแต่กำไร-กำไรและกำไรสูงสุดสถานเดียว โดยไม่ใส่ใจว่าการคอร์รัปชัน เช่น การมุบมิบเอาหุ้นปตท.มาแอบขายให้นักการเมืองและพวกพ้องอย่างน่าเกลียด ทำให้บริษัทน้ำมันของรัฐกลายเป็นของเอกชนไปกว่า 40%
ทำให้ประชาชนต้องแบกรับปัญหาน้ำมันขึ้นราคาอย่างบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อทำกำไรให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นนับแสนๆ ล้านบาท โดยไม่แยแสต่อผู้คนทั้งประเทศ ที่ต้องเผชิญความเดือดร้อนจนเลือดตาแทบกระเด็น
นี่เป็นหนึ่งในรูปธรรม..ที่ถือเป็นมหกรรมการหากินหาเงินบนความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางความทุกข์เข็ญของประชาชนคนไทยอย่างน่าขยะแขยงที่สุด
ต้องยอมรับว่า..เป็นเรื่องน่ากลัวมาก เมื่อนายทุนนิยมสามานย์ได้ผสมพันธุ์กับนักการเมืองชั่ว จึงได้สัตว์การเมืองสายพันธุ์พิเศษ ที่เรียกว่า..นักการเมืองทุนนิยมสามานย์!
ทุนนิยมสามานย์ “คนหน้าเหลี่ยม” จึงเป็นสัตว์การเมืองอันตรายมาก ชนิดที่สัตว์หน้าไหนก็ยากจะมาเทียบชั้นได้ และหากใครคิดจะมาปราบสัตว์ร้ายทางการเมืองตัวนี้ ยิ่งยากใหญ่..ยากอย่างเหลือเชื่อ..ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา..จริงมั้ย..พันธมิตรฯ ทั้งหลาย?
แต่อย่าห่วง..บรรดาพันธมิตรฯ และประชาชนที่กำลังต่อสู้กับสัตว์การเมืองแบบ“คนหน้าเหลี่ยม” พวกคุณชนะแน่..ชนะในอีกไม่นานนี้แหละ เพราะสัตว์การเมืองสไตล์ “คนหน้าเหลี่ยม” นั้น โลภมากเกินเหตุ โลภมากแบบสุดๆ...ที่สำคัญมีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงทางการเมือง อ้อ..แถมบ้าอำนาจไม่ต่างไปจาก “ไฮ้-ฮิตเลอร์” ทีเดียวเชียวแหละ
หาก “คนหน้าเหลี่ยม” จำกัดบทบาทตนเป็นแค่นายทุนผูกขาดสามานย์ และวางตนหลบอยู่เบื้องหลังทางการเมือง “คนหน้าเหลี่ยม” ก็อาจจะอยู่รอดปลอดภัยไปชั่วชีวิต แต่เพราะจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงและคิดว่ามีเงินร่ำรวยล้นฟ้า ผนวกกับเชื่ออีกว่า..เงินเท่านั้นที่ซื้อทุกอย่างในโลกนี้ได้
ด้วยความที่ “คนหน้าเหลี่ยม” ขยายพันธุ์จากพ่อค้าไปสมสู่กับนักการเมือง ดังนั้นทุกอย่างของแผนและภาคปฏิบัติ เขาจะขยายผลประโยชน์ออกเป็นสองส่วน
ส่วนที่หนึ่ง-ยังคงต้องได้ประโยชน์เข้าตนแบบพ่อค้าหน้าเลือดเหมือนเดิม
ส่วนที่สอง-เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อได้ประโยชน์จากคะแนนเสียงทางการเมืองด้วย
“คนหน้าเหลี่ยม”-สัตว์การเมืองที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์ จึงใช้นโยบายประชานิยมไปทั่วทุกหัวระแหง เพื่อเอาใจพวกรากหญ้าในชนบท ส่วนในเมืองก็ใช้นโยบายเอสเอ็มอี พวกชนชั้นกลางในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ใช้กลยุทธ์เพิ่มมูลค่าด้วยการปั่นหุ้นสารพัด เพื่อทำให้การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โตขึ้น
แต่กับสถาบันหลักของชาติ “คนหน้าเหลี่ยม” ไม่ให้คุณค่าราคาเท่าที่ควร แถมถูกลดความสำคัญลง ถูกละเลยดูแคลน กระทั่งบางคราบางเรื่องยังถูกหยามเหยียดจากคำพูดและการกระทำของ “คนหน้าเหลี่ยม” อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม..ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน “คนหน้าเหลี่ยม” ใช้ทั้งเวลาและผลงานเป็นบทพิสูจน์จนครบถ้วนแล้วว่า เขาเป็นได้แค่สัตว์การเมืองเลวๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
จุดอ่อนของ “คนหน้าเหลี่ยม” อยู่ที่ เขาเห็นแก่ได้ คิดแต่ประโยชน์เข้าตัวชนิดไม่รู้จักพอ เขาอยากรวยที่สุดในประเทศไทยและในโลก เขาอยากมีอำนาจและเป็นเผด็จการตามนิสัยที่ชอบผูกขาดทางธุรกิจอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน
“คนหน้าเหลี่ยม” ไม่คำนึงว่า..การได้ประโยชน์เข้าตัวของเขานั้น จะไปทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองและประชาชนสักปานใด? เขาไม่เคยแยแสสนใจแม้แต่น้อย นั่นคือ ความคิดในสมองของทุนนิยมผูกขาดสามานย์ของ “คนหน้าเหลี่ยม” ครับ
ที่ส่งผลร้ายต่อชาติบ้านเมืองในวงกว้างก็คือ สัตว์การเมืองทุนนิยมสามานย์หน้าเหลี่ยมคนนี้ดันมีอำนาจล้นฟ้าครองบ้านครองเมือง มันใช้สมุนชั่วร้ายที่เสพเงินเป็นภักษาหาร ทำการรุกรบทุกวิธีการทั้งลับและเปิดเผย
เป้าหมายมุ่งสู่การทำร้ายทำลายสถาบันหลักของชาติ โดยเฉพาะแนวรบทางวิชาการ เว็บไซต์ แผ่นปลิวและสิ่งพิมพ์อีกสารพัดรูปแบบอย่างต่อเนื่อง แนวรบนี้ถูกปล่อยให้โจมตีสถาบันหลักข้างเดียวดังที่ผ่านมา จนบ่อนเซาะฐานรากของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้อ่อนแอและอาจทลายล้มครืนลงได้ในอนาคตอันใกล้นี้..
ดังนั้นการสู้รบทางการเมืองของพันธมิตรฯ บนถนนราชดำเนินของประชาชนเรือนแสนในขณะนี้ จึงเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะถือได้ว่าพันธมิตรฯ ได้เปิดโรงเรียนทางการเมืองขนาดใหญ่ให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ถึงข้อมูลข่าวสาร
อีกทั้งยังเป็นการปรามและเป็นการต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมต่อความคิดและปฏิบัติการของบรรดาบุคคลที่กำลังบ่อนทำลายระบอบปกครองที่แตกต่าง และไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยนั่นเอง
น่าเสียดายที่สัตว์การเมือง “หน้าเหลี่ยม” ซึ่งร่ำรวยล้นฟ้า แทนที่จะทำความดีเพื่อตนเองและวงศ์ตระกูล ด้วยการทำคุณงามความดีเพื่อแผ่นดิน ทว่า..การณ์กลับกลายเป็นสัตว์การเมืองที่ชั่วร้าย เลือดเย็นต่อการทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองอย่างเหลือเชื่อ!
นั่นทำให้ “คนหน้าเหลี่ยม” เป็นได้เพียงแค่สัตว์การเมืองตัวหนึ่งในโลกใบนี้เท่านั้น!!
เฮ้อ..ไม่น่าเชื่อว่า..บ้านเมืองและสถาบันหลักของชาติ อีกทั้งผู้คนทั้งประเทศต้องมาเดือดร้อนปั่นป่วนไปหมด เพียงเพราะมีเจ้าสัตว์ร้ายทางการเมือง “หน้าเหลี่ยม” ตัวเดียว ในประเทศไทยหรือในโลกใบนี้ครับ!!!