ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (6 พ.ค.) มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามปกติ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเป็นประธานการประชุมครม.ตามปกติ โดยนายสมัคร เดินอมยิ้ม พร้อมกับเอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินขึ้นไปประชุมโดยไม่มีการสัมภาษณ์ หรือหยอกล้อกับสื่อมวลชนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมนายสมัครก็ไม่ได้ลงมาให้สัมภาษณ์ เหมือนทุกครั้ง อีกทั้งก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯมาจัดเตรียมสถานที่ในการสัมภาษณ์และไม่มีการเตรียมชุดเครื่องขยายเสียงด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามที่นายสมัคร ได้กล่าวผ่านรายการ สนทนาประสาสมัคร" เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าจะไม่มีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนประจำสัปดาห์ในวันอังคารและศุกร์อีกต่อไป เพราะมีการวิจารณ์กันว่านายกรัฐมนตรีพูดจาหยาบคาย ก้าวร้าว โดยจะมาพูดผ่านรายการ สนทนาประสาสมัคร ในวันอาทิตย์เท่านั้น
นายวิเชียรโชติ โชติสุขรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่นายสมัคร ยกเลิกการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทุกวันอังคารและวันศุกร์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มติครม. ผลงานรัฐบาล หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นหน้าที่ของโฆษกรัฐบาลที่มีหน้าที่แถลง หากเป็นเรื่องของ สถานการณ์ ต้องถามต้นตอและหาข้อมูลมาให้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ประกาศยกเลิกพบสื่อวันอังคารและวันศุกร์ นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่เรียกตนเองเข้าไปสั่งการใดๆ เพียงแต่บอกว่า ให้ทำหน้าที่ โฆษกฯตามปกติ ทั้งนี้ตนได้คุยกับรองโฆษกฯในเบื้องต้นว่า นอกจากการแถลงผลประชุม ครม. อาจจะต้องมีการรวบรวมผลงานและเหตุการณ์มาแถลงด้วย อย่างไรก็ตาม รอดูท่าทีของนายกรัฐมนตรีในช่วงบ่ายนี้ก่อนว่า งดที่จะพบสื่อหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี งดให้สัมภาษณ์หลังจากถูกวิจารณ์การใช้อารมย์ และถ่อยคำที่ไม่เหมาะสมในการให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้นายกฯ ทบทวน การทำงานกับสื่อเป็นเรื่องที่จำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดินในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะที่ไหนมีความจำที่จะต้องสื่อสารกับประชาชน และต้องเป็นการสื่อสาร 2 ทาง ไม่ใช่ว่า ผู้บริหารประเทศอยากจะพูดอะไรก็พูดยัดเยียดให้ประชาชนฟัง และเชื่อ
“การมีคำถาม การท้วงติง วิพากษ์วิจารณ์ไปมาถือเป็นเรื่องปกติของยุคปัจจุบัน ถ้าทำความเข้าใจตรงนี้ได้ก็อยากให้นายกฯ มองว่าการทำงานกับสื่อเป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าไม่สามารถสื่อสารกับประชาชน 2 ทางคือ บอกประชาชนและฟังประชาชนว่า ปัญหาต่างๆ เป็นอย่างไร แก้ไขอย่างไร และรัฐบาลมีความคิดอย่างไร การที่จะบริหารให้เกิดผลสำเร็จจะยากมาก ดังนั้นต้องยอมรับว่าการจะใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้นั้น ต้องเป็นการสื่อสารทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นถ้านายกฯ ลองปรับท่าทีกับสื่อ ไม่ใช่เลิกพูดกับสื่อ หรือเลิกพูดกับประชาชน แต่ให้ปรับท่าทีในการลดการเผชิญหน้า ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากในการทำงาน”
ส่วนที่นายสมัคร ยืนยันว่าเป็นจุดยืน และเป็นคาแร็กเตอร์ เป็นบุคลิกของเขาเอง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องจะจริงใจหรือสร้างภาพ แต่วันนี้ท่านดำรงตำแหน่งนี้ ถ้าอยากให้งานสำเร็จและเป็นประโยชน์กับประเทศก็จำเป็นต้องปรับท่าทีบางอย่าง หรือจะยึดตัวเองเป็นใหญ่และปล่อยให้บรรยากาศของบ้านเมืองเสียไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องยอมเสียความเป็นส่วนตัวไปใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะอ้างหลายเหตุผลก็อ้างได้ แต่ก็มีขอบเขตของมัน เช่น ความเป็นส่วนตัว ซึ่งการทำความตกลงกับสื่อก็สามารถทำกันได้ว่า การรายงานข่าวได้แค่ไหน อย่างไร การขอเวลาเป็นส่วนตัวก็คงไม่มีปัญหา ส่วนการที่บอกว่าตัวตนของท่านพูดจาตรงไป ตรงมา ก็สามารถทำได้ แต่ที่สังคมไม่สบายใจคือ บางถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม การจะตอบหรือไม่ตอบคำถามก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นสิทธิเพียงแต่ถ้าประชาชนรู้สึกว่า คำถามที่อยู่ในใจ ประชาชนและสื่อมาถามแทนไม่ได้รับคำตอบก็เป็นผลเสียกับรัฐบาลเอง
ผู้สือข่าวถามว่าจะถือว่านายกฯ เสียโอกาสในการไม่พูดคุยกับสื่อ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถือเป็นการเสียโอกาสที่ไม่รู้จักจะใช้สื่อสารมวลชนให้เป็นประโยชน์ในการช่วยทำความเข้าใจในสังคม เพื่อให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
สำหรับการทำงาน 3 เดือนของรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์ มองว่า ปัญหาคงไม่ เฉพาะความสัมพันธ์กับสื่อแต่ปัญหาใหญ่คือ รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของตัวเองมากกว่าปัญหาของประเทศ ฉะนั้นแทนที่เราจะมีโอกาสเห็นรัฐบาลมุ่งหน้าทำงาน และรายงานให้ประชาชนทราบถึงการแก้ไขปัญหาที่อยู่ในใจของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ของแพงหรือการบริหารจัดการ เรามาเสียเวลาอยู่กับเรื่องปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ คดียุบพรรคหรือสร้างประเด็นความขัดแย้งรายวันตอบโต้มากกว่า ดังนั้น 3 เดือนที่ผ่านมาก็เป็น 3 เดือนที่น่าเสียดายโอกาส ในแง่ที่คนไทย ต่างชาติคาดหวังว่าเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้วปัญหาที่เป็นของประชาชนจริงๆ จะได้รับการแก้ไขและตอบสนอง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่อยากบอกว่า 3 เดือนที่ทำงานมาสอบได้หรือสอบตก ตนเชื่อว่าสังคมยังอยากให้โอกาสรัฐบาลในการทำงาน ไม่ใช่เอาโอกาสที่ประชาชนหยิบยื่นให้มาแก้ปัญหาการเมืองของตัวเองหรือของอดีตนายกรัฐมนตรี
ส่วนผลการสำรวจล่าสุดระบุว่าคนที่ได้คะแนนรองสุดท้ายในการทำงาน คือ นายสมัคร สุนทรเวชนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี น่าจะลองไปทบทวนดูว่า จะมีวิธีการปรับท่าทีอย่างไร ที่จริงคะแนนของรัฐมนตรีที่ดีที่สุดก็ยังต่ำ ดังนั้นตรงนี้ เป็นตัวสะท้อนให้รัฐบาลเร่งกลับไปดูปัญหาของประชาชนจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และภาระของประชาชนในด้านต่างๆ ว่าถ้าลดภาระของประชาชนไม่ได้ ก็ต้องมีความจริงจังที่จะเพิ่มรายได้มากกว่านี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อผลสำรวจออกมาไม่ตรงกับใจนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาระบุว่า เป็นโพลเฮงซวย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลไม่รู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูล ที่มีการสะท้อนผ่านสาธารณะ รัฐบาลก็จะยิ่งมีปัญหาในการทำงาน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าวถึงผลการสำรวจที่ระบุถึงความ พึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ รมว.มหาดไทยต่ำสุดร้อยละ 3.39 ว่า แล้วแต่มุมมองซึ่งเราก็ต้องรับฟังแต่ก็ไม่ได้ดูในรายละเอียดว่าทำไมถึงได้คะแนนน้อย แต่ไม่เป็นไร เพราะว่าผลโพลออกมาคะแนนตนก็ต่ำทุกครั้ง
ส่วนจะมีการทบทวนการทำงานหรือไม่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีการ ทบทวนอะไรทั้งสิ้น ก็ทำไปเรื่อยๆ ยึดหลักถูกต้องชอบธรรม หลีกเลี่ยงการทุจริตบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะทำให้เร็วมันลำบาก ซึ่งตนได้รับหนังสือประท้วงจากเอ็นจีโอต่างชาติประจำ โดยไปรวมตัวประท้วงที่ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ฉะนั้นการทำงานปราบปรามยาเสพติดเจ้าหน้าที่เขาลังเล แต่ตนไม่เคยลังเล และกำลังเดินหน้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ซึ่งขณะนี้ก็มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดเยอะแล้วและล่าสุดได้มีตำรวจถูกยิงบาดเจ็บ
ผู้สื่อข่าวถามว่าผลโพลล์ออกมาอย่างนี้น้อยใจหรือไม่ ร.ต.องเฉลิม กล่าวว่า ไม่มีปัญหาเป็นนักการเมืองไปน้อยใจได้ไง ไม่รักเขาไม่ห่วงและตนต้องขอบคุณ อาจารย์ที่ทำโพล อย่างไรก็ตามความนิยมของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตนก็เคารพ ในการทำโพล
อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมนายสมัครก็ไม่ได้ลงมาให้สัมภาษณ์ เหมือนทุกครั้ง อีกทั้งก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯมาจัดเตรียมสถานที่ในการสัมภาษณ์และไม่มีการเตรียมชุดเครื่องขยายเสียงด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามที่นายสมัคร ได้กล่าวผ่านรายการ สนทนาประสาสมัคร" เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าจะไม่มีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนประจำสัปดาห์ในวันอังคารและศุกร์อีกต่อไป เพราะมีการวิจารณ์กันว่านายกรัฐมนตรีพูดจาหยาบคาย ก้าวร้าว โดยจะมาพูดผ่านรายการ สนทนาประสาสมัคร ในวันอาทิตย์เท่านั้น
นายวิเชียรโชติ โชติสุขรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่นายสมัคร ยกเลิกการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทุกวันอังคารและวันศุกร์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มติครม. ผลงานรัฐบาล หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นหน้าที่ของโฆษกรัฐบาลที่มีหน้าที่แถลง หากเป็นเรื่องของ สถานการณ์ ต้องถามต้นตอและหาข้อมูลมาให้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ประกาศยกเลิกพบสื่อวันอังคารและวันศุกร์ นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่เรียกตนเองเข้าไปสั่งการใดๆ เพียงแต่บอกว่า ให้ทำหน้าที่ โฆษกฯตามปกติ ทั้งนี้ตนได้คุยกับรองโฆษกฯในเบื้องต้นว่า นอกจากการแถลงผลประชุม ครม. อาจจะต้องมีการรวบรวมผลงานและเหตุการณ์มาแถลงด้วย อย่างไรก็ตาม รอดูท่าทีของนายกรัฐมนตรีในช่วงบ่ายนี้ก่อนว่า งดที่จะพบสื่อหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี งดให้สัมภาษณ์หลังจากถูกวิจารณ์การใช้อารมย์ และถ่อยคำที่ไม่เหมาะสมในการให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้นายกฯ ทบทวน การทำงานกับสื่อเป็นเรื่องที่จำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดินในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะที่ไหนมีความจำที่จะต้องสื่อสารกับประชาชน และต้องเป็นการสื่อสาร 2 ทาง ไม่ใช่ว่า ผู้บริหารประเทศอยากจะพูดอะไรก็พูดยัดเยียดให้ประชาชนฟัง และเชื่อ
“การมีคำถาม การท้วงติง วิพากษ์วิจารณ์ไปมาถือเป็นเรื่องปกติของยุคปัจจุบัน ถ้าทำความเข้าใจตรงนี้ได้ก็อยากให้นายกฯ มองว่าการทำงานกับสื่อเป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าไม่สามารถสื่อสารกับประชาชน 2 ทางคือ บอกประชาชนและฟังประชาชนว่า ปัญหาต่างๆ เป็นอย่างไร แก้ไขอย่างไร และรัฐบาลมีความคิดอย่างไร การที่จะบริหารให้เกิดผลสำเร็จจะยากมาก ดังนั้นต้องยอมรับว่าการจะใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้นั้น ต้องเป็นการสื่อสารทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นถ้านายกฯ ลองปรับท่าทีกับสื่อ ไม่ใช่เลิกพูดกับสื่อ หรือเลิกพูดกับประชาชน แต่ให้ปรับท่าทีในการลดการเผชิญหน้า ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากในการทำงาน”
ส่วนที่นายสมัคร ยืนยันว่าเป็นจุดยืน และเป็นคาแร็กเตอร์ เป็นบุคลิกของเขาเอง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องจะจริงใจหรือสร้างภาพ แต่วันนี้ท่านดำรงตำแหน่งนี้ ถ้าอยากให้งานสำเร็จและเป็นประโยชน์กับประเทศก็จำเป็นต้องปรับท่าทีบางอย่าง หรือจะยึดตัวเองเป็นใหญ่และปล่อยให้บรรยากาศของบ้านเมืองเสียไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องยอมเสียความเป็นส่วนตัวไปใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะอ้างหลายเหตุผลก็อ้างได้ แต่ก็มีขอบเขตของมัน เช่น ความเป็นส่วนตัว ซึ่งการทำความตกลงกับสื่อก็สามารถทำกันได้ว่า การรายงานข่าวได้แค่ไหน อย่างไร การขอเวลาเป็นส่วนตัวก็คงไม่มีปัญหา ส่วนการที่บอกว่าตัวตนของท่านพูดจาตรงไป ตรงมา ก็สามารถทำได้ แต่ที่สังคมไม่สบายใจคือ บางถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม การจะตอบหรือไม่ตอบคำถามก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นสิทธิเพียงแต่ถ้าประชาชนรู้สึกว่า คำถามที่อยู่ในใจ ประชาชนและสื่อมาถามแทนไม่ได้รับคำตอบก็เป็นผลเสียกับรัฐบาลเอง
ผู้สือข่าวถามว่าจะถือว่านายกฯ เสียโอกาสในการไม่พูดคุยกับสื่อ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถือเป็นการเสียโอกาสที่ไม่รู้จักจะใช้สื่อสารมวลชนให้เป็นประโยชน์ในการช่วยทำความเข้าใจในสังคม เพื่อให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
สำหรับการทำงาน 3 เดือนของรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์ มองว่า ปัญหาคงไม่ เฉพาะความสัมพันธ์กับสื่อแต่ปัญหาใหญ่คือ รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของตัวเองมากกว่าปัญหาของประเทศ ฉะนั้นแทนที่เราจะมีโอกาสเห็นรัฐบาลมุ่งหน้าทำงาน และรายงานให้ประชาชนทราบถึงการแก้ไขปัญหาที่อยู่ในใจของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ของแพงหรือการบริหารจัดการ เรามาเสียเวลาอยู่กับเรื่องปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ คดียุบพรรคหรือสร้างประเด็นความขัดแย้งรายวันตอบโต้มากกว่า ดังนั้น 3 เดือนที่ผ่านมาก็เป็น 3 เดือนที่น่าเสียดายโอกาส ในแง่ที่คนไทย ต่างชาติคาดหวังว่าเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้วปัญหาที่เป็นของประชาชนจริงๆ จะได้รับการแก้ไขและตอบสนอง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่อยากบอกว่า 3 เดือนที่ทำงานมาสอบได้หรือสอบตก ตนเชื่อว่าสังคมยังอยากให้โอกาสรัฐบาลในการทำงาน ไม่ใช่เอาโอกาสที่ประชาชนหยิบยื่นให้มาแก้ปัญหาการเมืองของตัวเองหรือของอดีตนายกรัฐมนตรี
ส่วนผลการสำรวจล่าสุดระบุว่าคนที่ได้คะแนนรองสุดท้ายในการทำงาน คือ นายสมัคร สุนทรเวชนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี น่าจะลองไปทบทวนดูว่า จะมีวิธีการปรับท่าทีอย่างไร ที่จริงคะแนนของรัฐมนตรีที่ดีที่สุดก็ยังต่ำ ดังนั้นตรงนี้ เป็นตัวสะท้อนให้รัฐบาลเร่งกลับไปดูปัญหาของประชาชนจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และภาระของประชาชนในด้านต่างๆ ว่าถ้าลดภาระของประชาชนไม่ได้ ก็ต้องมีความจริงจังที่จะเพิ่มรายได้มากกว่านี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อผลสำรวจออกมาไม่ตรงกับใจนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาระบุว่า เป็นโพลเฮงซวย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลไม่รู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูล ที่มีการสะท้อนผ่านสาธารณะ รัฐบาลก็จะยิ่งมีปัญหาในการทำงาน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าวถึงผลการสำรวจที่ระบุถึงความ พึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ รมว.มหาดไทยต่ำสุดร้อยละ 3.39 ว่า แล้วแต่มุมมองซึ่งเราก็ต้องรับฟังแต่ก็ไม่ได้ดูในรายละเอียดว่าทำไมถึงได้คะแนนน้อย แต่ไม่เป็นไร เพราะว่าผลโพลออกมาคะแนนตนก็ต่ำทุกครั้ง
ส่วนจะมีการทบทวนการทำงานหรือไม่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีการ ทบทวนอะไรทั้งสิ้น ก็ทำไปเรื่อยๆ ยึดหลักถูกต้องชอบธรรม หลีกเลี่ยงการทุจริตบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะทำให้เร็วมันลำบาก ซึ่งตนได้รับหนังสือประท้วงจากเอ็นจีโอต่างชาติประจำ โดยไปรวมตัวประท้วงที่ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ฉะนั้นการทำงานปราบปรามยาเสพติดเจ้าหน้าที่เขาลังเล แต่ตนไม่เคยลังเล และกำลังเดินหน้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ซึ่งขณะนี้ก็มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดเยอะแล้วและล่าสุดได้มีตำรวจถูกยิงบาดเจ็บ
ผู้สื่อข่าวถามว่าผลโพลล์ออกมาอย่างนี้น้อยใจหรือไม่ ร.ต.องเฉลิม กล่าวว่า ไม่มีปัญหาเป็นนักการเมืองไปน้อยใจได้ไง ไม่รักเขาไม่ห่วงและตนต้องขอบคุณ อาจารย์ที่ทำโพล อย่างไรก็ตามความนิยมของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตนก็เคารพ ในการทำโพล