ปตท.ออกโรงเตือนเองให้ประชาชนรับมือเร่งประหยัดยอมรับโอกาสเห็นดีเซลตลาดโลกแตะ 150 เหรียญต่อบาร์เรลใกล้เข้ามาซึ่งจะดันราคาขายปลีกไทยสูงถึง 35 บาทต่อลิตร ผู้ค้าจ่อขยับราคาอีกสัปดาห์นี้ เริ่มเห็นดีเซล 3 ลิตร 100 ทันที ด้านนักวิชาการเตือนทุกฝ่ายรับมือมองน้ำมันพุ่งสูงเริ่มเกิดจากดีมานด์อย่างแท้จริง และอาจทดสอบข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำมันเริ่มหมดลง "ลิเบีย"บอกราคาน้ำมันดิบโลกอาจไต่ถึง 120 ดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ และเศรษฐกิจโลกยังสามารถรับมือไหว ขณะที่ "ไออีเอ" องค์กรด้านพลังงานเหล่าปท.อุตสาหกรรม ยอมรับเวลานี้แทบไม่เห็นทางยับยั้งราคาไม่ให้ขึ้นต่อ ด้านประเทศสมาชิก "โอเปก" ก็ประสานเสียงแสดงท่าทีไม่ขยับเพิ่มการผลิต โดยต่างชี้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผลผลิตไม่เพียงพอ
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้คงจะต้องติดตามราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ในส่วนของดีเซลที่ปกติจะต้องปรับตัวลดลงเพราะหมดฤดูหนาวและจะเริ่มสู่ฤดูท่องเที่ยวแทนแต่กลับพบว่าราคาดีเซลแพงขึ้นมาก เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีปริมาณการใช้น้ำมันเป็นจำนวนมากจนทำให้ปริมาณสำรองน้ำมันลดลงจากเดิมอยู่ที่ระดับ 200 ล้านบาร์เรล เหลือเพียง 150-160 ล้านบาร์เรลจึงมีแนวโน้มที่จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นอีกในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าจึงค่อนข้างเป็นห่วงว่าดีเซลจะแตะ 150 เหรียญต่อบาร์เรลหรือคิดเป็นราคาขายปลีกไทยจะอยู่ที่ 35 บาทต่อลิตรได้สูง
อย่างไรก็ตามประชาชนควรจะใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อลดภาระที่จะเกิดขึ้นและปตท.จะพยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนซึ่งผลจากการช่วยดูแลราคาไม่ให้สูงขึ้นด้วยการรับภาระบางช่วงทำให้ปีนี้ ปตท.จะต้องรับภาระขาดทุนจากการขายปลีกน้ำมันประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการรับภาระขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่3นับตั้งแต่ปี 2549 ที่ขาดทุน 3,600 ล้านบาท ปี 2550 ขาดทุน 2,900 ล้านบาทแต่ภาพรวมธุรกิจการกลั่นน้ำมันยังพอมีกำไรเล็กน้อยจึงสามารถนำส่วนนี้มาชดเชยประกอบกับการขายน้ำมันส่วนอื่นๆ เช่นน้ำมันเครื่องบินทำให้คาดว่าน่าจะขาดทุนสุทธิ 3,500-4,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ใน 5 ปีข้างหน้า (51-55) กลุ่มบริษัทในเครือของ ปตท. มีแผนใช้เงินลงทุน 7 - 8 แสนล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศซึ่งจะเน้นการลงทุนส่วนของธุรกิจการกลั่น การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมให้มากขึ้นเพื่อรองรับกับภาวะวิกฤติน้ำมันแพงในอนาคตได้อย่างมีศักยภาพและสามารถคานอำนาจบริษัทต่างชาติในการกำหนดราคาขายปลีกในประเทศได้ดีขึ้นอีกด้วย
" ไม่ได้ว่าจะไปบิดเบือนกลไกตลาดแต่จะคานอำนาจในการปรับไม่ให้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ประชาชนเดือดร้อนเกินไป การลงทุนดังกล่าวจะทำให้ปตท.มีขนาดใหญ่ขึ้นมีรายได้รวมเพิ่มจากปัจจุบัน 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี เป็น 2 ล้านล้านบาทในปี'55"นายประเสริฐกล่าว
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันยอมรับว่ามีทิศทางสูงขึ้นจากความต้องการเพิ่มทั้งจีน อินเดีย ประกอบกับมีการเก็งกำไรจากเฮดฟันด์ แต่ไทยยังมีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่จะช่วยทำให้บรรเทาวิกฤติน้ำมันแพงได้พอสมควร แต่ในอนาคตแล้วในที่สุดประเทศไทยก็คงจะต้องหันพึ่งพลังงานอื่นๆ ประกอบด้วยเพื่อความมั่นคงเช่น นิวเคลียร์ ไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน พลังงานทดแทนเพราะท้ายสุดราคาก๊าซธรรมชาติก็จะสะท้อนน้ำมัน 6 เดือน- 1ปีเช่นกัน
**จ่อขยับอีกสัปดาห์นี้เห็นดีเซล3ลิตร100บ.
แหล่งข่าวจากวงการน้ำมันกล่าวว่า มีแนวโน้มสูงที่ผู้ค้าน้ำมันจะปรับราคาขายปลีกอีกครั้งโดยเฉพาะเชลล์เนื่องจากไม่มีโรงกลั่นเป็นของตนเองทำให้ค่าการตลาดจะติดลบสูงกว่ารายอื่นๆ โดยเฉพาะดีเซลดังนั้นหากเชลล์ปรับขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อลิตรก็จะเริ่มเห็นดีเซลแตะ 3 ลิตร 100 บาททันทีจากขณะนี้ราคาเชลล์แพงกว่าปตท.และบางจากอยู่ 50 สตางค์ต่อลิตรโดยอยู่ที่ระดับ 32.94 บาทต่อลิตร และจะต้องติดตามราคาน้ำมันตลาดโลกส่วนของน้ำมันดิบที่จะเริ่มทดสอบระดับ 120 เหรียญต่อบาร์เรลในเวลาอันใกล้นี้
นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า คงไม่ไหลเกินไปสำหรับดีเซลที่จะเห็น 3 ลิตร 100 บาทเร็วๆ นี้และคงจะต้องมองไปในระดับ 35 บาทต่อลิตรหากราคาตลาดโลกยังคงมีทิศทางที่สูงขึ้นอีก โดยยอมรับว่าเร็ว ๆ นี้จะเห็นน้ำมันดิบ 120 เหรียญต่อบาร์เรลและอาจจะมองไกลไประดับ 150 เหรียญต่อบาร์เรลได้เช่นกันแต่ก็ยังหวังว่าปีนี้คงไม่เห็นระดับ 200 เหรียญต่อบาร์เรลเนื่องจากขณะนี้ต้องยอมรับว่าความต้องการที่สูงขึ้นมาจากจีนที่ต้องสต็อกไว้รองรับกีฬาโอลิมปิก
**ราคาน้ำมันแพงถาวร
นายเทียนไชย์ จงพีร์เพียร นักวิชาการด้านพลังงานกล่าวว่า ดูจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปแล้วไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไรเหมือนกรณีน้ำมันดิบแต่เกิดจากความต้องการที่แท้จริงหรือเรียกว่าเป็นปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นสิ่งที่จะต้องมองต่อไปก็คือความต้องการที่สูงขึ้นปกติจะดันให้ทุกฝ่ายผลิตเพิ่มขึ้นมากแต่ดูจากการผลิตแล้วกลับนิ่งและไม่ได้เพิ่มขึ้นยังคงระดับเดิมจึงอาจบ่งชี้ได้ว่าโลกเริ่มไม่มีน้ำมันใหม่เกิดขึ้น หรือว่ากรณีที่เคยมีบางฝ่ายเคยระบุว่าน้ำมันเริ่มที่จะหมดลงนั้นอาจเป็นข้อเท็จจริงได้หรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดดังนั้นระยะสั้นนี้ไทยต้องเตรียมทำใจรับมือน้ำมันแพงแบบถาวรแล้ว
"น้ำมันถ้าดูความต้องการที่สูงขึ้นจากจีน อินเดีย ในส่วนของสำเร็จรูปแล้วบ่งชี้ว่าจะเป็นการแพงแบบถาวรเว้นแต่ภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศทั่วโลกจะหดตัวอย่างรุนแรงเท่านั้น จึงเห็นว่าหากรัฐจะมีการช่วยเหลือหรืออุดหนุนผ่านราคาให้ต่ำไปจากข้อเท็จจริงแล้วจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยเพราะดูแบบนี้มั่นใจว่าปีนี้น้ำมันจะอยู่ระดับสูงแบบถาวรจริงๆ "นายเทียนไชยกล่าว
**"ลิเบีย"บอกสัปดาห์นี้ถึง 120 ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานขึ้นสร้างสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งเมื่อวันศุกร์(18)ที่ผ่านมา โดยสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด เพื่อการส่งมอบเดือนพฤษภาคม ของตลาดไนเม็กซ์แห่งนิวยอร์ก ไต่ขึ้นไปแตะระดับ 117 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในการซื้อขายระหว่างวันช่วงหนึ่ง แม้จะถอยลงมาและปิดตลาดที่ 116.69 ดอลลาร์ แต่ก็ถือเป็นระดับราคาปิดซึ่งเป็นนิวไฮเช่นกัน และสูงขึ้นจากตอนปิดวันพฤหัสบดี 1.83 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ ของตลาดลอนดอนในวันเดียวกัน ก็ทำสถิติสูงสุดในการซื้อขายระหว่างวัน ณ 114.22 ดอลลาร์ ก่อนจะลงมาทำสถิติสูงสุดใหม่สำหรับราคาปิดที่ 113.92 ดอลลาร์ บวกขึ้นจากวันก่อน 1.49 ดอลลาร์
โชครี กอเนม ประธานบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับท็อปด้านน้ำมันของประเทศนี้ ที่เป็นสมาชิกรายหนึ่งขององค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ได้กล่าวที่กรุงโรมในวันเสาร์(19)ว่า เป็นที่คาดคะเนกันมาหลายปีแล้วว่ายุคสมัยของน้ำมันราคาถูกกำลังจบสิ้นลงแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าราคาจะกระโจนพรวดจนถึงระดับ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ดังนั้นมันจึงอาจจะขึ้นไปจนถึง 120 ดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ก็ได้
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกก็ "ยังไม่ได้ไปถึงจุดแห่งการเปลี่ยนแปลงพลิกผัน จุดซึ่งมันไม่สามารถแบกรับราคาที่ขยับสูงขึ้นได้อีกแล้ว" เป็นความเห็นของกอเนม ซึ่งเดินทางไปกรุงโรมเพื่อเข้าร่วมการประชุม "เวทีประชุมด้านพลังงานระหว่างประเทศ" ที่เริ่มขึ้นเมื่อวานนี้ โดยมีผู้เข้าร่วมราว 500 คน รวมทั้งบรรดารัฐมนตรีน้ำมันของชาติโอเปก และผู้บริหารระดับท็อปของเหล่าบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่
** "ไออีเอ"รับไม่เห็นทางหยุดราคา
ทางด้าน วิลเลียม แรมเซย์ รองผู้อำนวยการบริหาร ของ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมที่กรุงโรมคราวนี้เช่นกัน แสดงความคิดเห็นเมื่อวันเสาร์ว่า ราคาน้ำมันซึ่งทะยานลิ่วๆ เช่นนี้ เรียกร้องให้ต้องมีการตอบโต้ทางจากด้านดีมานด์และก็จากด้านซัปพลาย โดยเขาเองหวังว่าจะเริ่มที่การตอบโต้ด้านดีมานด์ได้ก่อน เพราะมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า อีกทั้งยังเป็นเรื่องซึ่งมีการพูดจาหารือกันมากแล้ว
แรมเซย์บอกว่า สำหรับขณะนี้แทบไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งไม่ให้ราคาน้ำมันเดินหน้าไต่สูงขึ้นต่อไปได้ กระนั้น เมื่อถูกจี้ถามว่า คิดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นไปได้ถึงขนาดไหน เขาก็ตอบว่า "ยังมีทางที่จะไปได้อีกไม่มากนักหรอก"
**โอเปกประสานเสียงไม่เกี่ยวราคา
บรรดารัฐมนตรีด้านน้ำมันของสมาชิกโอเปกหลายประเทศ ก็ได้แสดงความเห็นที่กรุงโรมเช่นกัน โดยเฉพาะการตอบโต้เสียงเรียกร้องของพวกประเทศผู้บริโภค อาทิ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ ของอังกฤษ ที่จะให้โอเปกผลิตมากขึ้น เพื่อดึงให้ราคาน้ำมันลดต่ำลงมา
อาลี อัลไนมี รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย บอกว่า ราคาที่กำลังทะยานขึ้นนี้ ไม่ได้ส่วนข้องอะไรเลยสักนิดกับปัจจัยพื้นฐานด้านดีมานด์-ซัปพลาย แต่สาเหตุมาจากพวกนักลงทุนที่กำลังใช้น้ำมันเป็นเครื่องประกันความเสี่ยง จากภาวะที่ค่าเงินดอลลาร์หล่นฮวบ ดังนั้น เขาจึงไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มการผลิต เพราะเมื่อน้ำมันซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ ออกมาท่วมตลาด ก็มีแต่ทำให้ตลาดไร้เสถียรภาพ
ขณะที่ โมฮัมหมัด อัล โอลาอิม รักษาการรัฐมนตรีน้ำมันคูเวต ก็ยืนยันวานนี้ในทำนองเดียวกันว่า ปัจจัยดีมานด์-ซัปพลายไม่ได้เป็นตัวการทำให้ราคาน้ำมันแพง พร้อมกับบอกด้วยว่า ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการผลิตจริงๆ โอเปกก็จะพิจารณา
สำหรับประธานโอเปกวาระปัจจุบัน ชอกิบ เคลิล ซึ่งเป็นรัฐมนตรีน้ำมันแอลจีเรีย กล่าวระหว่างติดตามประธานาธิบดีแอลจีเรียไปเยือนคูเวตเมื่อวานนี้ว่า โอเปกไม่ควรเพิ่มการผลิตในตอนนี้ เพราะตลาดมีความสมดุลดีอยู่แล้ว
อนึ่งเมื่อวันศุกร์ มาห์มุด อาหมัดดิเนจัด ประธานาธิบดีอิหร่าน ซึ่งเป็นสมาชิกสำคัญรายหนึ่งของโอเปก ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า น้ำมันเวลานี้ยังมีราคาถูกเกินไป เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ จึงควรที่จะเสาะหาระดับราคาแท้จริงของตน โดยราคาที่กำหนดเป็นดอลลาร์อยู่เวลานี้ ถือเป็นตัวเลขหลอกลวง
อาหมัดดิเนจัดยังชี้ว่า การที่เงินดอลลาร์ร่วงกราวรูดนี่เอง เป็นพลังขับดันสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้น
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้คงจะต้องติดตามราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ในส่วนของดีเซลที่ปกติจะต้องปรับตัวลดลงเพราะหมดฤดูหนาวและจะเริ่มสู่ฤดูท่องเที่ยวแทนแต่กลับพบว่าราคาดีเซลแพงขึ้นมาก เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีปริมาณการใช้น้ำมันเป็นจำนวนมากจนทำให้ปริมาณสำรองน้ำมันลดลงจากเดิมอยู่ที่ระดับ 200 ล้านบาร์เรล เหลือเพียง 150-160 ล้านบาร์เรลจึงมีแนวโน้มที่จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นอีกในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าจึงค่อนข้างเป็นห่วงว่าดีเซลจะแตะ 150 เหรียญต่อบาร์เรลหรือคิดเป็นราคาขายปลีกไทยจะอยู่ที่ 35 บาทต่อลิตรได้สูง
อย่างไรก็ตามประชาชนควรจะใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อลดภาระที่จะเกิดขึ้นและปตท.จะพยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนซึ่งผลจากการช่วยดูแลราคาไม่ให้สูงขึ้นด้วยการรับภาระบางช่วงทำให้ปีนี้ ปตท.จะต้องรับภาระขาดทุนจากการขายปลีกน้ำมันประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการรับภาระขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่3นับตั้งแต่ปี 2549 ที่ขาดทุน 3,600 ล้านบาท ปี 2550 ขาดทุน 2,900 ล้านบาทแต่ภาพรวมธุรกิจการกลั่นน้ำมันยังพอมีกำไรเล็กน้อยจึงสามารถนำส่วนนี้มาชดเชยประกอบกับการขายน้ำมันส่วนอื่นๆ เช่นน้ำมันเครื่องบินทำให้คาดว่าน่าจะขาดทุนสุทธิ 3,500-4,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ใน 5 ปีข้างหน้า (51-55) กลุ่มบริษัทในเครือของ ปตท. มีแผนใช้เงินลงทุน 7 - 8 แสนล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศซึ่งจะเน้นการลงทุนส่วนของธุรกิจการกลั่น การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมให้มากขึ้นเพื่อรองรับกับภาวะวิกฤติน้ำมันแพงในอนาคตได้อย่างมีศักยภาพและสามารถคานอำนาจบริษัทต่างชาติในการกำหนดราคาขายปลีกในประเทศได้ดีขึ้นอีกด้วย
" ไม่ได้ว่าจะไปบิดเบือนกลไกตลาดแต่จะคานอำนาจในการปรับไม่ให้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ประชาชนเดือดร้อนเกินไป การลงทุนดังกล่าวจะทำให้ปตท.มีขนาดใหญ่ขึ้นมีรายได้รวมเพิ่มจากปัจจุบัน 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี เป็น 2 ล้านล้านบาทในปี'55"นายประเสริฐกล่าว
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันยอมรับว่ามีทิศทางสูงขึ้นจากความต้องการเพิ่มทั้งจีน อินเดีย ประกอบกับมีการเก็งกำไรจากเฮดฟันด์ แต่ไทยยังมีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่จะช่วยทำให้บรรเทาวิกฤติน้ำมันแพงได้พอสมควร แต่ในอนาคตแล้วในที่สุดประเทศไทยก็คงจะต้องหันพึ่งพลังงานอื่นๆ ประกอบด้วยเพื่อความมั่นคงเช่น นิวเคลียร์ ไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน พลังงานทดแทนเพราะท้ายสุดราคาก๊าซธรรมชาติก็จะสะท้อนน้ำมัน 6 เดือน- 1ปีเช่นกัน
**จ่อขยับอีกสัปดาห์นี้เห็นดีเซล3ลิตร100บ.
แหล่งข่าวจากวงการน้ำมันกล่าวว่า มีแนวโน้มสูงที่ผู้ค้าน้ำมันจะปรับราคาขายปลีกอีกครั้งโดยเฉพาะเชลล์เนื่องจากไม่มีโรงกลั่นเป็นของตนเองทำให้ค่าการตลาดจะติดลบสูงกว่ารายอื่นๆ โดยเฉพาะดีเซลดังนั้นหากเชลล์ปรับขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อลิตรก็จะเริ่มเห็นดีเซลแตะ 3 ลิตร 100 บาททันทีจากขณะนี้ราคาเชลล์แพงกว่าปตท.และบางจากอยู่ 50 สตางค์ต่อลิตรโดยอยู่ที่ระดับ 32.94 บาทต่อลิตร และจะต้องติดตามราคาน้ำมันตลาดโลกส่วนของน้ำมันดิบที่จะเริ่มทดสอบระดับ 120 เหรียญต่อบาร์เรลในเวลาอันใกล้นี้
นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า คงไม่ไหลเกินไปสำหรับดีเซลที่จะเห็น 3 ลิตร 100 บาทเร็วๆ นี้และคงจะต้องมองไปในระดับ 35 บาทต่อลิตรหากราคาตลาดโลกยังคงมีทิศทางที่สูงขึ้นอีก โดยยอมรับว่าเร็ว ๆ นี้จะเห็นน้ำมันดิบ 120 เหรียญต่อบาร์เรลและอาจจะมองไกลไประดับ 150 เหรียญต่อบาร์เรลได้เช่นกันแต่ก็ยังหวังว่าปีนี้คงไม่เห็นระดับ 200 เหรียญต่อบาร์เรลเนื่องจากขณะนี้ต้องยอมรับว่าความต้องการที่สูงขึ้นมาจากจีนที่ต้องสต็อกไว้รองรับกีฬาโอลิมปิก
**ราคาน้ำมันแพงถาวร
นายเทียนไชย์ จงพีร์เพียร นักวิชาการด้านพลังงานกล่าวว่า ดูจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปแล้วไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไรเหมือนกรณีน้ำมันดิบแต่เกิดจากความต้องการที่แท้จริงหรือเรียกว่าเป็นปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นสิ่งที่จะต้องมองต่อไปก็คือความต้องการที่สูงขึ้นปกติจะดันให้ทุกฝ่ายผลิตเพิ่มขึ้นมากแต่ดูจากการผลิตแล้วกลับนิ่งและไม่ได้เพิ่มขึ้นยังคงระดับเดิมจึงอาจบ่งชี้ได้ว่าโลกเริ่มไม่มีน้ำมันใหม่เกิดขึ้น หรือว่ากรณีที่เคยมีบางฝ่ายเคยระบุว่าน้ำมันเริ่มที่จะหมดลงนั้นอาจเป็นข้อเท็จจริงได้หรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดดังนั้นระยะสั้นนี้ไทยต้องเตรียมทำใจรับมือน้ำมันแพงแบบถาวรแล้ว
"น้ำมันถ้าดูความต้องการที่สูงขึ้นจากจีน อินเดีย ในส่วนของสำเร็จรูปแล้วบ่งชี้ว่าจะเป็นการแพงแบบถาวรเว้นแต่ภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศทั่วโลกจะหดตัวอย่างรุนแรงเท่านั้น จึงเห็นว่าหากรัฐจะมีการช่วยเหลือหรืออุดหนุนผ่านราคาให้ต่ำไปจากข้อเท็จจริงแล้วจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยเพราะดูแบบนี้มั่นใจว่าปีนี้น้ำมันจะอยู่ระดับสูงแบบถาวรจริงๆ "นายเทียนไชยกล่าว
**"ลิเบีย"บอกสัปดาห์นี้ถึง 120 ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานขึ้นสร้างสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งเมื่อวันศุกร์(18)ที่ผ่านมา โดยสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด เพื่อการส่งมอบเดือนพฤษภาคม ของตลาดไนเม็กซ์แห่งนิวยอร์ก ไต่ขึ้นไปแตะระดับ 117 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในการซื้อขายระหว่างวันช่วงหนึ่ง แม้จะถอยลงมาและปิดตลาดที่ 116.69 ดอลลาร์ แต่ก็ถือเป็นระดับราคาปิดซึ่งเป็นนิวไฮเช่นกัน และสูงขึ้นจากตอนปิดวันพฤหัสบดี 1.83 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ ของตลาดลอนดอนในวันเดียวกัน ก็ทำสถิติสูงสุดในการซื้อขายระหว่างวัน ณ 114.22 ดอลลาร์ ก่อนจะลงมาทำสถิติสูงสุดใหม่สำหรับราคาปิดที่ 113.92 ดอลลาร์ บวกขึ้นจากวันก่อน 1.49 ดอลลาร์
โชครี กอเนม ประธานบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับท็อปด้านน้ำมันของประเทศนี้ ที่เป็นสมาชิกรายหนึ่งขององค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ได้กล่าวที่กรุงโรมในวันเสาร์(19)ว่า เป็นที่คาดคะเนกันมาหลายปีแล้วว่ายุคสมัยของน้ำมันราคาถูกกำลังจบสิ้นลงแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าราคาจะกระโจนพรวดจนถึงระดับ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ดังนั้นมันจึงอาจจะขึ้นไปจนถึง 120 ดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ก็ได้
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกก็ "ยังไม่ได้ไปถึงจุดแห่งการเปลี่ยนแปลงพลิกผัน จุดซึ่งมันไม่สามารถแบกรับราคาที่ขยับสูงขึ้นได้อีกแล้ว" เป็นความเห็นของกอเนม ซึ่งเดินทางไปกรุงโรมเพื่อเข้าร่วมการประชุม "เวทีประชุมด้านพลังงานระหว่างประเทศ" ที่เริ่มขึ้นเมื่อวานนี้ โดยมีผู้เข้าร่วมราว 500 คน รวมทั้งบรรดารัฐมนตรีน้ำมันของชาติโอเปก และผู้บริหารระดับท็อปของเหล่าบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่
** "ไออีเอ"รับไม่เห็นทางหยุดราคา
ทางด้าน วิลเลียม แรมเซย์ รองผู้อำนวยการบริหาร ของ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมที่กรุงโรมคราวนี้เช่นกัน แสดงความคิดเห็นเมื่อวันเสาร์ว่า ราคาน้ำมันซึ่งทะยานลิ่วๆ เช่นนี้ เรียกร้องให้ต้องมีการตอบโต้ทางจากด้านดีมานด์และก็จากด้านซัปพลาย โดยเขาเองหวังว่าจะเริ่มที่การตอบโต้ด้านดีมานด์ได้ก่อน เพราะมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า อีกทั้งยังเป็นเรื่องซึ่งมีการพูดจาหารือกันมากแล้ว
แรมเซย์บอกว่า สำหรับขณะนี้แทบไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งไม่ให้ราคาน้ำมันเดินหน้าไต่สูงขึ้นต่อไปได้ กระนั้น เมื่อถูกจี้ถามว่า คิดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นไปได้ถึงขนาดไหน เขาก็ตอบว่า "ยังมีทางที่จะไปได้อีกไม่มากนักหรอก"
**โอเปกประสานเสียงไม่เกี่ยวราคา
บรรดารัฐมนตรีด้านน้ำมันของสมาชิกโอเปกหลายประเทศ ก็ได้แสดงความเห็นที่กรุงโรมเช่นกัน โดยเฉพาะการตอบโต้เสียงเรียกร้องของพวกประเทศผู้บริโภค อาทิ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ ของอังกฤษ ที่จะให้โอเปกผลิตมากขึ้น เพื่อดึงให้ราคาน้ำมันลดต่ำลงมา
อาลี อัลไนมี รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย บอกว่า ราคาที่กำลังทะยานขึ้นนี้ ไม่ได้ส่วนข้องอะไรเลยสักนิดกับปัจจัยพื้นฐานด้านดีมานด์-ซัปพลาย แต่สาเหตุมาจากพวกนักลงทุนที่กำลังใช้น้ำมันเป็นเครื่องประกันความเสี่ยง จากภาวะที่ค่าเงินดอลลาร์หล่นฮวบ ดังนั้น เขาจึงไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มการผลิต เพราะเมื่อน้ำมันซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ ออกมาท่วมตลาด ก็มีแต่ทำให้ตลาดไร้เสถียรภาพ
ขณะที่ โมฮัมหมัด อัล โอลาอิม รักษาการรัฐมนตรีน้ำมันคูเวต ก็ยืนยันวานนี้ในทำนองเดียวกันว่า ปัจจัยดีมานด์-ซัปพลายไม่ได้เป็นตัวการทำให้ราคาน้ำมันแพง พร้อมกับบอกด้วยว่า ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการผลิตจริงๆ โอเปกก็จะพิจารณา
สำหรับประธานโอเปกวาระปัจจุบัน ชอกิบ เคลิล ซึ่งเป็นรัฐมนตรีน้ำมันแอลจีเรีย กล่าวระหว่างติดตามประธานาธิบดีแอลจีเรียไปเยือนคูเวตเมื่อวานนี้ว่า โอเปกไม่ควรเพิ่มการผลิตในตอนนี้ เพราะตลาดมีความสมดุลดีอยู่แล้ว
อนึ่งเมื่อวันศุกร์ มาห์มุด อาหมัดดิเนจัด ประธานาธิบดีอิหร่าน ซึ่งเป็นสมาชิกสำคัญรายหนึ่งของโอเปก ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า น้ำมันเวลานี้ยังมีราคาถูกเกินไป เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ จึงควรที่จะเสาะหาระดับราคาแท้จริงของตน โดยราคาที่กำหนดเป็นดอลลาร์อยู่เวลานี้ ถือเป็นตัวเลขหลอกลวง
อาหมัดดิเนจัดยังชี้ว่า การที่เงินดอลลาร์ร่วงกราวรูดนี่เอง เป็นพลังขับดันสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้น