ท่านผู้อ่านที่เคารพ ในฉบับที่แล้วผมทิ้งท้ายไว้ว่า
“กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมาย จะทำลายเสียเมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้ เพื่ออำนาจของบุคคลคนหนึ่งและหมู่คณะที่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายมาตั้งแต่ 8 พฤษภาคม 2544 มาแล้ว”
ผมขออภัยในความผิดพลาดเรื่องวันเวลา ผมขอเปลี่ยนจากวันที่ 8 พฤษภาคม 2544 มาเป็นวันที่ 3 สิงหาคม 2544
วันนั้นเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนับคะแนนผิด ด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 ปล่อยให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลุดจากคดีซุกหุ้นไป
หลังจากนั้นกฎหมายในประเทศไทยไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมาย จะทำลายเสียเมื่อใดอย่างไรก็ได้ ตราบที่บุคคลคนหนึ่งและหมู่คณะสามารถครองอำนาจรัฐ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย
บุคคลคนนั้นหรือหมู่คณะกับลูกน้องบริวารเป็นใครและทำอะไรกันบ้าง น่าจะมีผู้ศึกษาวิจัย และวิเคราะห์ไว้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงธรรม เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดแสงสว่างและปัญญาแด่แผ่นดิน
ณ ขณะที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ศาลอุทธรณ์เพิ่งอ่านคำตัดสิน ยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำคุกอดีต กกต. 3 นาย ที่ได้รับสมญาจากสื่อและประชาชนทั่วไปว่า 3 หนา 5 ห่วง เพื่อเตือนความทรงจำ “พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต., นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต.ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 24 และ มาตรา 42
สืบเนื่องจากกรณี กกต.ทั้ง 3 คนได้ร่วมกันจัดการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตรอบใหม่ เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2549 โดยไม่มีอำนาจ และออกหนังสือเวียนถึง ผอ.กต.เขตเลือกตั้งให้รับผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่ถึงร้อยละ 20 เปลี่ยนเขตลงสมัครในรอบใหม่ อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนลงรับสมัครเลือกตั้งรอบใหม่ เพื่อช่วยให้ผู้สมัครรายเดียวพรรคไทยรักไทยหลีกเลี่ยงเกณฑ์ร้อยละ 20 โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2549 โดยพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ให้จำคุก 4 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองโดยไม่รอลงอาญา
คดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องและเป็นการฟ้องซ้ำ อีกทั้งจำเลยที่ 2 และ 4 ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา รวมทั้งอุทธรณ์ขอลดโทษ โดยอ้างคุณงามความดีที่เคยปฏิบัติหน้าที่มา
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งโดยเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองหนึ่ง ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคไทยรักไทย เพื่อเลี่ยงหลักเกณฑ์ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การที่จำเลยอ้างว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่รับประเทศชาติ แต่การที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง กกต.กลับไม่ได้ดำเนินการหรือประพฤติตัวตามหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบแล้ว จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 4 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองโดยไม่รอลงอาญา”
เวลาจากวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 เป็นเวลาอันแสนนาน แต่อาจกล่าวได้ว่าถ้าหากไม่มีเหตุการณ์วันที่ 3 สิงหาคม 2544 ก็จะไม่มีเหตุการณ์วันที่ 25 กรกฎาคม 2549 หรือแม้กระทั่งวันที่ 24 เมษายน 2551 เกิดขึ้นได้เพราะเรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะคนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ยอมรับโทษตามกฎหมาย จึงเกิดการทำลายกติกาและความถูกต้องในสังคมและระบบความยุติธรรมในประเทศเป็นระลอกๆ ต่างกรรมต่างวาระทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองต่อเนื่องยาวนานมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
การกระทำผิดกฎหมายของ กกต.ทั้ง 3 ก็เป็นกรณีตัวอย่างอีกอันหนึ่งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยของพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในอำนาจ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการทำลายกฎหมาย ความยุติธรรม และหลักการของประชาธิปไตยแม้แต่น้อย
และการกระทำในทำนองเดียวกันนี้ ทั้งที่เป็นคดีความอยู่นับไม่ถ้วน และที่ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันอีกไม่น้อย ก็อาจจะเงียบหายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไปก็ได้ หากผู้มีอำนาจรัฐปัจจุบันอยู่ใต้อาณัติบัญชาของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือพรรคตัวแทนของพ.ต.ท.ทักษิณ ปล้นอำนาจของศาลไปให้สภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งแทน ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมาย จะทำลายเสียเมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้ เพื่ออำนาจของบุคคลคนหนึ่งและหมู่คณะที่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายมาตั้งแต่ 8 พฤษภาคม 2544 มาแล้ว”
ผมขออภัยในความผิดพลาดเรื่องวันเวลา ผมขอเปลี่ยนจากวันที่ 8 พฤษภาคม 2544 มาเป็นวันที่ 3 สิงหาคม 2544
วันนั้นเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนับคะแนนผิด ด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 ปล่อยให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลุดจากคดีซุกหุ้นไป
หลังจากนั้นกฎหมายในประเทศไทยไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมาย จะทำลายเสียเมื่อใดอย่างไรก็ได้ ตราบที่บุคคลคนหนึ่งและหมู่คณะสามารถครองอำนาจรัฐ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย
บุคคลคนนั้นหรือหมู่คณะกับลูกน้องบริวารเป็นใครและทำอะไรกันบ้าง น่าจะมีผู้ศึกษาวิจัย และวิเคราะห์ไว้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงธรรม เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดแสงสว่างและปัญญาแด่แผ่นดิน
ณ ขณะที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ศาลอุทธรณ์เพิ่งอ่านคำตัดสิน ยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำคุกอดีต กกต. 3 นาย ที่ได้รับสมญาจากสื่อและประชาชนทั่วไปว่า 3 หนา 5 ห่วง เพื่อเตือนความทรงจำ “พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต., นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต.ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 24 และ มาตรา 42
สืบเนื่องจากกรณี กกต.ทั้ง 3 คนได้ร่วมกันจัดการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตรอบใหม่ เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2549 โดยไม่มีอำนาจ และออกหนังสือเวียนถึง ผอ.กต.เขตเลือกตั้งให้รับผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่ถึงร้อยละ 20 เปลี่ยนเขตลงสมัครในรอบใหม่ อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนลงรับสมัครเลือกตั้งรอบใหม่ เพื่อช่วยให้ผู้สมัครรายเดียวพรรคไทยรักไทยหลีกเลี่ยงเกณฑ์ร้อยละ 20 โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2549 โดยพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ให้จำคุก 4 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองโดยไม่รอลงอาญา
คดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องและเป็นการฟ้องซ้ำ อีกทั้งจำเลยที่ 2 และ 4 ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา รวมทั้งอุทธรณ์ขอลดโทษ โดยอ้างคุณงามความดีที่เคยปฏิบัติหน้าที่มา
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งโดยเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองหนึ่ง ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคไทยรักไทย เพื่อเลี่ยงหลักเกณฑ์ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การที่จำเลยอ้างว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่รับประเทศชาติ แต่การที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง กกต.กลับไม่ได้ดำเนินการหรือประพฤติตัวตามหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบแล้ว จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 4 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองโดยไม่รอลงอาญา”
เวลาจากวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 เป็นเวลาอันแสนนาน แต่อาจกล่าวได้ว่าถ้าหากไม่มีเหตุการณ์วันที่ 3 สิงหาคม 2544 ก็จะไม่มีเหตุการณ์วันที่ 25 กรกฎาคม 2549 หรือแม้กระทั่งวันที่ 24 เมษายน 2551 เกิดขึ้นได้เพราะเรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะคนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ยอมรับโทษตามกฎหมาย จึงเกิดการทำลายกติกาและความถูกต้องในสังคมและระบบความยุติธรรมในประเทศเป็นระลอกๆ ต่างกรรมต่างวาระทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองต่อเนื่องยาวนานมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
การกระทำผิดกฎหมายของ กกต.ทั้ง 3 ก็เป็นกรณีตัวอย่างอีกอันหนึ่งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยของพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในอำนาจ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการทำลายกฎหมาย ความยุติธรรม และหลักการของประชาธิปไตยแม้แต่น้อย
และการกระทำในทำนองเดียวกันนี้ ทั้งที่เป็นคดีความอยู่นับไม่ถ้วน และที่ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันอีกไม่น้อย ก็อาจจะเงียบหายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไปก็ได้ หากผู้มีอำนาจรัฐปัจจุบันอยู่ใต้อาณัติบัญชาของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือพรรคตัวแทนของพ.ต.ท.ทักษิณ ปล้นอำนาจของศาลไปให้สภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งแทน ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ