รอยเตอร์ – บารัค โอบามา ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต เมื่อวันอาทิตย์ (22) เสนอมาตรการใหม่เพื่อปราบปรามการเก็งกำไรในตลาดน้ำมัน โดยบอกว่าแผนการดังกล่าวจะช่วยหยุดยั้งราคาพลังงานที่พุ่งลิ่วได้
ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นสูงเกินกว่าแกลลอนละ 4 ดอลลาร์แล้ว สร้างความโกรธเกรี้ยวให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และกลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดในการหาเสียงชิงชัยกันระหว่างโอบามากับจอห์น แมคเคน คู่แข่งจากรีพับลิกัน ผู้เสนอวิธีการแก้ปัญหาโดยเพิ่มปริมาณน้ำมัน ด้วยการลดข้อจำกัดด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม และอนุญาตให้มีการสำรวจแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่งสหรัฐฯ ให้มากขึ้น
“ผมว่าทุกคนเชื่อว่ามีการเก็งกำไรมากเกินไปแล้วในตลาดน้ำมัน” จอน คอร์ซิเน ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นอดีตประธานและซีอีโอของโกลด์แมนแซคส์ และเป็นพันธมิตรกับโอบามา เป็นผู้แถลงข้อเสนอดังกล่าว “ผมคิดว่า ราคาน้ำมันสูงเกินไป จนทุกคนเห็นแล้วว่าพวกนักเก็งกำไรปั่นราคาและมีการกีดกันไม่ให้น้ำมันออกสู่ตลาดด้วย”
คอร์ซิเนกล่าวว่าแผนการของโอบามานั้นมุ่งที่จะปิดช่องโหว่ที่เรียกกันว่า “ช่องโหว่เอ็นรอน” ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปิดทางให้นักเก็งกำไรซื้อขายสัญญาอนุพันธ์ด้านพลังงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยที่ไม่ถูกตรวจสอบจากทางการสหรัฐฯ ชื่อของช่องโหว่นี้ก็มาจากบริษัทด้านพลังงานชั้นนำของสหรัฐฯ ที่เคยได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้เช่นกัน ทว่าปัจจุบันกิจการเอ็นรอนได้ล้มละลายไปแล้ว
ทั้งนี้ โอบามาจะกำหนดให้การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ฟิวเจอร์สด้านพลังงาน ต้องกระทำผ่านตลาดที่มีการจัดระเบียบเท่านั้น และเขายังจะสนับสนุนการออกกฎหมายเพื่อกำหนดให้คณะกรรมการการซื้อขายอนุพันธ์ฟิวเจอร์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์(ซีเอฟทีซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับตรวจสอบสูงสุดในด้านอนุพันธ์ฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ พิจารณาข้อเสนอแนะต่าง ๆ เช่นการเพิ่มส่วนที่นักลงทุนต้องจ่ายในเวลาซื้อขาย(มาร์จิน)ในตลาดอนุพันธ์ฟิวเจอร์ส อีกทั้งโอบามาจะเรียกร้องให้มีความโปร่งใสมากขึ้นและมีการตรวจสอบพวกนักลงทุนประเภทสถาบันในตลาดโภคภัณฑ์ด้วย
ทีมหาเสียงของโอบามายังกล่าวหาฟิล แกรมม์ อดีตวุฒิสมาชิกรัฐเทกซัสซึ่งเวลาเป็นประธานร่วมคนหนึ่งของทีมหาเสียงของแมคเคน ว่าเป็นผู้ทำให้เกิดช่องโหว่ในการซื้อขายน้ำมันตาม “คำบัญชาของเอ็นรอน”
ช่องโหว่ดังกล่าวจึงเป็น “ตัวอย่างหนึ่งของการเมืองแบบเอาอกเอาใจกลุ่มผลประโยชน์พิเศษ เช่น บริษัทน้ำมันใหญ่ และเหล่านักเก็งกำไร มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน”
ทว่า ทีมหาเสียงของแมคเคนได้ตอบโต้ปฏิเสธทันควันว่า แมคเคนไม่ได้เกี่ยวโยงกับเอ็นรอน แถมแมคเคนยังมีความคิดเห็นสวนทางพวกรีพับลิกันส่วนใหญ่ โดยหาทางที่จะปิดช่องโหว่ดังกล่าวด้วยซ้ำ
“ที่จริงแล้วบารัค โอบามา กำลังเป็นฝ่ายตามหลังจอห์น แมคเคน ในเรื่องการหาทางปิดช่องโหว่ในวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นกฎหมายที่ลงนามในสมัยของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน” ทัคเกอร์ บาวด์ โฆษกของแมคเคนบอก
นับตั้งแต่โอบามากลายเป็นว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต เขาเน้นหาเสียงอย่างหนักในเรื่องเศรษฐกิจ ขณะที่แมคเคนกลับเน้นที่นโยบายต่างประเทศมากกว่า
พวกสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ กำลังหาหนทางที่จะจำกัดการเก็งกำไรในตลาดน้ำมันดิบล่วงหน้า ซึ่งรวมทั้งการออกกฎควบคุมการซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศด้วย
ส่วนซ๊เอฟทีซีก็ให้สัญญาที่จะเพิ่มการตรวจสอบการซื้อขายพลังงานโดยกองทุนดัชนีน้ำมันรวมทั้งจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในอังกฤษด้วย
อย่างไรก็ตาม มาเรีย คานต์เวล วุฒิสมาชิกรัฐวอชิงตันจากพรรคเดโมแครต เห็นว่าซีเอฟทีซีนั้นเป็นเพียง “เสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ” และว่าทางที่ดีรัฐสภาต้องเร่งออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาในกรณีที่ซีเอฟซีทีนั้นไม่สามารถดำเนินการได้อย่างหนักแน่นเพียงพอ
ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นสูงเกินกว่าแกลลอนละ 4 ดอลลาร์แล้ว สร้างความโกรธเกรี้ยวให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และกลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดในการหาเสียงชิงชัยกันระหว่างโอบามากับจอห์น แมคเคน คู่แข่งจากรีพับลิกัน ผู้เสนอวิธีการแก้ปัญหาโดยเพิ่มปริมาณน้ำมัน ด้วยการลดข้อจำกัดด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม และอนุญาตให้มีการสำรวจแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่งสหรัฐฯ ให้มากขึ้น
“ผมว่าทุกคนเชื่อว่ามีการเก็งกำไรมากเกินไปแล้วในตลาดน้ำมัน” จอน คอร์ซิเน ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นอดีตประธานและซีอีโอของโกลด์แมนแซคส์ และเป็นพันธมิตรกับโอบามา เป็นผู้แถลงข้อเสนอดังกล่าว “ผมคิดว่า ราคาน้ำมันสูงเกินไป จนทุกคนเห็นแล้วว่าพวกนักเก็งกำไรปั่นราคาและมีการกีดกันไม่ให้น้ำมันออกสู่ตลาดด้วย”
คอร์ซิเนกล่าวว่าแผนการของโอบามานั้นมุ่งที่จะปิดช่องโหว่ที่เรียกกันว่า “ช่องโหว่เอ็นรอน” ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปิดทางให้นักเก็งกำไรซื้อขายสัญญาอนุพันธ์ด้านพลังงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยที่ไม่ถูกตรวจสอบจากทางการสหรัฐฯ ชื่อของช่องโหว่นี้ก็มาจากบริษัทด้านพลังงานชั้นนำของสหรัฐฯ ที่เคยได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้เช่นกัน ทว่าปัจจุบันกิจการเอ็นรอนได้ล้มละลายไปแล้ว
ทั้งนี้ โอบามาจะกำหนดให้การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ฟิวเจอร์สด้านพลังงาน ต้องกระทำผ่านตลาดที่มีการจัดระเบียบเท่านั้น และเขายังจะสนับสนุนการออกกฎหมายเพื่อกำหนดให้คณะกรรมการการซื้อขายอนุพันธ์ฟิวเจอร์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์(ซีเอฟทีซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับตรวจสอบสูงสุดในด้านอนุพันธ์ฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ พิจารณาข้อเสนอแนะต่าง ๆ เช่นการเพิ่มส่วนที่นักลงทุนต้องจ่ายในเวลาซื้อขาย(มาร์จิน)ในตลาดอนุพันธ์ฟิวเจอร์ส อีกทั้งโอบามาจะเรียกร้องให้มีความโปร่งใสมากขึ้นและมีการตรวจสอบพวกนักลงทุนประเภทสถาบันในตลาดโภคภัณฑ์ด้วย
ทีมหาเสียงของโอบามายังกล่าวหาฟิล แกรมม์ อดีตวุฒิสมาชิกรัฐเทกซัสซึ่งเวลาเป็นประธานร่วมคนหนึ่งของทีมหาเสียงของแมคเคน ว่าเป็นผู้ทำให้เกิดช่องโหว่ในการซื้อขายน้ำมันตาม “คำบัญชาของเอ็นรอน”
ช่องโหว่ดังกล่าวจึงเป็น “ตัวอย่างหนึ่งของการเมืองแบบเอาอกเอาใจกลุ่มผลประโยชน์พิเศษ เช่น บริษัทน้ำมันใหญ่ และเหล่านักเก็งกำไร มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน”
ทว่า ทีมหาเสียงของแมคเคนได้ตอบโต้ปฏิเสธทันควันว่า แมคเคนไม่ได้เกี่ยวโยงกับเอ็นรอน แถมแมคเคนยังมีความคิดเห็นสวนทางพวกรีพับลิกันส่วนใหญ่ โดยหาทางที่จะปิดช่องโหว่ดังกล่าวด้วยซ้ำ
“ที่จริงแล้วบารัค โอบามา กำลังเป็นฝ่ายตามหลังจอห์น แมคเคน ในเรื่องการหาทางปิดช่องโหว่ในวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นกฎหมายที่ลงนามในสมัยของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน” ทัคเกอร์ บาวด์ โฆษกของแมคเคนบอก
นับตั้งแต่โอบามากลายเป็นว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต เขาเน้นหาเสียงอย่างหนักในเรื่องเศรษฐกิจ ขณะที่แมคเคนกลับเน้นที่นโยบายต่างประเทศมากกว่า
พวกสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ กำลังหาหนทางที่จะจำกัดการเก็งกำไรในตลาดน้ำมันดิบล่วงหน้า ซึ่งรวมทั้งการออกกฎควบคุมการซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศด้วย
ส่วนซ๊เอฟทีซีก็ให้สัญญาที่จะเพิ่มการตรวจสอบการซื้อขายพลังงานโดยกองทุนดัชนีน้ำมันรวมทั้งจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในอังกฤษด้วย
อย่างไรก็ตาม มาเรีย คานต์เวล วุฒิสมาชิกรัฐวอชิงตันจากพรรคเดโมแครต เห็นว่าซีเอฟทีซีนั้นเป็นเพียง “เสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ” และว่าทางที่ดีรัฐสภาต้องเร่งออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาในกรณีที่ซีเอฟซีทีนั้นไม่สามารถดำเนินการได้อย่างหนักแน่นเพียงพอ