นายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ ประธานคณะกรรมการสอบ กรณีนายวีระ สมความคิด ร้องพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวีระ เตรียมขอสำนวนชุดของคณะอนุกรรมการไปดู ก่อนที่จะฟ้องร้องดำเนินคดี ว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้มีความพยายามบิดพลิ้วก่อนส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณาให้ยกคำร้องนอมินี ว่า ตนยินดี แต่การขอสำนวนนั้นจะต้องขอกับ กกต.เอง เพราะทุกสำนวนนั้นเป็นอำนาจสิทธิขาดของ กกต.ว่าจะอนุญาตหรือไม่ ส่วนตนไม่มีปัญหา เพราะการพิจารณานั้นตนยืนยันว่า ได้ทำอย่างดีที่สุด และได้มีการค้นคว้า จากทุกแหล่งมาประกอบสำนวน ไม่ว่าจะหาจากเว็บไซต์ ทีวี หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งส่งให้ กกต.จังหวัดทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน หามาประกอบการพิจารณาจนครบถ้วน ซึ่งก็ได้ข้อเท็จจริงอย่างที่ปรากฏอย่างนี้
แต่เมื่อเปิดกฎหมาย ก็ไม่มีมาตราใดบัญญัติเอาไว้ในลักษณะนี้ ที่จะสามารถเอาผิดได้ แล้วกกต.เองก็เห็นด้วยกับคณะอนุกรรมการฯ แต่ถ้าท่านไม่เป็นด้วยก็เป็นสิทธิของกกต.
เมื่อถามย้ำว่า นายวีระ เตรียมฟ้องคณะอนุกรมการ อาจทำสำนวนบิดพลิ้วจากความจริง นายไพฑูรย์ กล่าวว่า เชิญเลย นายวีระจะทำอะไรก็ทำ เพราะตนไม่ได้ทำสำนวนคนเดียว ทำกันเป็นรูปคณะกรรมการ และเห็นเหมือนกันทั้ง 4 คน เอกฉันท์ ถ้าฟ้องก็ไม่ได้ขึ้นศาลคนเดียว ก็จะต้องขึ้นศาลกันยกคณะ และความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ก็ไม่ได้เป็นที่ยุติ คนยุติเรื่องก็คือ กกต.ทั้ง 5 คน
"ผมไม่กลัวถูกฟ้องหรอก ตอนที่เขามา เราก็ให้เกียรติเขาทุกอย่าง และที่จริงแล้วเรื่องนอมินี เขาไม่ต้องมาร้องหรอก เพราะกกต.ก็ได้ทำอยู่แล้ว แต่เมื่อคุณวีระเขามาร้อง เราก็ให้เกียรติกับคุณวีระเขา แต่เขากลับเห็นคณะอนุกรรมการฯ เป็นปฏิปักษ์ เป็นเหมือนศัตรู ครั้งแรกที่มาถึงก็เอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงที่ไม่พอใจกับคณะ ว่า ทำไมล่าช้า แต่เราก็ไม่ได้ถือสา ทำงานของเราไป ผมกับคณะฯ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็เร่งทำงาน แต่เขาก็ไม่พอใจ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร หากเขาจะฟ้องก็ฟ้อง ถือเสียว่า จะได้เป็นการไปฝึกสมองให้ฉลาดๆ ผมก็เห็นเขาเป็นคนดี คนเก่ง คนกว้าง" นายไพฑูรย์ กล่าว
**กกต.เกลือเป็นหนอน
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยถึงการสอบสวนภายในของ กกต. เกี่ยวกับคดีฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้ง โดยเฉพาะประเด็นเอกสารบางอย่างที่ตกไปอยู่ในมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ว่า ทาง กกต.ตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้ และได้ดำเนินการแจ้งความเรื่องลักทรัพย์ไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ระบุตัวบุคคลทำ ซึ่งจนถึงขณะนี้พอจะทราบตัวบุคคลที่นำเอกสารของ กกต.ออกไปภายนอกแล้ว บอกได้แต่เพียงว่า เป็นคนในทำเอง
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างดีเอสไอ และ กกต.เรื่องกรอบอำนาจการดำเนินการทางคดีฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้งนั้น นายสุทธิพล กล่าวว่า ภายในอาทิตย์หน้านี้ กกต.จะทำหนังสือถึงดีเอสไอ เพื่อทักท้วงกรณีดังกล่าว ซึ่งหากทางดีเอสไอ ยังยืนยันอำนาจตามเดิม กกต.จะทำหนังสือเชิญดีเอสไอมาหารืออีกครั้งต่อไป
**ฟ้องอดีตกกต. 50 ล.ปลดไม่เป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้นัดไต่สวนมูลฟ้องต่อคดีอาญาที่ ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ อดีตเลขาธิการ กกต. เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ในฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้า โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
ทั้งนี้ ร.ต.วิจิตร ได้ให้ทนายโจทย์นำ นายสหาย ทรัพย์สุนทรกุล อดีตรองอัยการสูงสุด เป็นพยานเข้าเบิกความต่อศาลแล้ว และศาลก็ได้มีคำสั่งว่า คดีมีมูลตามคำฟ้อง พร้อมทั้งนัดให้จำเลยทั้ง 4 คน มาศาลเพื่อยื่นคำให้การในวันที่ 23 มิ.ย.51 เวลา 09.00 น.
อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวสืบเนื่องมากจากที่ กกต.ได้ลงมติปลด ร.ต.วิจิตร ออกจากตำแหน่งเลขาธิการ กกต. จากกรณีการจัดซื้อรถยนต์กะบะจำนวน 75 คัน เพื่อใช้ประโยชน์ประจำสำนักงานกกต.ประจำจังหวัด แต่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดระเบียบพัสดุฯ เรื่องก็ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) และได้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล ร.ต.วิจิตรไม่ได้กระทำผิดตามที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินกล่าวหา และได้แจ้งให้ยุติเรื่องแล้ว แต่กกต.ชุดนี้ ก็ยังได้ออกคำสั่งปลดดังกล่าวอีก ซึ่งร.ต.วิจิตร เห็นว่าถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียซื่อเสียง จึงยื่นฟ้องอดีตกกต.ทั้ง 4 คน เป็นคดีอาญาในคดีนี้ และฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้เพิกถอนคำสั่ง และให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา
แต่เมื่อเปิดกฎหมาย ก็ไม่มีมาตราใดบัญญัติเอาไว้ในลักษณะนี้ ที่จะสามารถเอาผิดได้ แล้วกกต.เองก็เห็นด้วยกับคณะอนุกรรมการฯ แต่ถ้าท่านไม่เป็นด้วยก็เป็นสิทธิของกกต.
เมื่อถามย้ำว่า นายวีระ เตรียมฟ้องคณะอนุกรมการ อาจทำสำนวนบิดพลิ้วจากความจริง นายไพฑูรย์ กล่าวว่า เชิญเลย นายวีระจะทำอะไรก็ทำ เพราะตนไม่ได้ทำสำนวนคนเดียว ทำกันเป็นรูปคณะกรรมการ และเห็นเหมือนกันทั้ง 4 คน เอกฉันท์ ถ้าฟ้องก็ไม่ได้ขึ้นศาลคนเดียว ก็จะต้องขึ้นศาลกันยกคณะ และความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ก็ไม่ได้เป็นที่ยุติ คนยุติเรื่องก็คือ กกต.ทั้ง 5 คน
"ผมไม่กลัวถูกฟ้องหรอก ตอนที่เขามา เราก็ให้เกียรติเขาทุกอย่าง และที่จริงแล้วเรื่องนอมินี เขาไม่ต้องมาร้องหรอก เพราะกกต.ก็ได้ทำอยู่แล้ว แต่เมื่อคุณวีระเขามาร้อง เราก็ให้เกียรติกับคุณวีระเขา แต่เขากลับเห็นคณะอนุกรรมการฯ เป็นปฏิปักษ์ เป็นเหมือนศัตรู ครั้งแรกที่มาถึงก็เอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงที่ไม่พอใจกับคณะ ว่า ทำไมล่าช้า แต่เราก็ไม่ได้ถือสา ทำงานของเราไป ผมกับคณะฯ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็เร่งทำงาน แต่เขาก็ไม่พอใจ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร หากเขาจะฟ้องก็ฟ้อง ถือเสียว่า จะได้เป็นการไปฝึกสมองให้ฉลาดๆ ผมก็เห็นเขาเป็นคนดี คนเก่ง คนกว้าง" นายไพฑูรย์ กล่าว
**กกต.เกลือเป็นหนอน
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยถึงการสอบสวนภายในของ กกต. เกี่ยวกับคดีฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้ง โดยเฉพาะประเด็นเอกสารบางอย่างที่ตกไปอยู่ในมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ว่า ทาง กกต.ตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้ และได้ดำเนินการแจ้งความเรื่องลักทรัพย์ไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ระบุตัวบุคคลทำ ซึ่งจนถึงขณะนี้พอจะทราบตัวบุคคลที่นำเอกสารของ กกต.ออกไปภายนอกแล้ว บอกได้แต่เพียงว่า เป็นคนในทำเอง
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างดีเอสไอ และ กกต.เรื่องกรอบอำนาจการดำเนินการทางคดีฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้งนั้น นายสุทธิพล กล่าวว่า ภายในอาทิตย์หน้านี้ กกต.จะทำหนังสือถึงดีเอสไอ เพื่อทักท้วงกรณีดังกล่าว ซึ่งหากทางดีเอสไอ ยังยืนยันอำนาจตามเดิม กกต.จะทำหนังสือเชิญดีเอสไอมาหารืออีกครั้งต่อไป
**ฟ้องอดีตกกต. 50 ล.ปลดไม่เป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้นัดไต่สวนมูลฟ้องต่อคดีอาญาที่ ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ อดีตเลขาธิการ กกต. เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ในฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้า โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
ทั้งนี้ ร.ต.วิจิตร ได้ให้ทนายโจทย์นำ นายสหาย ทรัพย์สุนทรกุล อดีตรองอัยการสูงสุด เป็นพยานเข้าเบิกความต่อศาลแล้ว และศาลก็ได้มีคำสั่งว่า คดีมีมูลตามคำฟ้อง พร้อมทั้งนัดให้จำเลยทั้ง 4 คน มาศาลเพื่อยื่นคำให้การในวันที่ 23 มิ.ย.51 เวลา 09.00 น.
อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวสืบเนื่องมากจากที่ กกต.ได้ลงมติปลด ร.ต.วิจิตร ออกจากตำแหน่งเลขาธิการ กกต. จากกรณีการจัดซื้อรถยนต์กะบะจำนวน 75 คัน เพื่อใช้ประโยชน์ประจำสำนักงานกกต.ประจำจังหวัด แต่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดระเบียบพัสดุฯ เรื่องก็ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) และได้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล ร.ต.วิจิตรไม่ได้กระทำผิดตามที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินกล่าวหา และได้แจ้งให้ยุติเรื่องแล้ว แต่กกต.ชุดนี้ ก็ยังได้ออกคำสั่งปลดดังกล่าวอีก ซึ่งร.ต.วิจิตร เห็นว่าถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียซื่อเสียง จึงยื่นฟ้องอดีตกกต.ทั้ง 4 คน เป็นคดีอาญาในคดีนี้ และฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้เพิกถอนคำสั่ง และให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา