บิ๊กแบงก์ทหารไทยแถลงผนึกไอเอ็นจีเดินหน้าธุรกิจครบวงจร ตั้งกรอบเป้าหมายใหญ่ขึ้นแท่นแบงก์ชั้นนำทั้งด้านรายได้และกำไร ด้านไอเอ็นจีย้ำต้องการให้แบงก์ยังคงความเป็นไทย พร้อมเดินหน้า 3 จุดหมายแรก หาเอ็มดีใหม่ การบริหารความเสี่ยง และเพิ่มคุณภาพสินเชื่อ รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร หวังผลตอบแทนจากการลงทุน 12-16% ยันยังไม่มีการเพิ่มทุนในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่การออกหุ้นกู้ต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า แผนระยะกลางถึงระยะยาวของธนาคารหลังจากที่ทางไอเอ็นจีกรุ๊ปได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรนั้น ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะพยายามขึ้นเป็นธนาคารชั้นนำของไทย ทั้งในด้านของรายได้และกำไร รวมถึงจะดูแลผู้ถือหุ้น ลูกค้า และดูแลคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกด้านให้ครบถ้วน ส่วนเป้าหมายด้านการดำเนินงานนั้นยังอยู่ระหว่างการวางกรอบว่าจะเป็นอย่างไร โดยเชื่อว่าจะสามารถเห็นความสำเร็จของธนาคารที่ได้ร่วมมือกับไอเอ็นจีกรุ๊ปได้ภายในสิ้นปีนี้ทั้งส่วนของรายได้และกำไร
ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินงานโดยมุ่งเน้นธุรกิจรายย่อยมากขึ้น และจะมีการขยายตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้สินค้าที่จะนำมาเสนอนั้นจะเป็นสินเชื่อระยะยาวมากขึ้น แต่ก็จะไม่ละเลยธุรกิจรายใหญ่ สำหรับภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ธนาคารยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุนอีก เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็น แต่การออกหุ้นกู้นั้นต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยวงเงินการออกหุ้นกู้ที่ได้ขอจากทางผู้ถือหุ้นไว้อยู่ที่ 70,000-80,000 ล้านบาท ก็ถือเป็นกลยุทธ์ในการระดมเงินอย่างหนึ่ง ส่วนประเด็นการสรรหาผู้มาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่นั้น คาดว่าจะจบได้ภายในครึ่งปีแรก
"หลังจากที่ไอเอ็นจีได้เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับธนาคาร ธนาคารก็จะมีการตั้งเป้าหมายการทำธุรกิจในระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 3 ปีและระยะยาว 5 ปี แต่ในปัจจุบันเป็นเพียงเป้าหมายกว้างๆเท่านั้นยังไม่มีรายละเอียด เนื่องจากต้องรอดูผลการดำเนินงานอีกประมาณ 1 เดือนจึงจะสามารถกำหนดเป้าหมายในรายละเอียดต่างๆได้ แต่หลักๆที่ไอเอ็นจีเข้ามาก็ต้องการทำ 2 จุด คือการทำธุรกิจรายย่อและและการปรับปรุงบริหารความเสี่ยง"
นายฟิลลิป ดามัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอเอ็นจี รีเทลแบงก์ เอเชีย และกรรมการธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ไอเอ็นจีคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในการเป็นพันธมิตรถือหุ้นของธนาคารทหารไทยขั้นต่ำจะอยู่ที่ 12-16% ซึ่งเป็นผลอัตราตอบแทนขั้นต่ำของการลงทุนโดยทั่วไปของไอเอ็นจี แต่การเข้ามาลงทุนของไอเอ็นจีนี้เป็นการเข้ามาลงทุนระยะยาวในลักษณะการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
สำหรับปัญหาการล้างขาดทุนสะสมของธนาคารทหารไทย แม้จะเป็นปัญหาของธนาคารเองแต่คณะกรรมการของธนาคารก็มีคนของไอเอ็นจีดูแลช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการล้างขาดทุนสะสม ซึ่งหลังจากที่ไอเอ็นจีเข้ามาถือหุ้นธนาคารแล้ว ตั้งเป้าว่า 3 สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การหากรรมการผู้จัดการคนใหม่ การบริหารความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพสินเชื่อรวมถึงการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ซึ่งขณะนี้ไอเอ็นจีได้ส่งผู้บริหารมาร่วมงานกับธนาคารแล้ว 2 คน และมองว่าในอนาคตจะส่งผู้บริหารเพิ่มเป็น 20-25 คน โดยปัจจุบันกำลังพิจารณาที่จะส่งมาแล้ว 14 คน
"ในปีที่ผ่านมาผลประกอบการของแบงก์ ถือว่าไม่ดี ซึ่งในปีนี้ก็คงจะไม่ทำเหมือนเดิม ซึ่งไอเอ็นจีก็เห็นว่าจะมีการปรับเปลี่ยนการให้บริการให้เป็นสากล แต่จะคงความเป็นธนาคารไทยไว้"นายฟิลลิป กล่าว
ด้านนายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า แนวทางในการล้างขาดทุนสะสมของธนาคารก็คือ การปรับลดราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ซึ่งตอนนี้ไอเอ็นจีก็เริ่มเข้ามาช่วยปรับกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยงของธนาคาร ซึ่งมีทิศทางการทำงานที่ดีขึ้น ส่วนการขออมุมัติวงเงินออกหุ้นกู้ที่ได้ขอไว้กับผู้ถือหุ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความจำเป็นว่าจะใช้เงินหรือไม่ ซึ่งการออกหุ้นกู้นั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของการเพิ่มทุนแต่อย่างใด
อีกทั้งปัจจุบันยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารเริ่มลดลง เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารให้ความสำคัญกับการเพิ่มทุนจึงทำให้ไม่ได้รุกในการปล่อยสินเชื่อ และคาดว่าจะมีการทบทวนเป้าหมายของสินเชื่อในช่วงกลางปีนี้ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อทั้งปีว่าจะเติบโต 8% และมองว่าสินเชื่อจะเติบโตในช่วงปลายปี ส่วนการขายหุ้นของ บลจ.เอ็มเอฟซี ที่ธนาคารถืออยู่นั้นก็มีแผนที่จะขายรอเพียงการตกลงเรื่องราคา
"การผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธนาคารทหารไทย และกลุ่มไอเอ็นจีในครั้งนี้ เป็นการขยายฐานลูกค้า เครือข่ายการบริการ รวมทั้งทางเลือกของผลิตภัณฑ์ และเมื่อผสานผลิตภัณฑ์ของกองทุนรวมของ บลจ.ทหารไทย และ บลจ.ไอเอ็นจีแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าเครือข่ายธนาคารทหารไทยจะมีทางเลือกสำหรับการลงทุนที่ โดดเด่นที่สุดสำหรับลูกค้าในประเทศไทย"
นอกจากนี้ ในวันที่ 12 มิถุนายน ธนาคารจะเริ่มเป็นตัวแทนสนับสนุนการขายกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนแนวทางการบริหารงานในส่วนของบลจ.นั้น จะไม่มีการควบรวมกันเนื่องจากการดำเนินงานไม่มีความซ้ำซ้อนกัน
**คาดแนวโน้มบาทอ่อนต่อ**
ด้านนายเสถียร ตันธนะสฤษดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจการเงิน ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทของไทยที่เริ่มอ่อนค่าลงมาช่วงนี้ถือว่าเป็นการอ่อนค่าตามภูมิภาคและถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าไปแล้ว อีกทั้งในปีนี้ประเทศไทยไม่มีมาตรการกันสำรอง 30% แล้วจึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเป็นธรรมดา ซึ่งคาดว่าปีนี้ค่าเงินบาทจะปรับตัวอ่อนค่าไปถึง 33-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้นมองว่าการประชุมในวันที่ 21 พ.ค.นี้น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% และในปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งของไทยและสหรัฐจะไม่ปรับลดลงแล้ว ส่วนจะปรับขึ้นหรือไม่นั้นจะต้องดูที่อัตราเงินเฟ้อ แต่คาดว่าในปลายปีนี้อัตราดอกเบี้ยทั้งของไทยและสหรัฐมีโอกาสปรับขึ้นได้ อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยนโยบายเป็นหลัก.
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า แผนระยะกลางถึงระยะยาวของธนาคารหลังจากที่ทางไอเอ็นจีกรุ๊ปได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรนั้น ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะพยายามขึ้นเป็นธนาคารชั้นนำของไทย ทั้งในด้านของรายได้และกำไร รวมถึงจะดูแลผู้ถือหุ้น ลูกค้า และดูแลคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกด้านให้ครบถ้วน ส่วนเป้าหมายด้านการดำเนินงานนั้นยังอยู่ระหว่างการวางกรอบว่าจะเป็นอย่างไร โดยเชื่อว่าจะสามารถเห็นความสำเร็จของธนาคารที่ได้ร่วมมือกับไอเอ็นจีกรุ๊ปได้ภายในสิ้นปีนี้ทั้งส่วนของรายได้และกำไร
ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินงานโดยมุ่งเน้นธุรกิจรายย่อยมากขึ้น และจะมีการขยายตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้สินค้าที่จะนำมาเสนอนั้นจะเป็นสินเชื่อระยะยาวมากขึ้น แต่ก็จะไม่ละเลยธุรกิจรายใหญ่ สำหรับภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ธนาคารยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุนอีก เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็น แต่การออกหุ้นกู้นั้นต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยวงเงินการออกหุ้นกู้ที่ได้ขอจากทางผู้ถือหุ้นไว้อยู่ที่ 70,000-80,000 ล้านบาท ก็ถือเป็นกลยุทธ์ในการระดมเงินอย่างหนึ่ง ส่วนประเด็นการสรรหาผู้มาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่นั้น คาดว่าจะจบได้ภายในครึ่งปีแรก
"หลังจากที่ไอเอ็นจีได้เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับธนาคาร ธนาคารก็จะมีการตั้งเป้าหมายการทำธุรกิจในระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 3 ปีและระยะยาว 5 ปี แต่ในปัจจุบันเป็นเพียงเป้าหมายกว้างๆเท่านั้นยังไม่มีรายละเอียด เนื่องจากต้องรอดูผลการดำเนินงานอีกประมาณ 1 เดือนจึงจะสามารถกำหนดเป้าหมายในรายละเอียดต่างๆได้ แต่หลักๆที่ไอเอ็นจีเข้ามาก็ต้องการทำ 2 จุด คือการทำธุรกิจรายย่อและและการปรับปรุงบริหารความเสี่ยง"
นายฟิลลิป ดามัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอเอ็นจี รีเทลแบงก์ เอเชีย และกรรมการธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ไอเอ็นจีคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในการเป็นพันธมิตรถือหุ้นของธนาคารทหารไทยขั้นต่ำจะอยู่ที่ 12-16% ซึ่งเป็นผลอัตราตอบแทนขั้นต่ำของการลงทุนโดยทั่วไปของไอเอ็นจี แต่การเข้ามาลงทุนของไอเอ็นจีนี้เป็นการเข้ามาลงทุนระยะยาวในลักษณะการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
สำหรับปัญหาการล้างขาดทุนสะสมของธนาคารทหารไทย แม้จะเป็นปัญหาของธนาคารเองแต่คณะกรรมการของธนาคารก็มีคนของไอเอ็นจีดูแลช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการล้างขาดทุนสะสม ซึ่งหลังจากที่ไอเอ็นจีเข้ามาถือหุ้นธนาคารแล้ว ตั้งเป้าว่า 3 สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การหากรรมการผู้จัดการคนใหม่ การบริหารความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพสินเชื่อรวมถึงการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ซึ่งขณะนี้ไอเอ็นจีได้ส่งผู้บริหารมาร่วมงานกับธนาคารแล้ว 2 คน และมองว่าในอนาคตจะส่งผู้บริหารเพิ่มเป็น 20-25 คน โดยปัจจุบันกำลังพิจารณาที่จะส่งมาแล้ว 14 คน
"ในปีที่ผ่านมาผลประกอบการของแบงก์ ถือว่าไม่ดี ซึ่งในปีนี้ก็คงจะไม่ทำเหมือนเดิม ซึ่งไอเอ็นจีก็เห็นว่าจะมีการปรับเปลี่ยนการให้บริการให้เป็นสากล แต่จะคงความเป็นธนาคารไทยไว้"นายฟิลลิป กล่าว
ด้านนายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า แนวทางในการล้างขาดทุนสะสมของธนาคารก็คือ การปรับลดราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ซึ่งตอนนี้ไอเอ็นจีก็เริ่มเข้ามาช่วยปรับกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยงของธนาคาร ซึ่งมีทิศทางการทำงานที่ดีขึ้น ส่วนการขออมุมัติวงเงินออกหุ้นกู้ที่ได้ขอไว้กับผู้ถือหุ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความจำเป็นว่าจะใช้เงินหรือไม่ ซึ่งการออกหุ้นกู้นั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของการเพิ่มทุนแต่อย่างใด
อีกทั้งปัจจุบันยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารเริ่มลดลง เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารให้ความสำคัญกับการเพิ่มทุนจึงทำให้ไม่ได้รุกในการปล่อยสินเชื่อ และคาดว่าจะมีการทบทวนเป้าหมายของสินเชื่อในช่วงกลางปีนี้ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อทั้งปีว่าจะเติบโต 8% และมองว่าสินเชื่อจะเติบโตในช่วงปลายปี ส่วนการขายหุ้นของ บลจ.เอ็มเอฟซี ที่ธนาคารถืออยู่นั้นก็มีแผนที่จะขายรอเพียงการตกลงเรื่องราคา
"การผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธนาคารทหารไทย และกลุ่มไอเอ็นจีในครั้งนี้ เป็นการขยายฐานลูกค้า เครือข่ายการบริการ รวมทั้งทางเลือกของผลิตภัณฑ์ และเมื่อผสานผลิตภัณฑ์ของกองทุนรวมของ บลจ.ทหารไทย และ บลจ.ไอเอ็นจีแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าเครือข่ายธนาคารทหารไทยจะมีทางเลือกสำหรับการลงทุนที่ โดดเด่นที่สุดสำหรับลูกค้าในประเทศไทย"
นอกจากนี้ ในวันที่ 12 มิถุนายน ธนาคารจะเริ่มเป็นตัวแทนสนับสนุนการขายกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนแนวทางการบริหารงานในส่วนของบลจ.นั้น จะไม่มีการควบรวมกันเนื่องจากการดำเนินงานไม่มีความซ้ำซ้อนกัน
**คาดแนวโน้มบาทอ่อนต่อ**
ด้านนายเสถียร ตันธนะสฤษดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจการเงิน ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทของไทยที่เริ่มอ่อนค่าลงมาช่วงนี้ถือว่าเป็นการอ่อนค่าตามภูมิภาคและถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าไปแล้ว อีกทั้งในปีนี้ประเทศไทยไม่มีมาตรการกันสำรอง 30% แล้วจึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเป็นธรรมดา ซึ่งคาดว่าปีนี้ค่าเงินบาทจะปรับตัวอ่อนค่าไปถึง 33-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้นมองว่าการประชุมในวันที่ 21 พ.ค.นี้น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% และในปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งของไทยและสหรัฐจะไม่ปรับลดลงแล้ว ส่วนจะปรับขึ้นหรือไม่นั้นจะต้องดูที่อัตราเงินเฟ้อ แต่คาดว่าในปลายปีนี้อัตราดอกเบี้ยทั้งของไทยและสหรัฐมีโอกาสปรับขึ้นได้ อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยนโยบายเป็นหลัก.