ผู้จัดการรายวัน - ผู้บริหารบางจากฯ ยอมรับค่าการกลั่นครึ่งปีหลังรูดต่ำกว่า 5 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังราคาน้ำมันโลกทรงตัว-ลด พร้อมมั่นใจ EBITDA ปีนี้ขยับเพิ่มขึ้นอีก 15% จาก 2.3 พันล้านบาท เหตุเพิ่มกำลังการกลั่นเป็นไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นบาร์เรล/วัน ระบุปลายมิ.ย.นี้ เตรียมเดินทางโรดโชว์ข้อมูลให้สถาบันต่างประเทศ
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มค่าการกลั่นในช่วงครึ่งหลังของปี 51 จะต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากคาดการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะทรงตัว หรือมีโอกาสปรับลดลงได้
ทั้งนี้ บางจากฯ คาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยในช่วงไตรมาส 2 นี้จะเป็นช่วงที่ราคาปรับขึ้นไปสูงสุด หลังจากนั้นประมาณกลางไตรมาส 3 และไตรมาส 4 แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกจะปรับตัวลดลง จากความต้องการของตลาดเอเชียโดยเฉพาะจีนและอินเดียลดลง
นายปฏิภาณ กล่าวว่า ขณะนี้ค่าการตลาดโดยเฉลี่ยติดลบ 1 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลติดลบมากกว่า 1 บาท/ลิตร โดยขณะนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้นไปถึงระดับ 123 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าไตรมาสก่อนอยู่ที่ 91 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้นหากราคาน้ำมันดิบปรับสูงอีกรอบ บริษัทมีโอกาสจะปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อีกครั้งในเร็วๆ นี้
สำหรับด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/51 นั้น นายปฏิภาณ กล่าวว่า บางจากฯ คาดว่ากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากไตรมาส 1/51 ที่มี EBITDA อยู่ที่ 1.56 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นบาร์เรล/วัน จากกว่า 6 หมื่นบาร์เรล/วันในไตรมาสแรกที่มีการปิดซ่อมบำรุงประมาณ 40 วัน ขณะเดียวกัน บริษัทยังคาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐาน ในไตรมาส 2/51 ไม่น่าจะต่ำกว่าไตรมาส 1/51 ที่อยู่ในระดับ 5.15 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
"แม้ว่า EBITDA ส่วนการตลาดในไตรมาส 2/51 มีแนวโน้มติดลบ จากราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนมาก เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่นสูงขึ้นและมีสัดส่วนใน EBITDA ถึง 92% ขณะที่ส่วนการตลาดมีสัดส่วนใน EBITDA เพียง 8% คงจะไม่ฉุด EBITDA โดยรวมในไตรมาส 2/51"
อย่างไรก็ตาม ในปี 51 นี้ บริษัทยังคาดว่า EBITDA จะเติบโตขึ้นประมาณ 15% จาก 2.3 พันล้านบาท (ไม่รวม Stock gain) และคาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐานจะไม่ต่ำกว่า 3.8 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่า 3.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 50 เนื่องจากในปีนี้จะมีส่วนต่างน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปค่อนข้างสูง และกำลังการกลั่นจะสูงกว่า 7 หมื่นบาร์เรล/วัน จาก 6.6 หมื่นบาร์เรล/วันในปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทสามารถส่งออกน้ำมันเตาได้ราคาดีกว่าปีก่อน โดยปริมาณส่งออกเดือนละ 150 ล้านลิตร ไปยังตลาดจีนและญี่ปุ่น ในส่วนของจีนบริษัทได้ทำสัญญาขายในราคาคงที่ไว้ 70% ส่วนอีก 30% ขายในราคาตลาด (spot) ซึ่งมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นด้วย
ส่วนแนวโน้มในปี 52 บางจากฯ คาดว่าจะมี EBITDA โตเป็นเท่าตัวจากปีนี้มาอยู่ที่ประมาณ 8 พันล้านบาท หลังจากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน(PQI) แล้วเสร็จ ซึ่งจะเริ่มได้ในไตรมาส 4/51 โดยโครงการนี้จะลดปริมาณการกลั่นน้ำมันเตาเหลือ 9% จาก 31% ในปัจจุบัน
นายปฏิภาณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนมิ.ย.นี้ บริษัทมีแผนจะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทตั้งเป้าจะเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศปีละ 3 ครั้ง เพื่อให้ข้อมูลนักลงทุนต่างประเทศ โดยปัจจุบันนักลงทุนสถาบันต่างประเทศถือหุ้น BCP กว่า 30% สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการรักษาสัดส่วนให้นักลงทุนสถาบันถือหุ้นในสัดส่วน 30-40%
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มค่าการกลั่นในช่วงครึ่งหลังของปี 51 จะต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากคาดการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะทรงตัว หรือมีโอกาสปรับลดลงได้
ทั้งนี้ บางจากฯ คาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยในช่วงไตรมาส 2 นี้จะเป็นช่วงที่ราคาปรับขึ้นไปสูงสุด หลังจากนั้นประมาณกลางไตรมาส 3 และไตรมาส 4 แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกจะปรับตัวลดลง จากความต้องการของตลาดเอเชียโดยเฉพาะจีนและอินเดียลดลง
นายปฏิภาณ กล่าวว่า ขณะนี้ค่าการตลาดโดยเฉลี่ยติดลบ 1 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลติดลบมากกว่า 1 บาท/ลิตร โดยขณะนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้นไปถึงระดับ 123 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าไตรมาสก่อนอยู่ที่ 91 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้นหากราคาน้ำมันดิบปรับสูงอีกรอบ บริษัทมีโอกาสจะปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อีกครั้งในเร็วๆ นี้
สำหรับด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/51 นั้น นายปฏิภาณ กล่าวว่า บางจากฯ คาดว่ากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากไตรมาส 1/51 ที่มี EBITDA อยู่ที่ 1.56 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นบาร์เรล/วัน จากกว่า 6 หมื่นบาร์เรล/วันในไตรมาสแรกที่มีการปิดซ่อมบำรุงประมาณ 40 วัน ขณะเดียวกัน บริษัทยังคาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐาน ในไตรมาส 2/51 ไม่น่าจะต่ำกว่าไตรมาส 1/51 ที่อยู่ในระดับ 5.15 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
"แม้ว่า EBITDA ส่วนการตลาดในไตรมาส 2/51 มีแนวโน้มติดลบ จากราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนมาก เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่นสูงขึ้นและมีสัดส่วนใน EBITDA ถึง 92% ขณะที่ส่วนการตลาดมีสัดส่วนใน EBITDA เพียง 8% คงจะไม่ฉุด EBITDA โดยรวมในไตรมาส 2/51"
อย่างไรก็ตาม ในปี 51 นี้ บริษัทยังคาดว่า EBITDA จะเติบโตขึ้นประมาณ 15% จาก 2.3 พันล้านบาท (ไม่รวม Stock gain) และคาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐานจะไม่ต่ำกว่า 3.8 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่า 3.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 50 เนื่องจากในปีนี้จะมีส่วนต่างน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปค่อนข้างสูง และกำลังการกลั่นจะสูงกว่า 7 หมื่นบาร์เรล/วัน จาก 6.6 หมื่นบาร์เรล/วันในปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทสามารถส่งออกน้ำมันเตาได้ราคาดีกว่าปีก่อน โดยปริมาณส่งออกเดือนละ 150 ล้านลิตร ไปยังตลาดจีนและญี่ปุ่น ในส่วนของจีนบริษัทได้ทำสัญญาขายในราคาคงที่ไว้ 70% ส่วนอีก 30% ขายในราคาตลาด (spot) ซึ่งมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นด้วย
ส่วนแนวโน้มในปี 52 บางจากฯ คาดว่าจะมี EBITDA โตเป็นเท่าตัวจากปีนี้มาอยู่ที่ประมาณ 8 พันล้านบาท หลังจากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน(PQI) แล้วเสร็จ ซึ่งจะเริ่มได้ในไตรมาส 4/51 โดยโครงการนี้จะลดปริมาณการกลั่นน้ำมันเตาเหลือ 9% จาก 31% ในปัจจุบัน
นายปฏิภาณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนมิ.ย.นี้ บริษัทมีแผนจะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทตั้งเป้าจะเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศปีละ 3 ครั้ง เพื่อให้ข้อมูลนักลงทุนต่างประเทศ โดยปัจจุบันนักลงทุนสถาบันต่างประเทศถือหุ้น BCP กว่า 30% สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการรักษาสัดส่วนให้นักลงทุนสถาบันถือหุ้นในสัดส่วน 30-40%
