"ชวน" ป้องน้องชายไม่ได้ฉ้อราษฎ์ เพราะไม่ใช่ ขรก. เตือน "สมัคร" ระวังปากจะสร้างคดีเพิ่ม ตำหนิยืมสื่อรัฐด่าคนอื่น ย้ำใบปลิวมีจริง แต่ไม่ได้ระบุคนในรัฐบาลทำ เรียกร้องรัฐบาลจัดการจริงจัง จับตา "หมัก" จะจัดการเรื่องก้อนกรวดในรองพระบาทหรือไม่ ก่อนถูกข้อหาเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ด้าน "หมัก" ไฟเขียวให้ลิ่วล้อเปิดทำเนียบโต้ชวน ส่วนผบ.ทบ.บอกเรื่องใบปลิว ไม่ใช่ธุระของกองทัพ
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พาดพิงถึง นายระลึก หลีกภัย น้องชาย ผ่านรายการสนทนาประสาสมัคร เรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงว่า เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะน้องชายของตน ไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่เป็นพนักงานธนาคาร ซึ่งเมื่อทำผิดพลาด ก็ถูกธนาคารเล่นงานไปแล้ว แต่นายสมัคร ก็หยิบประเด็นมาพาดพิงผิดๆ ซึ่งตนเห็นว่าไม่เป็นธรรมที่จะใช้สื่อของรัฐในการกล่าวหาคนอื่น โดยขณะนี้นายระลึก ก็อยู่เงียบๆ มีหน้าที่ดูแลนางถ้วน หลีกภัย มารดา ที่บ้านแทนพี่น้องคนอื่นที่ต้องทำงาน
นายชวน กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้นายสมัคร เกิดความเข้าใจผิดจนออกมาพาดพิงถึงน้องชายตน เป็นเพราะมีสื่อมวลชนมาขอสัมภาษณ์เป็นการภายใน ให้วิเคราะห์การเมืองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตนก็ไม่ได้พาดพิงว่านายสมัครไม่มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแต่วิเคราะห์ถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง 3 เรื่อง ซึ่ง 2 เรื่องแรก เป็นเรื่องของนายสมัครโดยตรง คือ เรื่องคดีที่อยู่ในศาล 1 เรื่อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไปแล้วให้จำคุก 4 กระทง จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตอนนี้อยู่ระหว่างการสู้ในศาลอุทธรณ์ ถ้ากรณีนี้ศาลสูงตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ความเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะจบลง รัฐบาลก็จะล้มทันที และหากคดีนี้จะจบลงได้ก็ต่อเมื่อ ผู้เสียหายถอนฟ้องหรือศาลตัดสินกลับ แต่ในกรณีถอนฟ้องก็ทราบมาว่าได้มีการให้พระไปคุยกับนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม. ซึ่งก็ยังเสี่ยงอยู่
สำหรับคดีที่ 2 คือ เรื่องรถดับเพลิง ที่เกิดขึ้นระหว่างเป็นผู้ว่าฯกทม. โดย คตส.ชี้มูลไปแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นศาล ซึ่งถ้าผิดจริง ก็จะหนักยิ่งกว่าคดีหมิ่นประมาท อีกคดีคือ เรื่องยุบพรรคตาม มาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ ถ้าพรรคถูกยุบไปก็จะเป็นเช่นเดียวกับการยุบพรรคไทยรักไทย พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องเปลี่ยนรัฐบาลเลือกตั้งกันใหม่ในบางตำแหน่ง เหล่านี้คือสิ่งที่ตนวิเคราะห์ ซึ่งในพรรคประชาธิปัตย์เราได้พูดกันว่า พลังประชาชนเขากล้าที่จะนำชื่อนายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาที่มีปัญหาอยู่แล้วขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่ใช่มีปัญหาทีหลัง ถ้าวันข้างหน้าเกิดกรณีเหล่านี้ขึ้นจริงใครจะรับผิดชอบ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดมาก่อนในการแต่งตั้งตำแหน่งเหล่านี้ จึงถือเป็นเรื่องที่แตกต่างจากอดีตมาก
"ผมไม่ได้พูดว่านายสมัครไม่เหมาะสม หรือเป็นคนไม่ดี ไม่เคยว่าท่าน และไม่มีสิทธิ์จะว่าท่านด้วย เพราะเมื่อชนะเลือกตั้งท่านก็มีสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ความเหมาะสมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงไม่แน่ใจว่าท่านไปหยิบประเด็นอะไรมา"
จวกใช้สื่อรัฐไม่เหมาะสม
นายชวน กล่าวด้วยว่าได้เห็นนายสมัคร ใช้สื่อของรัฐ ด้วยความไม่เหมาะสมมาตลอด ใช้สื่อเพื่อว่าคนนั้นคนนี้ ด่าคนนั้นคนนี้ ซึ่งไม่ควรจะทำ และไม่ใช่กรณีน้องคนคนเดียวเท่านั้น รวมทั้งคนอื่นด้วยก็ไม่ควรทำ
"ท่านมีสิทธิ์ใช้สื่อของรัฐในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งน่าจะเป็นการแถลงการปฏิบัติภารกิจสิ่งที่ท่านทำ หรือที่กำลังจะทำ แต่การใช้สื่อของรัฐด่าคนอื่นมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว และไม่เป็นธรรมด้วย ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนี้ แต่ก็มันก็อยู่ที่ความสำนึกของท่านเอง ความจริงเรื่องอย่างนี้มันไม่ยาก เพราะคนทั่วไปก็รู้อยู่แล้วว่ามันเหมาะหรือไม่อยากเรียนว่า ขอให้ท่านนายกฯ ระวังว่าการจะพูดตรงไปตรงมา ต้องพูดความจริง และท่านก็ต้องยอมรับตัวเองด้วยว่า ท่านถูกคดีหมิ่นประมาทเยอะมาก เฉพาะคดีของคุณสามารถ ก็ 5 คดีแล้ว เมื่อมีคดีก็เป็นความไม่น่าพอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นต้องมาระวัง เพราะถ้ามีปัญหาวันข้างหน้าอีก ก็จะมาบ่นอีก ดังนั้นคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าไปพูดพาดพิงเขา" นายชวน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะฟ้องเพิ่มอีกคดีหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า น้องชายจะทำอย่างไรต่อไปก็คงเป็นสิทธิ์ของเขา แต่น้องชายตนไม่ใช่ข้าราชการ จึงไม่ได้ไปฉ้อราษฎร์บังหลวงอะไร ส่วนที่นายสมัคร ออกมาพาดพิงเช่นนี้เพราะต้องการดิสเครดิตตนหรือไม่นั้น คิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องดิสเครดิต เพราะตนไม่ใช่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างหากที่เป็นคู่แข่งท่าน ตนเป็นแค่ประธานสภาที่ปรึกษาเท่านั้นเอง และไม่ได้เป็นปฎิปักษ์กับท่าน
"ผมคิดว่าการที่นายกฯพูดเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ผมเสียความน่าเชื่อถือ แต่จะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวท่านเอง เพราะหากพูดอะไรไปไม่ตรง ก็จะเสียหาย อย่างผมวิเคราะห์การเมืองออกไป ถ้าวิเคราะห์ผิดก็วิจารณ์กลับมาได้ แต่นี่ท่านเลยเถิดลามไปถึงญาติพี่น้อง โดยที่ผมไม่ได้ว่าอะไรท่าน ผมวิเคราะห์ว่าพรรคพลังประชาชนกล้า ไม่ได้บอกว่าท่านกล้าที่เสนอคนที่มีปัญหาอยู่แล้วให้ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เราทำวิธีการแบบเปิดเผยตรงไปตรงมา ที่ผมเห็นด้วยเพราะดีกว่าไปออกใบปลิว"นายชวน กล่าว
ยันใบปลิวโจมตี "ป๋า" มีจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นเพราะท่านออกมาเปิดเผยเรื่องใบปลิวหรือไม่ จึงทำให้นายกฯ และพรรคพลังประชาชนออกมาโจมตี ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีคนปักษ์ใต้ และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี บังเอิญนักข่าวติดใจประเด็นของประธานองคมนตรี ก็มาติดตามต่อ ซึ่งความจริงกระบวนการนี้ทำมานานแล้ว หยาบคาย หมิ่นประมาทชัดเจน สิ่งที่ตนเสนอไปก็เพื่อหวังว่าจะได้รับความร่วมมือที่จะได้เรียกร้องความสามัคคี เพราะการจะสามัคคีต้องทำให้เงื่อนไขความขัดแย้งหมดไป นั่นคืออย่าไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือทำลับหลัง ไม่ซื่อตรง
ไม่ใช่ว่าต่อหน้าเรียกร้องความสามัคคี แล้วทำร้ายเขาด้วยการคุกคามด้วยเอกสาร คนที่อยู่ในที่แจ้งก็ไม่สามารถโฆษณา หรือแก้ตัวได้ ถ้าแจกร้อยคนแล้วมีคนเชื่อสิบคนก็มีผลทั้งนั้น ตนไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้ทำ แต่เมื่อมีปฏิกิริยาออกมาก็ดี ดังนั้นขอให้รัฐบาลร่วมมือกันดีกว่า เพื่อแก้ปัญหา เพราะกระบวนการนี้ไม่ใช่คนธรรมดา มีทั้งเงินและเครื่องมือ อยากเชิญชวนรัฐบาล และรัฐมนตรีมาร่วมมือกัน แต่เอกสารก็ให้รัฐมนตรีไม่ได้ เพราะตามกฎหมายรัฐมนตรีไม่ใช่เจ้าหน้าที่
"อย่าไปตั้งหลักว่า สิ่งที่ผมนำมาพูดแล้วไประบุว่า ท่านเป็นผู้ทำ ซึ่งผมไม่ได้พูดเลย แต่หลายคนก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราพูดแล้วต้องหมายถึงท่าน เพราะถ้ารู้และหลายคนก็ท้าว่า ถ้าผิดจริงทำไมไม่ฟ้อง ก็เพราะว่ามันไม่รู้น่ะสิว่าใครเป็นคนทำ จึงฟ้องไม่ได้ ถ้าเรารู้ เราก็แจ้งความดำเนินคดี"นายชวน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่รัฐบาลไม่ดำเนินการเรื่องนี้แต่กลับโยนภาระมาให้ท่านเป็นผู้ไปแจ้งความดำเนินคดี นายชวน กล่าวว่า ตนคิดว่าเขาคงไม่อยากรับรู้สิ่งเหล่านี้มากกว่า เพราะมันเป็นเรื่องที่หากไปรับแล้วก็ต้องไปล่าตาม เดี๋ยวตามไม่ได้ ก็จะเป็นความรับผิดชอบของเขาไป แต่จะได้ตัวหรือไม่ได้ตัว ก็เป็นส่วนหนึ่งที่อยากได้คือความจริงใจที่จะมาร่วมมือกัน และไม่อยากให้ดูดาย เหมือนดูประหนึ่งว่า การด่าผู้หลักผู้ใหญ่เป็นเรื่องช่างหัวเพราะไม่ใช่ตัวเรา
เมื่อถามว่า นายสมัคร เคยพูดในรายการสนทนาประสาสมัคร เกี่ยวกับหนังสือก้อนกรวดในรองพระบาท แต่กลับไม่ดำเนินการอะไร ในเรื่องนี้ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เคยนำเสนอประเด็นนี้แล้ว ก็รอดูว่าท่านจะทำอย่างไร แต่อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องแจ้งความฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เลย เดี๋ยวจะมีเรื่องอื่นตามมาอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสมัคร กับนายชวนเป็นเพื่อนนิติศาสตร์รุ่นเดียวกัน เมื่อเกิดกรณีพาดพิงยังมีความเป็นเพื่อนอีกหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ความเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อน ตนว่านายสมัครก็ไม่มีอะไร เคยอยู่ด้วยกันในพรรค ท่านเป็นสมาชิกตนก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนท่าน และไม่มีอะไรเป็นส่วนตัวที่จะไปรังเกียจ หรือจะไปทำอะไรท่าน ต่างคนต่างอยู่ เมื่อออกจากพรรคไปแล้ว ท่านก็ไปหาความก้าวหน้าในพรรคใหม่ของท่าน ตนก็อยู่ที่เดิม โดยส่วนตัวไม่มีอะไรกัน
"หมัก" ไฟเขียวลิ่วล้อโต้ "ชวน"
ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับสัญญาณไฟเขียวจากนายกรัฐมนตรี ให้เปิดตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล แถลงชี้แจงเรื่องนี้ ว่าการที่นายกฯ ต้องพูด เพราะว่าถูกนายชวน ระบุว่านายสมัคร เป็นคนที่มีคดีติดตัว และเข้ามาเป็นนายกฯ ดังนั้นจึงได้หยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นมา
"เพื่อแป็นการเทียบเคียงว่า หากคุณชวน แสดงอาการรังเกียจผู้ที่คุณชวนกล่าวอ้างว่าต้องคดีต่างๆ แล้วนั้น ซึ่งคดีลหุโทษของนายกฯ คือคดีหมิ่นประมาทกับคดีของน้องชายตัวเอง คือฉ้อโกง ที่ต้องหลบหนีจนสิ้นอายุความนั้น อันใดที่จะสร้างความรู้สึกตะขิดตะขวงหนักใจให้กับคุณชวนในการทำงานร่วมกัน หรืออยู่ร่วมกันมากกว่า" รองโฆษกรัฐบาล กล่าว และว่าตนไม่อยากให้นายระลึก ใช้โอกาสนี้ประกาศตัวเองว่า จะลงสนามการเมืองในการเลือกตั้งคราวหน้า
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวชี้แจงถึงกรณีที่นายสมัคร ใช้สื่อของรัฐในการตอบโต้ว่า ขอให้เข้าใจตรงกันว่า ตั้งแต่ต้นที่รัฐบาลทำงานอยู่ รัฐบาลและนายกฯไม่ได้มีความคิด นโยบาย หรือแนวทางที่จะไปรุกรานบุคคล หรือองค์กรหนึ่งองค์กรใดเลย เพราะกำลังตั้งใจปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้อยู่ เพียงแต่ว่าที่ต้องชี้แจงหรือตอบโต้การกล่าวหาทางการเมืองผ่านรายการนั้นบ้าง เพราะว่าท่านเป็นผู้นำรัฐบาล เมื่อท่านเป็นผู้นำรัฐบาลก็จำเป็นต้องใช้สื่อของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่น สร้างความศรัทธา ปกป้องเสถียรภาพของรัฐบาลที่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชน
"เจ๊เพ็ญ" ไม่ขอเอี่ยววิวาทะ "หมัก-ชวน"
นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสื่อของรัฐ กล่าวถึงประเด็นที่ นายสมัคร ใช้สื่อของรัฐโจมตีน้องชายนายชวน ว่า ท่านนายกฯ และนายชวน เป็นเพื่อนกัน ก็ให้เพื่อนคุยกันด้วยภาษาดอกไม้ดีกว่า อย่าให้ตนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เรื่องนี้คงเป็นแค่หยิกแกมหยอกกันตามประสาเพื่อน
เมื่อถามว่า เรื่องใบปลิวโจมตี องคมนตรี หลังจากนายชวน ออกมาแสดงเอกสารหลักฐาน จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายจักรภพ กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้ที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะคนที่หยิบเรื่องนี้ไม่ใช่คนเล็กคนน้อย เป็นอดีตนายกฯ อดีตผู้นำฝ่ายค้าน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตนคิดว่านายชวน รู้วิธีดีกว่าใคร ว่าจะดำเนินการอย่างไร ก็คอยฟังว่าท่านมีความจริงจังที่จะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไปแค่ไหน หรือเพียงแค่เป็นข่าว 3-4 วัน แล้วจบกันไป
เร่งตรวจสอบใบปลิวโจมตี "ป๋า"
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายชวน นำใบปลิวและซีดีโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกมาเปิดเผยว่า พล.อ.เปรม ถือเป็นผู้ใหญ่ของประเทศ และถือเป็นปูชนียบุคคลที่ต้องเคารพนับถือ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า พล.อ. วินัย มีความห่วงใยใน เรื่องนี้ จึงสั่งการให้นายทหารใกล้ชิดรวบรวมเอกสารทั้งใบปลิวและซีดีที่โจมตี พล.อ.เปรม นำมาตรวจสอบด้วย
ผบ.ทบ.บอกธุระไม่ใช่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงการใช้ใบปลิวโจมตี พล.อ.เปรม ว่า เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง สื่อมวลชนจะต้องช่วยกัน อย่าให้สังคมหลงงมงายในการใช้สื่อดังกล่าว และอีกส่วนหนึ่ง คือการที่เรายกย่องบุคคลของชาติ เป็นรัฐบุรุษ และเราไปทำกันอย่างนี้ประเทศชาติอื่นเขาจะมองเราอย่างไร
"ผมคิดว่าไม่เหมาะสมด้วยเหตุผลของสังคมไม่น่าใช้สื่อในลักษณะแบบนั้น การที่เราทำกับบุคคลที่เป็นเคารพของประเทศในภาพรวมแล้วไม่น่าเหมาะสม" พล.อ.อนุพงษ์ ระบุ
เมื่อถามว่า ได้รับรายงานเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีการรายงาน เมื่อถามว่าได้มีการสั่งให้ตรวจสอบหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ในหน้าที่ตนไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ตามกฎหมาย เราจะไปนั่งเก็บใบปลิว และมาพิจารณามันไม่ใช่เรื่องของกองทัพบก ใครมีหน้าที่ตามกฎหมายก็ทำไป
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ได้เรียกพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.เข้าพบ เพื่อให้ไปตรวจสอบ และสืบสวนสอบสวนกรณีมีใบปลิวโจมตี พล.อ.เปรม หากพบว่ามีการกระทำผิดให้ดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน โดยได้มอบหมายแนวทางการสืบสวนว่า ควรหาข้อมูลเพิ่มเติม และให้ตำรวจสันติบาล ออกติดตาม ทั้งนี้หากพรรคประชาธิปัตย์ส่งหลักฐานมาให้ ก็จะช่วยร่นระยะเวลาของการทำงานของตำรวจได้
"ทางตำรวจนครบาลมีข้อมูลตั้งแต่สมัยที่มีการชุมนุมที่สนามหลวง จึงทำให้รู้ที่มาที่ไปอยู่บ้าง ซึ่งขณะนี้เขารับภารกิจไปแล้ว และผมไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา เพียงแต่ต้องทำความจริงให้ปรากฎโดยเร็วที่สุด และต้องเป็นไปตามพยานหลักฐาน อย่าไปทำนอกกรอบ ซึ่งเขามือโปรอยู่แล้ว"ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พาดพิงถึง นายระลึก หลีกภัย น้องชาย ผ่านรายการสนทนาประสาสมัคร เรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงว่า เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะน้องชายของตน ไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่เป็นพนักงานธนาคาร ซึ่งเมื่อทำผิดพลาด ก็ถูกธนาคารเล่นงานไปแล้ว แต่นายสมัคร ก็หยิบประเด็นมาพาดพิงผิดๆ ซึ่งตนเห็นว่าไม่เป็นธรรมที่จะใช้สื่อของรัฐในการกล่าวหาคนอื่น โดยขณะนี้นายระลึก ก็อยู่เงียบๆ มีหน้าที่ดูแลนางถ้วน หลีกภัย มารดา ที่บ้านแทนพี่น้องคนอื่นที่ต้องทำงาน
นายชวน กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้นายสมัคร เกิดความเข้าใจผิดจนออกมาพาดพิงถึงน้องชายตน เป็นเพราะมีสื่อมวลชนมาขอสัมภาษณ์เป็นการภายใน ให้วิเคราะห์การเมืองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตนก็ไม่ได้พาดพิงว่านายสมัครไม่มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแต่วิเคราะห์ถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง 3 เรื่อง ซึ่ง 2 เรื่องแรก เป็นเรื่องของนายสมัครโดยตรง คือ เรื่องคดีที่อยู่ในศาล 1 เรื่อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไปแล้วให้จำคุก 4 กระทง จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตอนนี้อยู่ระหว่างการสู้ในศาลอุทธรณ์ ถ้ากรณีนี้ศาลสูงตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ความเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะจบลง รัฐบาลก็จะล้มทันที และหากคดีนี้จะจบลงได้ก็ต่อเมื่อ ผู้เสียหายถอนฟ้องหรือศาลตัดสินกลับ แต่ในกรณีถอนฟ้องก็ทราบมาว่าได้มีการให้พระไปคุยกับนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม. ซึ่งก็ยังเสี่ยงอยู่
สำหรับคดีที่ 2 คือ เรื่องรถดับเพลิง ที่เกิดขึ้นระหว่างเป็นผู้ว่าฯกทม. โดย คตส.ชี้มูลไปแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นศาล ซึ่งถ้าผิดจริง ก็จะหนักยิ่งกว่าคดีหมิ่นประมาท อีกคดีคือ เรื่องยุบพรรคตาม มาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ ถ้าพรรคถูกยุบไปก็จะเป็นเช่นเดียวกับการยุบพรรคไทยรักไทย พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องเปลี่ยนรัฐบาลเลือกตั้งกันใหม่ในบางตำแหน่ง เหล่านี้คือสิ่งที่ตนวิเคราะห์ ซึ่งในพรรคประชาธิปัตย์เราได้พูดกันว่า พลังประชาชนเขากล้าที่จะนำชื่อนายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาที่มีปัญหาอยู่แล้วขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่ใช่มีปัญหาทีหลัง ถ้าวันข้างหน้าเกิดกรณีเหล่านี้ขึ้นจริงใครจะรับผิดชอบ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดมาก่อนในการแต่งตั้งตำแหน่งเหล่านี้ จึงถือเป็นเรื่องที่แตกต่างจากอดีตมาก
"ผมไม่ได้พูดว่านายสมัครไม่เหมาะสม หรือเป็นคนไม่ดี ไม่เคยว่าท่าน และไม่มีสิทธิ์จะว่าท่านด้วย เพราะเมื่อชนะเลือกตั้งท่านก็มีสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ความเหมาะสมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงไม่แน่ใจว่าท่านไปหยิบประเด็นอะไรมา"
จวกใช้สื่อรัฐไม่เหมาะสม
นายชวน กล่าวด้วยว่าได้เห็นนายสมัคร ใช้สื่อของรัฐ ด้วยความไม่เหมาะสมมาตลอด ใช้สื่อเพื่อว่าคนนั้นคนนี้ ด่าคนนั้นคนนี้ ซึ่งไม่ควรจะทำ และไม่ใช่กรณีน้องคนคนเดียวเท่านั้น รวมทั้งคนอื่นด้วยก็ไม่ควรทำ
"ท่านมีสิทธิ์ใช้สื่อของรัฐในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งน่าจะเป็นการแถลงการปฏิบัติภารกิจสิ่งที่ท่านทำ หรือที่กำลังจะทำ แต่การใช้สื่อของรัฐด่าคนอื่นมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว และไม่เป็นธรรมด้วย ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนี้ แต่ก็มันก็อยู่ที่ความสำนึกของท่านเอง ความจริงเรื่องอย่างนี้มันไม่ยาก เพราะคนทั่วไปก็รู้อยู่แล้วว่ามันเหมาะหรือไม่อยากเรียนว่า ขอให้ท่านนายกฯ ระวังว่าการจะพูดตรงไปตรงมา ต้องพูดความจริง และท่านก็ต้องยอมรับตัวเองด้วยว่า ท่านถูกคดีหมิ่นประมาทเยอะมาก เฉพาะคดีของคุณสามารถ ก็ 5 คดีแล้ว เมื่อมีคดีก็เป็นความไม่น่าพอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นต้องมาระวัง เพราะถ้ามีปัญหาวันข้างหน้าอีก ก็จะมาบ่นอีก ดังนั้นคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าไปพูดพาดพิงเขา" นายชวน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะฟ้องเพิ่มอีกคดีหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า น้องชายจะทำอย่างไรต่อไปก็คงเป็นสิทธิ์ของเขา แต่น้องชายตนไม่ใช่ข้าราชการ จึงไม่ได้ไปฉ้อราษฎร์บังหลวงอะไร ส่วนที่นายสมัคร ออกมาพาดพิงเช่นนี้เพราะต้องการดิสเครดิตตนหรือไม่นั้น คิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องดิสเครดิต เพราะตนไม่ใช่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างหากที่เป็นคู่แข่งท่าน ตนเป็นแค่ประธานสภาที่ปรึกษาเท่านั้นเอง และไม่ได้เป็นปฎิปักษ์กับท่าน
"ผมคิดว่าการที่นายกฯพูดเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ผมเสียความน่าเชื่อถือ แต่จะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวท่านเอง เพราะหากพูดอะไรไปไม่ตรง ก็จะเสียหาย อย่างผมวิเคราะห์การเมืองออกไป ถ้าวิเคราะห์ผิดก็วิจารณ์กลับมาได้ แต่นี่ท่านเลยเถิดลามไปถึงญาติพี่น้อง โดยที่ผมไม่ได้ว่าอะไรท่าน ผมวิเคราะห์ว่าพรรคพลังประชาชนกล้า ไม่ได้บอกว่าท่านกล้าที่เสนอคนที่มีปัญหาอยู่แล้วให้ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เราทำวิธีการแบบเปิดเผยตรงไปตรงมา ที่ผมเห็นด้วยเพราะดีกว่าไปออกใบปลิว"นายชวน กล่าว
ยันใบปลิวโจมตี "ป๋า" มีจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นเพราะท่านออกมาเปิดเผยเรื่องใบปลิวหรือไม่ จึงทำให้นายกฯ และพรรคพลังประชาชนออกมาโจมตี ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีคนปักษ์ใต้ และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี บังเอิญนักข่าวติดใจประเด็นของประธานองคมนตรี ก็มาติดตามต่อ ซึ่งความจริงกระบวนการนี้ทำมานานแล้ว หยาบคาย หมิ่นประมาทชัดเจน สิ่งที่ตนเสนอไปก็เพื่อหวังว่าจะได้รับความร่วมมือที่จะได้เรียกร้องความสามัคคี เพราะการจะสามัคคีต้องทำให้เงื่อนไขความขัดแย้งหมดไป นั่นคืออย่าไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือทำลับหลัง ไม่ซื่อตรง
ไม่ใช่ว่าต่อหน้าเรียกร้องความสามัคคี แล้วทำร้ายเขาด้วยการคุกคามด้วยเอกสาร คนที่อยู่ในที่แจ้งก็ไม่สามารถโฆษณา หรือแก้ตัวได้ ถ้าแจกร้อยคนแล้วมีคนเชื่อสิบคนก็มีผลทั้งนั้น ตนไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้ทำ แต่เมื่อมีปฏิกิริยาออกมาก็ดี ดังนั้นขอให้รัฐบาลร่วมมือกันดีกว่า เพื่อแก้ปัญหา เพราะกระบวนการนี้ไม่ใช่คนธรรมดา มีทั้งเงินและเครื่องมือ อยากเชิญชวนรัฐบาล และรัฐมนตรีมาร่วมมือกัน แต่เอกสารก็ให้รัฐมนตรีไม่ได้ เพราะตามกฎหมายรัฐมนตรีไม่ใช่เจ้าหน้าที่
"อย่าไปตั้งหลักว่า สิ่งที่ผมนำมาพูดแล้วไประบุว่า ท่านเป็นผู้ทำ ซึ่งผมไม่ได้พูดเลย แต่หลายคนก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราพูดแล้วต้องหมายถึงท่าน เพราะถ้ารู้และหลายคนก็ท้าว่า ถ้าผิดจริงทำไมไม่ฟ้อง ก็เพราะว่ามันไม่รู้น่ะสิว่าใครเป็นคนทำ จึงฟ้องไม่ได้ ถ้าเรารู้ เราก็แจ้งความดำเนินคดี"นายชวน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่รัฐบาลไม่ดำเนินการเรื่องนี้แต่กลับโยนภาระมาให้ท่านเป็นผู้ไปแจ้งความดำเนินคดี นายชวน กล่าวว่า ตนคิดว่าเขาคงไม่อยากรับรู้สิ่งเหล่านี้มากกว่า เพราะมันเป็นเรื่องที่หากไปรับแล้วก็ต้องไปล่าตาม เดี๋ยวตามไม่ได้ ก็จะเป็นความรับผิดชอบของเขาไป แต่จะได้ตัวหรือไม่ได้ตัว ก็เป็นส่วนหนึ่งที่อยากได้คือความจริงใจที่จะมาร่วมมือกัน และไม่อยากให้ดูดาย เหมือนดูประหนึ่งว่า การด่าผู้หลักผู้ใหญ่เป็นเรื่องช่างหัวเพราะไม่ใช่ตัวเรา
เมื่อถามว่า นายสมัคร เคยพูดในรายการสนทนาประสาสมัคร เกี่ยวกับหนังสือก้อนกรวดในรองพระบาท แต่กลับไม่ดำเนินการอะไร ในเรื่องนี้ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เคยนำเสนอประเด็นนี้แล้ว ก็รอดูว่าท่านจะทำอย่างไร แต่อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องแจ้งความฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เลย เดี๋ยวจะมีเรื่องอื่นตามมาอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสมัคร กับนายชวนเป็นเพื่อนนิติศาสตร์รุ่นเดียวกัน เมื่อเกิดกรณีพาดพิงยังมีความเป็นเพื่อนอีกหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ความเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อน ตนว่านายสมัครก็ไม่มีอะไร เคยอยู่ด้วยกันในพรรค ท่านเป็นสมาชิกตนก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนท่าน และไม่มีอะไรเป็นส่วนตัวที่จะไปรังเกียจ หรือจะไปทำอะไรท่าน ต่างคนต่างอยู่ เมื่อออกจากพรรคไปแล้ว ท่านก็ไปหาความก้าวหน้าในพรรคใหม่ของท่าน ตนก็อยู่ที่เดิม โดยส่วนตัวไม่มีอะไรกัน
"หมัก" ไฟเขียวลิ่วล้อโต้ "ชวน"
ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับสัญญาณไฟเขียวจากนายกรัฐมนตรี ให้เปิดตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล แถลงชี้แจงเรื่องนี้ ว่าการที่นายกฯ ต้องพูด เพราะว่าถูกนายชวน ระบุว่านายสมัคร เป็นคนที่มีคดีติดตัว และเข้ามาเป็นนายกฯ ดังนั้นจึงได้หยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นมา
"เพื่อแป็นการเทียบเคียงว่า หากคุณชวน แสดงอาการรังเกียจผู้ที่คุณชวนกล่าวอ้างว่าต้องคดีต่างๆ แล้วนั้น ซึ่งคดีลหุโทษของนายกฯ คือคดีหมิ่นประมาทกับคดีของน้องชายตัวเอง คือฉ้อโกง ที่ต้องหลบหนีจนสิ้นอายุความนั้น อันใดที่จะสร้างความรู้สึกตะขิดตะขวงหนักใจให้กับคุณชวนในการทำงานร่วมกัน หรืออยู่ร่วมกันมากกว่า" รองโฆษกรัฐบาล กล่าว และว่าตนไม่อยากให้นายระลึก ใช้โอกาสนี้ประกาศตัวเองว่า จะลงสนามการเมืองในการเลือกตั้งคราวหน้า
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวชี้แจงถึงกรณีที่นายสมัคร ใช้สื่อของรัฐในการตอบโต้ว่า ขอให้เข้าใจตรงกันว่า ตั้งแต่ต้นที่รัฐบาลทำงานอยู่ รัฐบาลและนายกฯไม่ได้มีความคิด นโยบาย หรือแนวทางที่จะไปรุกรานบุคคล หรือองค์กรหนึ่งองค์กรใดเลย เพราะกำลังตั้งใจปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้อยู่ เพียงแต่ว่าที่ต้องชี้แจงหรือตอบโต้การกล่าวหาทางการเมืองผ่านรายการนั้นบ้าง เพราะว่าท่านเป็นผู้นำรัฐบาล เมื่อท่านเป็นผู้นำรัฐบาลก็จำเป็นต้องใช้สื่อของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่น สร้างความศรัทธา ปกป้องเสถียรภาพของรัฐบาลที่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชน
"เจ๊เพ็ญ" ไม่ขอเอี่ยววิวาทะ "หมัก-ชวน"
นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสื่อของรัฐ กล่าวถึงประเด็นที่ นายสมัคร ใช้สื่อของรัฐโจมตีน้องชายนายชวน ว่า ท่านนายกฯ และนายชวน เป็นเพื่อนกัน ก็ให้เพื่อนคุยกันด้วยภาษาดอกไม้ดีกว่า อย่าให้ตนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เรื่องนี้คงเป็นแค่หยิกแกมหยอกกันตามประสาเพื่อน
เมื่อถามว่า เรื่องใบปลิวโจมตี องคมนตรี หลังจากนายชวน ออกมาแสดงเอกสารหลักฐาน จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายจักรภพ กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้ที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะคนที่หยิบเรื่องนี้ไม่ใช่คนเล็กคนน้อย เป็นอดีตนายกฯ อดีตผู้นำฝ่ายค้าน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตนคิดว่านายชวน รู้วิธีดีกว่าใคร ว่าจะดำเนินการอย่างไร ก็คอยฟังว่าท่านมีความจริงจังที่จะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไปแค่ไหน หรือเพียงแค่เป็นข่าว 3-4 วัน แล้วจบกันไป
เร่งตรวจสอบใบปลิวโจมตี "ป๋า"
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายชวน นำใบปลิวและซีดีโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกมาเปิดเผยว่า พล.อ.เปรม ถือเป็นผู้ใหญ่ของประเทศ และถือเป็นปูชนียบุคคลที่ต้องเคารพนับถือ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า พล.อ. วินัย มีความห่วงใยใน เรื่องนี้ จึงสั่งการให้นายทหารใกล้ชิดรวบรวมเอกสารทั้งใบปลิวและซีดีที่โจมตี พล.อ.เปรม นำมาตรวจสอบด้วย
ผบ.ทบ.บอกธุระไม่ใช่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงการใช้ใบปลิวโจมตี พล.อ.เปรม ว่า เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง สื่อมวลชนจะต้องช่วยกัน อย่าให้สังคมหลงงมงายในการใช้สื่อดังกล่าว และอีกส่วนหนึ่ง คือการที่เรายกย่องบุคคลของชาติ เป็นรัฐบุรุษ และเราไปทำกันอย่างนี้ประเทศชาติอื่นเขาจะมองเราอย่างไร
"ผมคิดว่าไม่เหมาะสมด้วยเหตุผลของสังคมไม่น่าใช้สื่อในลักษณะแบบนั้น การที่เราทำกับบุคคลที่เป็นเคารพของประเทศในภาพรวมแล้วไม่น่าเหมาะสม" พล.อ.อนุพงษ์ ระบุ
เมื่อถามว่า ได้รับรายงานเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีการรายงาน เมื่อถามว่าได้มีการสั่งให้ตรวจสอบหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ในหน้าที่ตนไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ตามกฎหมาย เราจะไปนั่งเก็บใบปลิว และมาพิจารณามันไม่ใช่เรื่องของกองทัพบก ใครมีหน้าที่ตามกฎหมายก็ทำไป
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ได้เรียกพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.เข้าพบ เพื่อให้ไปตรวจสอบ และสืบสวนสอบสวนกรณีมีใบปลิวโจมตี พล.อ.เปรม หากพบว่ามีการกระทำผิดให้ดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน โดยได้มอบหมายแนวทางการสืบสวนว่า ควรหาข้อมูลเพิ่มเติม และให้ตำรวจสันติบาล ออกติดตาม ทั้งนี้หากพรรคประชาธิปัตย์ส่งหลักฐานมาให้ ก็จะช่วยร่นระยะเวลาของการทำงานของตำรวจได้
"ทางตำรวจนครบาลมีข้อมูลตั้งแต่สมัยที่มีการชุมนุมที่สนามหลวง จึงทำให้รู้ที่มาที่ไปอยู่บ้าง ซึ่งขณะนี้เขารับภารกิจไปแล้ว และผมไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา เพียงแต่ต้องทำความจริงให้ปรากฎโดยเร็วที่สุด และต้องเป็นไปตามพยานหลักฐาน อย่าไปทำนอกกรอบ ซึ่งเขามือโปรอยู่แล้ว"ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว