xs
xsm
sm
md
lg

หยุดเถิด...หยุดทำลายพระพุทธศาสนา!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2551 เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เสวยวิสาขะฤกษ์ เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในวันสำคัญของพระพุทธศาสนา คือเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ชาวพุทธจำนวนมากมีคติว่า วันวิสาขะคือวันของพระพุทธ เพราะเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในขณะที่ถือว่าวันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม เพราะเป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ประกาศพระธรรมคำสอนเป็นครั้งแรก และถือว่าวันมาฆบูชาเป็นวันของพระสงฆ์ เพราะเป็นวันที่ชุมนุมพระอริยสงฆ์สาวกครั้งใหญ่ที่สุดในโพธิกาลแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ดังนั้นในวันนี้จึงควรเป็นวันที่ชาวพุทธทั้งปวงจะได้ประพฤติปฏิบัติตนในฐานะชาวพุทธ คือเพ่งเอาการละบาปทั้งปวง การทำความดีให้ถึงพร้อม และการอบรมจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส

เมื่อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้แล้วก็ย่อมได้รับผลหรืออานิสงส์แห่งการประพฤติปฏิบัตินั้น โดยไม่จำแนกแยกแยะว่าเป็นเพศ วัย ฐานะ หรืออาชีพอย่างใด เพราะพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสากลแก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ใครปฏิบัติก็ย่อมได้รับผลเช่นเดียวกัน

วันของพระพุทธหรือวันของพระพุทธเจ้าควรเป็นวันที่ชาวพุทธจะได้น้อมรำลึกถึงอะไรบ้าง? ที่สำคัญเห็นจะมีเรื่องดังต่อไปนี้

เรื่องแรก น้อมรำลึกว่าวันนี้เป็นวันที่พระบรมศาสดาของชาวพุทธได้อุบัติขึ้นในโลก เป็นวันที่พระบรมศาสดาได้ตรัสรู้อนุตตระสัมโพธิญาณ และเป็นวันที่พระบรมศาสดาได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นการพิสูจน์หลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนาคือพระไตรลักษณ์ด้วยว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกพ้นไปได้เลย

เรื่องที่สอง น้อมรำลึกว่าพระบรมศาสดาของชาวพุทธนั้นทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระวิสุทธิคุณต่อเวไนยสัตว์ทั้งปวง ทรงอุทิศพระองค์ตลอดทั้งพระชนมชีพเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก มิได้บำเพ็ญกรณีใดโดยถือเอาผลประโยชน์ของพระองค์เป็นที่ตั้งเลย จึงเป็นแบบอย่างให้กับเวไนยสัตว์ทั้งหลายว่าไม่ควรเป็นผู้เห็นแก่ตัว หากพึงอุทิศตนเพื่อประโยชน์และความสุขของสรรพสัตว์ที่ล้วนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

เรื่องที่สาม น้อมรำลึกว่าพระบรมศาสดาของชาวพุทธนั้นทรงเป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนในทุกทาง คือไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต การเบียดเบียนในทุกกรณีคือการทำลายตนเอง ทั้งปัจจุบันและอนาคต ทั้งเป็นการทำลายญาติโกโหติกาวงศาคณาญาติ สังคม และประเทศชาติให้พินาศไปด้วย สังคมมนุษย์นี้หากไม่เบียดเบียนกันเสียอย่างหนึ่ง โลกมนุษย์ย่อมดีกว่านี้แน่ ความร่มเย็นเป็นสุขย่อมบังเกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่งแน่

เรื่องที่สี่ น้อมรำลึกว่าพระบรมศาสดาของชาวพุทธนั้นทรงมีความบริสุทธิ์ทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยเฉพาะวาจาซึ่งเป็นทางแห่งการสร้างปัญหาและกรณีพิพาท ตลอดจนความเสียหายได้มากหลายนั้น ทรงประพฤติปฏิบัติตลอดพระชนมชีพและทรงตรัสสอนอย่างเดียวกันว่าต้องกล่าวแต่ความจริง ไม่กล่าวความเท็จ กล่าวแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่กล่าวสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ กล่าววาจาถ้อยคำไพเราะ ไม่กล่าวคำหยาบคาย กล่าวสิ่งที่ถูกใจคน ไม่กล่าวสิ่งที่ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ

จึงควรที่ชาวพุทธจะได้ตระหนักว่ากาย วาจา ใจนั้น แม้ใจเป็นประธานและจะใช้กายทำร้ายคนก็มีความจำกัด แต่วาจานั่นสิเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อตนเองและผู้อื่น จึงพึงประพฤติปฏิบัติตามที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอนก็จักยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมได้

เรื่องที่ห้า น้อมรำลึกว่าพระบรมศาสดาของชาวพุทธนั้นทรงตรัสสอนไว้เป็นข้อแรกหรือปฐมมงคลแห่งชีวิตของเวไนยสัตว์ทั้งปวงว่า การไม่คบคนพาลเป็นมงคลสูงสุด ซึ่งหมายความว่าการคบคนพาลเป็นความพินาศฉิบหายสูงสุด

ทรงเปรียบเทียบว่าคนพาลเหมือนถ่านไฟ ยามลุกไหม้อยู่ถ้าจับต้องเข้ามือไม้ก็จะไหม้พอง ยามดับมอดแล้วจับต้องเข้าก็จะเปรอะเปื้อน แม้หากไม่จับต้องแค่อยู่ใกล้ฝุ่นละอองอันสกปรกก็จะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า แม้กระทั่งเข้าหูเข้าตาให้เป็นอันตรายได้

ไม่ว่าคนระดับเพศวัยฐานะอาชีพประการใด หากคบคนพาลแล้วย่อมเป็นที่เกลียดชังของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง ย่อมเป็นผู้ถึงซึ่งความพินาศฉิบหายเป็นที่สุด

เรื่องที่หก
น้อมรำลึกว่าพระบรมศาสดาของชาวพุทธนั้นทรงตรัสสอนตลอดพระชนมชีพให้เวไนยสัตว์ปล่อยปละละวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไรๆ เมื่อใดที่ปล่อยปละละวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงได้แล้วก็เป็นอันหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง เข้าถึงมิติแห่งความหลุดพ้นและพ้นจากความทุกข์สิ้นเชิง

แต่ไฉนเล่าชาวพุทธทั่วไปจึงประพฤติปฏิบัติในทางที่ตรงกันข้าม? คือนอกจากไม่ปล่อยปละละวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ แล้ว กลับยึดถือในทุกสิ่งทุกอย่างแน่นหนามากขึ้นว่าสิ่งนี้เป็นตัวกู เป็นของกู แล้วไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ แสวงหาไม่หยุดไม่หย่อน ประหนึ่งมีความหิวโหยไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ

ชีวิตที่รุ่มร้อนดิ้นรนเร่าๆ กระวนกระวายอยู่ด้วยการแสวงหาเพราะมองไม่เห็นที่สุด ไม่เห็นความหยุด ไม่รู้จักหยุด จึงมีชีวิตเหมือนกับอยู่ในเปรตวิสัย คือต้องกินไม่หยุด หิวไม่หยุด มีความทุกข์ทรมานหาที่สุดมิได้

ทำไมไม่ทำความเข้าใจตนให้เห็นความจริงให้กระจ่างชัด ซึ่งสามารถเห็นได้โดยง่าย หรือถ้านึกไม่ออกบอกไม่ถูกก็ไปยืนอยู่ข้างกองหินสักกองหนึ่ง ถือถังไว้สักใบหนึ่ง แล้วหยิบหินมาใส่ถังทีละก้อน ๆ ก็จะพบความจริงกระจ่างชัดว่ายิ่งหยิบหินมาใส่ถังมากเข้าเท่าใดก็จะรู้สึกหนักมากขึ้นเท่านั้น และในที่สุดก็จะต้องทรุดตัวนั่งหรือล้มลง

ในทางตรงกันข้าม เมื่อใดที่หยิบหินจากถังวางลงได้เท่าใด ความเบาสบายก็จะบังเกิดขึ้นเท่านั้น

เช่นเดียวกัน ยิ่งยึดมั่น ยิ่งแสวงหามาเข้าตัวมากเข้าๆ สัมภาระก็จะมากและหนักเข้าทุกที จนในที่สุดก็จะต้องทรุดลงและล้มคว่ำอย่างไม่เป็นท่า กระทั่งตายไปเลยก็มี

เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมเล่าจึงไม่สละละวาง ทำความรู้จักพอให้บังเกิดขึ้นในใจ ทำความรู้จักหยุดให้บังเกิดขึ้นในจิต แล้วมีความพอในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ มีความพอใจและเป็นสุขในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่

ทำเพียงเท่านี้ตัวเองก็มีความสุข เพราะจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าเออชีวิตเราก็เท่านี้ บัดนี้ถึงเป้าหมายของชีวิตแล้ว บรรลุภารกิจของคนธรรมดาแล้ว ยังมีภารกิจของเวไนยสัตว์คือการสละละความทุกข์ให้ดับสูญ ให้สมกับความเป็นสัตว์ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

ความสุขแบบนี้นอกจากบังเกิดแก่ตนก่อนเพื่อนแล้ว ยังส่งผลส่งอานิสงส์ให้กับคนข้างเคียง ให้กับสังคมที่ใกล้ที่สุดคือครอบครัวของตน ให้กับสังคมที่ไกลออกไปคือชุมชน สังคม และบ้านเมือง ตลอดจนโลกนี้เป็นที่สุด

คนทั้งปวงมีทุกข์มีร้อนก็ตรงจุดนี้แหละ คือมีความยึดมั่น มีความถือมั่นไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอ เอาแต่แสวงหาทุกเวลานาที หนักเข้าก็ไม่เลือกแบบแผนในการแสวงหา แม้เป็นเรื่องไม่สุจริตหรือทุจริตหรือเบียดเบียนใคร ก็ดั้นด้นกระทำเข้าไป ในที่สุดตนก็เดือดร้อน ท่านก็เดือดร้อน สังคมและชาติบ้านเมืองก็เดือดร้อน

ยิ่งมีอำนาจมาก มีฐานะการเงินมาก มีพรรคพวกบริวารมาก มีสติปัญญามาก ความมากทั้งหลายเหล่านี้กลับเพิ่มความพินาศฉิบหายทั้งแก่ตนเอง แก่ผู้อื่น แก่สังคมและบ้านเมืองในที่สุดด้วย

ไม่เห็นหรือว่าคนบางคนกำลังถูกสังคมจับตามองว่าเพราะคนนี้เพียงคนเดียวแท้ ๆ ชาติบ้านเมืองและประชาชนจึงมีอันเป็นไปถึงเพียงนี้!

การพูดหรือการถูกมองอย่างนี้อย่านึกว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือเป็นคำสรรเสริญเยินยอ แท้จริงแล้วเปรียบได้ดังไฟบรรลัยกัลป์ที่จะชักนำหายนะ และมหันตภัยมาถึงตัวต่างหาก

ดังนั้นการรู้จักพอ การรู้จักหยุด การไม่จองเวร จึงเป็นความประเสริฐที่ชาวพุทธพึงประพฤติปฏิบัติเพื่อนำตนเองและทำให้ผู้อื่นห่างไกลออกไปจากความทุกข์ความร้อนทั้งปวง

พระธรรมคำสอนของพระตถาคตเจ้าไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติศาสนาไหน ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตหรือคนถ่อย ไม่ว่าจะเป็นคนพาลหรือสมณะ หากประพฤติปฏิบัติแล้วก็ย่อมมีแต่จะบังเกิดผลดีทั้งนั้น

เหตุนี้พระธรรมแห่งพระบรมศาสดาจึงเป็นของสูง เป็นสิ่งล้ำค่า มีความบริสุทธิ์ที่พึงมีอยู่และพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของคนหมู่มากในโลก

ไม่พึงถูกหยิบฉวยใช้สอยไปเป็นเครื่องมือในทางการเมือง หรือนำไปเกลือกกลั้วกับการเมือง

ตลอดพระชนมชีพแห่งพระบรมศาสดาและทุกครั้งที่มีการทำสังคายนาก็ไม่เคยปรากฏว่าพระบรมศาสดาหรือพระอรหันตสาวกทั้งหลายหรือบรรพชนแห่งชาวพุทธของเราท่านจะเรียกร้องต้องการให้เขียนในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเลย

มีแต่คำสอนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้เร่งฝึกฝนอบรมตนเองให้พ้นจากความทุกข์เพื่อถึงซึ่งความดับทุกข์สิ้นเชิง

เพราะการบรรลุถึงประโยชน์สุขแห่งพระธรรมคำสอนนั้นไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญหรือหนังสือใด ๆ แต่อยู่ที่การฝึกฝนอบรมจิตของชาวพุทธ และพระพุทธศาสนาจะมั่นคงสถาพรได้ก็ไม่ใช่เพราะการเขียนในรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยของชาวพุทธต่างหาก

ดังนั้นใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้ ขอจงหยุดความใจร้าย ความโหดร้ายอำมหิตที่คิดจะดึงเอาพระพุทธศาสนามาเกลือกกลั้วการเมืองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวิสาขมาสนี้เถิด.
กำลังโหลดความคิดเห็น