รอยเตอร์/เอเอฟพี – ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงมากว่า 4 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี(28) ทั้งๆ ที่ข้อมูลรัฐบาลสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำมันตามคลังเก็บทั่วประเทศประจำสัปดาห์ล่าสุด ตกฮวบรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2004 โดยพวกนักวิเคราะห์และเทรดเดอร์อ้างปัจจัยเรื่องความกังวลที่ประเทศต่างๆ กำลังมีความต้องการใช้น้ำมันน้อยลง, ค่าเงินดอลลาร์ซึ่งแข็งขึ้น, รวมทั้งพวกกองทุนเก็งกำไรพากันเทขาย
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ ปิดวันพฤหัสบดี โดยไหลลง 4.41 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 126.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ของลอนดอน ก็ดำดิ่ง 4.04 ดอลลาร์ มายืนที่ 126.89 ดอลลาร์
ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนเช้าวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงพลังงานเผยแพร่รายงานซึ่งแสดงว่า น้ำมันดิบตามคลังเก็บของสหรัฐฯ ตกลงมา 8.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการหล่นวูบหนักที่สุดนับแต่ที่พายุเฮอร์ริเคนทำให้ฐานขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลตอนพากันปิดดำเนินงานในเดือนกันยายน 2004
แต่แล้วราคาก็กลับไหลรูดลงมา เนื่องจากมีข่าวคราวมากมายแสดงให้เห็นว่าทั้งสหรัฐฯ, อียู, และชาติเอเชีย ต่างกำลังสู้ราคาน้ำมันขึ้นลิ่วๆ ไม่ไหว จนต้องออกมาตรฐานใหม่ๆ ที่จะทำให้ความต้องการใช้ลดต่ำลง ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ก็ขยับแข็งขึ้น ภายหลังกระทรวงพาณิชย์อเมริกันแจ้งรายงานจีดีพีของไตรมาสแรกปีนี้ฉบับปรับปรุงแก้ไข โดยได้ปรับอัตราเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกันเพิ่มขึ้นจาก 0.6% เป็น 0.9%
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันทรุด ก็คือข่าวที่ว่าคณะกรรมการการซื้อขายอนุพันธ์ฟิวเจอร์สด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐฯ (CFTC) บอกว่าจะเพิ่มการตรวจตราเฝ้าระวังการซื้อขายพลังงาน, การติดตามความเคลื่อนไหวของพวกกองทุนดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์, และจะขอข้อมูลจากทางอังกฤษ เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายน้ำมันที่อิงกับน้ำมันดิบของสหรัฐฯแต่ไปซื้อขายอยู่ในตลาดที่แดนผู้ดี
พวกสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯได้กระทุ้ง CFTC มาแรมเดือนแล้วให้ปรับปรุงมาตรการติดตาม และปราบปรามพวกนักเก็งกำไร ซึ่งสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้มองว่า เป็นตัวการดันราคาพลังงานให้พุ่งทะยานทำนิวไฮ
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ ปิดวันพฤหัสบดี โดยไหลลง 4.41 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 126.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ของลอนดอน ก็ดำดิ่ง 4.04 ดอลลาร์ มายืนที่ 126.89 ดอลลาร์
ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนเช้าวันพฤหัสบดี หลังจากกระทรวงพลังงานเผยแพร่รายงานซึ่งแสดงว่า น้ำมันดิบตามคลังเก็บของสหรัฐฯ ตกลงมา 8.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการหล่นวูบหนักที่สุดนับแต่ที่พายุเฮอร์ริเคนทำให้ฐานขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลตอนพากันปิดดำเนินงานในเดือนกันยายน 2004
แต่แล้วราคาก็กลับไหลรูดลงมา เนื่องจากมีข่าวคราวมากมายแสดงให้เห็นว่าทั้งสหรัฐฯ, อียู, และชาติเอเชีย ต่างกำลังสู้ราคาน้ำมันขึ้นลิ่วๆ ไม่ไหว จนต้องออกมาตรฐานใหม่ๆ ที่จะทำให้ความต้องการใช้ลดต่ำลง ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ก็ขยับแข็งขึ้น ภายหลังกระทรวงพาณิชย์อเมริกันแจ้งรายงานจีดีพีของไตรมาสแรกปีนี้ฉบับปรับปรุงแก้ไข โดยได้ปรับอัตราเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกันเพิ่มขึ้นจาก 0.6% เป็น 0.9%
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันทรุด ก็คือข่าวที่ว่าคณะกรรมการการซื้อขายอนุพันธ์ฟิวเจอร์สด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐฯ (CFTC) บอกว่าจะเพิ่มการตรวจตราเฝ้าระวังการซื้อขายพลังงาน, การติดตามความเคลื่อนไหวของพวกกองทุนดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์, และจะขอข้อมูลจากทางอังกฤษ เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายน้ำมันที่อิงกับน้ำมันดิบของสหรัฐฯแต่ไปซื้อขายอยู่ในตลาดที่แดนผู้ดี
พวกสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯได้กระทุ้ง CFTC มาแรมเดือนแล้วให้ปรับปรุงมาตรการติดตาม และปราบปรามพวกนักเก็งกำไร ซึ่งสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้มองว่า เป็นตัวการดันราคาพลังงานให้พุ่งทะยานทำนิวไฮ