เอเอฟพี/รอยเตอร์ – ไอเออีเอ หน่วยงานกำกับตรวจสอบเรื่องปรมาณูของสหประชาชาติ แถลงเมื่อวานนี้(25) แสดงความโกรธกริ้วต่อสหรัฐฯ ที่เก็บงำไม่ยอมแจ้งข่าวกรองเรื่องซีเรียกำลังสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์อย่างลับๆ ด้วยความช่วยเหลือของเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกัน ก็วิพากษ์วิจารณ์อิสราเอล ซึ่งถูกอ้างว่าลงมือทิ้งระเบิดทำลายเตาปฏิกรณ์ดังกล่าวในเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยไม่ให้โอกาสแก่ไอเออีเอดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริง
ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) บอกในคำแถลงว่า ทางสหรัฐฯเพิ่งส่งข้อกล่าวหาต่างๆ เหล่านี้มาให้ทราบเมื่อวันพฤหัสบดี(24) และทางหน่วยงานก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังร้ายแรงที่ควรค่าแก่การดำเนินการสอบสวน
“ซีเรียมีพันธะผูกพันภายใต้ข้อตกลงเพื่อการป้องกันซึ่งประเทศนี้ทำไว้กับไอเออีเอ ที่จะต้องรายงานการวางแผนและการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ก็ตามทางด้านนิวเคลียร์” คำแถลงไอเออีเอแสดงน้ำเสียงตำหนิซีเรีย กระนั้นก็ตาม หน่วยงานแห่งนี้ก็วิพากษ์วิจารณ์วิธีจัดการกับเรื่องนี้ของสหรัฐฯและอิสราเอลด้วย
โมฮาเหม็ด เอลบาราเด ผู้อำนวยการใหญ่ของไอเออีเอ “รู้สึกเสียใจมากต่อข้อเท็จจริง” ที่ว่าข้อมูลข่าวสารในเรื่องนี้ไม่ได้รีบส่งมาให้แก่หน่วยงานแห่งนี้ ทั้งๆ ที่เป็นวิธีปฏิบัติซึ่งระบุไว้ในสนธิสัญญาห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (เอ็นพีที)
“ตามสนธิสัญญาเอ็นพีที หน่วยงานแห่งนี้คือผู้รับผิดชอบในการพิสูจน์ทราบข้อกล่าวหาเรื่องการแพร่กระจายใดๆ ในรัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกของเอ็นพีที” คำแถลงบอก
“จากที่ได้ระบุไว้แล้วข้างต้น ผู้อำนวยการใหญ่จึงมองการปฏิบัติการทางทหารตามอำเภอใจฝ่ายเดียวของอิสราเอล เป็นการทำลายกระบวนการที่ถูกต้องในการพิสูจน์ทราบ ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบห้ามการแพร่กระจายที่กำลังใช้กันอยู่นี้” คำแถลงกล่าวต่อ
เมื่อวันพฤหัสบดี สหรัฐฯได้กล่าวหาซีเรียว่ากำลังสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์อย่างลับๆ ด้วยความช่วยเหลือของเกาหลีเหนือ ก่อนจะถูกอิสราเอลทิ้งระเบิดทำลายในเดือนกันยายน
“การก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นี้เป็นเรื่องอันตราย และเป็นพัฒนาการซึ่งสามารถที่จะทำลายเสถียรภาพของภูมิภาคแถบนี้และของโลก ระบบการปกครองซีเรียจะต้องชำระตัวเองให้สะอาดต่อหน้าทั่วโลก” โฆษกทำเนียบขาว แดนา เปริโน กล่าวในคำแถลงความยาว 2 หน้า
ในคำแถลงซึ่งนำออกเผยแพร่ ภายหลังพวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ไปบรรยายสรุปให้สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันพฤหัสบดี โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า “เรามีเหตุผลอันดีที่จะเชื่อว่าเตาปฏิกรณ์ ... ไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้เพื่อจุดประสงค์ทางสันติ”
ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสทางด้านข่าวกรองของสหรัฐฯผู้หนึ่งบอกว่า เตาปฏิกรณ์ของซีเรียถูกอิสราเอลทำลายด้วยการโจมตีทางอากาศเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2007 ขณะที่สร้างมาใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ในตอนนั้นจะยังไม่ได้ติดตั้งเชื้อเพลิงยูเรเนียมเลยก็ตาม
“อิสราเอลรู้สึกว่าเตาปฏิกรณ์นี้กำลังก่อให้เกิดภัยคุกคาม จนกระทั่งจำเป็นต้องใช้วิธีแก้ปัญหาแบบอื่น” เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าว
ระหว่างการบรรยายสรุปให้พวกผู้สื่อข่าวฟัง เจ้าหน้าที่อาวุโสของอเมริกาหลายคนบอกว่า อิสราเอลกับสหรัฐฯได้มีการหารือถึงขั้นตอนที่จะกระทำ ทว่าอิสราเอลลงมือโจมตีเองโดยไม่ได้รับสัญญาณไฟเขียวจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายซีเรียได้ออกคำแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯในเรื่องการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ พร้อมกับระบุว่าคณะรัฐบาลสหรัฐฯดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เครื่องบินอิสราเอลเข้าโจมตี “ภาคตะวันออกของซีเรีย” ในเดือนกันยายน
ทั้งนี้เป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า อิสราเอลเป็นชาติเดียวในตะวันออกกลางที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ อยู่ในเวลานี้ โดยคลังแสงนิวเคลียร์ตั้งอยู่ที่ดิโมนา ซึ่งเป็นโรงงานที่ไม่เคยมีต่างชาติเข้าไปตรวจสอบได้เลย และยุทธศาสตร์ของอิสราเอลก็มุ่งที่จะป้องกันสุดฤทธิ์ไม่ให้ชาติปรปักษ์ในภูมิภาคแถบนี้ใดๆ หาอาวุธนิวเคลียร์มาไว้ในกำมือได้สำเร็จ
อนึ่ง เป็นที่วิตกกันว่า การเปิดโปงคราวนี้ อาจกระทบการเจรจา 6 ฝ่ายซึ่งมุ่งให้เกาหลีเหนือทำลายโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา ถึงแม้หัวหน้าคณะผู้เจรจาของสหรัฐฯ คริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ได้ออกมาแถลงว่า ข่าวกรองของอเมริกันบ่งชี้ว่า ระหว่างโสมแดงกับซีเรียนั้น ไม่ได้มี “การร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน”
ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) บอกในคำแถลงว่า ทางสหรัฐฯเพิ่งส่งข้อกล่าวหาต่างๆ เหล่านี้มาให้ทราบเมื่อวันพฤหัสบดี(24) และทางหน่วยงานก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังร้ายแรงที่ควรค่าแก่การดำเนินการสอบสวน
“ซีเรียมีพันธะผูกพันภายใต้ข้อตกลงเพื่อการป้องกันซึ่งประเทศนี้ทำไว้กับไอเออีเอ ที่จะต้องรายงานการวางแผนและการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ก็ตามทางด้านนิวเคลียร์” คำแถลงไอเออีเอแสดงน้ำเสียงตำหนิซีเรีย กระนั้นก็ตาม หน่วยงานแห่งนี้ก็วิพากษ์วิจารณ์วิธีจัดการกับเรื่องนี้ของสหรัฐฯและอิสราเอลด้วย
โมฮาเหม็ด เอลบาราเด ผู้อำนวยการใหญ่ของไอเออีเอ “รู้สึกเสียใจมากต่อข้อเท็จจริง” ที่ว่าข้อมูลข่าวสารในเรื่องนี้ไม่ได้รีบส่งมาให้แก่หน่วยงานแห่งนี้ ทั้งๆ ที่เป็นวิธีปฏิบัติซึ่งระบุไว้ในสนธิสัญญาห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (เอ็นพีที)
“ตามสนธิสัญญาเอ็นพีที หน่วยงานแห่งนี้คือผู้รับผิดชอบในการพิสูจน์ทราบข้อกล่าวหาเรื่องการแพร่กระจายใดๆ ในรัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกของเอ็นพีที” คำแถลงบอก
“จากที่ได้ระบุไว้แล้วข้างต้น ผู้อำนวยการใหญ่จึงมองการปฏิบัติการทางทหารตามอำเภอใจฝ่ายเดียวของอิสราเอล เป็นการทำลายกระบวนการที่ถูกต้องในการพิสูจน์ทราบ ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบห้ามการแพร่กระจายที่กำลังใช้กันอยู่นี้” คำแถลงกล่าวต่อ
เมื่อวันพฤหัสบดี สหรัฐฯได้กล่าวหาซีเรียว่ากำลังสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์อย่างลับๆ ด้วยความช่วยเหลือของเกาหลีเหนือ ก่อนจะถูกอิสราเอลทิ้งระเบิดทำลายในเดือนกันยายน
“การก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นี้เป็นเรื่องอันตราย และเป็นพัฒนาการซึ่งสามารถที่จะทำลายเสถียรภาพของภูมิภาคแถบนี้และของโลก ระบบการปกครองซีเรียจะต้องชำระตัวเองให้สะอาดต่อหน้าทั่วโลก” โฆษกทำเนียบขาว แดนา เปริโน กล่าวในคำแถลงความยาว 2 หน้า
ในคำแถลงซึ่งนำออกเผยแพร่ ภายหลังพวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ไปบรรยายสรุปให้สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันพฤหัสบดี โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า “เรามีเหตุผลอันดีที่จะเชื่อว่าเตาปฏิกรณ์ ... ไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้เพื่อจุดประสงค์ทางสันติ”
ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสทางด้านข่าวกรองของสหรัฐฯผู้หนึ่งบอกว่า เตาปฏิกรณ์ของซีเรียถูกอิสราเอลทำลายด้วยการโจมตีทางอากาศเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2007 ขณะที่สร้างมาใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ในตอนนั้นจะยังไม่ได้ติดตั้งเชื้อเพลิงยูเรเนียมเลยก็ตาม
“อิสราเอลรู้สึกว่าเตาปฏิกรณ์นี้กำลังก่อให้เกิดภัยคุกคาม จนกระทั่งจำเป็นต้องใช้วิธีแก้ปัญหาแบบอื่น” เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าว
ระหว่างการบรรยายสรุปให้พวกผู้สื่อข่าวฟัง เจ้าหน้าที่อาวุโสของอเมริกาหลายคนบอกว่า อิสราเอลกับสหรัฐฯได้มีการหารือถึงขั้นตอนที่จะกระทำ ทว่าอิสราเอลลงมือโจมตีเองโดยไม่ได้รับสัญญาณไฟเขียวจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายซีเรียได้ออกคำแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯในเรื่องการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ พร้อมกับระบุว่าคณะรัฐบาลสหรัฐฯดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เครื่องบินอิสราเอลเข้าโจมตี “ภาคตะวันออกของซีเรีย” ในเดือนกันยายน
ทั้งนี้เป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า อิสราเอลเป็นชาติเดียวในตะวันออกกลางที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ อยู่ในเวลานี้ โดยคลังแสงนิวเคลียร์ตั้งอยู่ที่ดิโมนา ซึ่งเป็นโรงงานที่ไม่เคยมีต่างชาติเข้าไปตรวจสอบได้เลย และยุทธศาสตร์ของอิสราเอลก็มุ่งที่จะป้องกันสุดฤทธิ์ไม่ให้ชาติปรปักษ์ในภูมิภาคแถบนี้ใดๆ หาอาวุธนิวเคลียร์มาไว้ในกำมือได้สำเร็จ
อนึ่ง เป็นที่วิตกกันว่า การเปิดโปงคราวนี้ อาจกระทบการเจรจา 6 ฝ่ายซึ่งมุ่งให้เกาหลีเหนือทำลายโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา ถึงแม้หัวหน้าคณะผู้เจรจาของสหรัฐฯ คริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ได้ออกมาแถลงว่า ข่าวกรองของอเมริกันบ่งชี้ว่า ระหว่างโสมแดงกับซีเรียนั้น ไม่ได้มี “การร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน”