ผู้จัดการรายวัน - “อลงกรณ์” เปิดแผล “เจ๊เพ็ญ” เอื้อเอกชนฮั้วประมูลเอ็นบีที ส่อพิรุธ 2 บริษัทคู่ประมูล มีที่ตั้งอยู่เลขที่เดียวกัน แถมรายหนึ่งทำธุรกิจให้เช่ารถอีกต่างหาก เตรียมส่ง “ดีเอสไอ-สตง.” เชือด ด้าน “เจ๊เพ็ญ” ยันไม่รู้จัก แจง 2 บริษัทเช่าตึกเดียวกันทำธุรกิจไม่แปลก ลั่นหากทำผิดพร้อมฟัน “เทพไท” ซัด “แม้ว” เลิกทำตัวเป็นข่าวหากวางมือจริง จวก “จักรภพ” เป็นกระบอกเสียงใช้โทรทัศน์เอ็นบีทีถ่ายทอดสด เกี่ยวกับ “ทักษิณ” เหมาะสมหรือไม่
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วานนี้ (10 เม.ย.) ซึ่งมี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม ซึ่งในที่ประชุมได้มีการพิจารณากระทู้ถามสด โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหารงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที หรือช่อง 11
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาในการบริหารงานของนายจักรภพ หายใจเข้าออกเป็นเรื่อง สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งถือเป็นผลงานของรัฐมนตรีฯ ก็ได้ แต่จากการตรวจสอบพบความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการเปิดประมูลจัดซื้อจัดจ้าง
แฉคาร์เร้นท์แข่งประมูลทำข่าว
โดยเห็นว่ารัฐมนตรีฯน่าจะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย 2 ฉบับคือ ประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ โดยการเปิดประมูลให้บริษัทเข้ามาดำเนินการในสถานีนี้ มีเพียง 2 บริษัทเข้ามาเสนอราคาเท่านั้นคือ บริษัท ดิจิตอล มีเดีย โพรดักซ์ ที่เสนอให้ค่าตอบแทนปีละ 36 ล้านบาท และบริษัท เคแอลมีเดียโพรดักซ์ ที่เสนอราคา 30 ล้านบาท ซึ่งในที่สุดรัฐมนตรีได้เลือกบริษัทดิจิตอลฯ เป็นบริษัทร่วมผลิตรายการกับกรมประชาสัมพันธ์ มีการลงนามเซ็นสัญญาไปแล้วเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2551
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า เมื่อได้ลงนามในสัญญาแล้ว บริษัท ดิจิตอลฯ ได้เพิ่มวงเงินค่าตอบแทนให้กับกรมประชาสัมพันธ์เป็น 40.5 ล้านบาท โดยมีการคาดการณ์ รายได้จากการร่วมงานว่าบริษัท ดิจิตอลฯจะได้เงินจากการหารายได้ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดจากอัตราค่าโฆษณาชั่วโมงละ 7 นาที จำนวน 9 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งคิดเป็นเวลามากกว่า 50% ของเวลาออกอากาศตลอดทั้งวัน ซึ่งอย่างน้อย กรมประชาสัมพันธ์ควรจะได้รายได้จากการร่วมงานครั้งนี้ ไม่น้อยกว่า 750 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสูญเสียรายได้ที่รัฐควรจะได้รับ
“จากการตรวจสอบแล้วพบว่า บริษัทดิจิตอลฯเพิ่งตั้งขึ้นมาได้ 5-6 เดือนและมีการเขียนข้อเสนอสัญญาเหมือนบริษัทจะรู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าจะมีการเข้าไปรับงานในช่องเอ็นบีที ซึ่งไม่รู้ว่ารัฐมนตรีฯเข้าไป ร่วมเขียนการเสนอรายละเอียดการประมูลด้วยหรือไม่ ขณะที่บริษัทเคแอลเอ็มฯนั้นก็ทำธุรกิจรถเช่ามาก่อน ไม่ทราบทำไมรัฐบาลจึงไม่เลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ หรือว่าเป็นบริษัทที่ผลิตสื่อโดยตรง นอกจากนี้ยังพบข้อสังเกตว่าทั้ง 2 บริษัท มีเลขที่ตั้ง บริษัทอยู่ที่เดียวกัน คือเลขที่ 731 ถนนอโศกดินแดง เขตดินแดง และมีเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวกัน หากเรื่องนี้ถือเป็นความบังเอิญก็ถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่ทั้ง 2 บริษัทจะมีที่ตั้งอยู่ในบ้านเลขที่เดียวกัน” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ที่นายจักรภพบอกว่า คัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพนั้น ไม่ทราบว่าใช้มาตรฐานอะไร เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีการใช้สื่อของรัฐและงบประมาณของรัฐ ไปในเรื่องที่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ อย่างเช่นการถ่ายทอดสด การเดินทางกลับประเทศของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นเอ็นบีที ก็มีการเสนอรายการ เด็กฉลาดชาติเจริญ ของมูลนิธิไทยคม รวมทั้งมีการจัดรถโอบีถ่ายทอดสดการเปิดตัวหนังสือของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตร ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ทำความชัดเจน ไม่ใช่ทำแบบครึ่งๆกลางๆ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะไม่พ้นวิกฤติ บ้านเมืองจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้
“หากรัฐมนตรียังปฏิบัติเช่นนี้จะเกิดความสงสัยว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง หรือไม่ เพราะดูเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตาบริหารแต่เอ็นบีทีอย่างเดียว และตลอด 1 เดือน ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะกรณีที่ผู้นำฝ่ายค้านและนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเชิญไปสนทนาเกี่ยวกับประเด็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พอถึงเวลากลับมีการเลื่อนออกไป ซึ่งเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่จะสรุปส่งให้ดีเอสไอ และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบต่อไป เพราะพฤติกรรมที่พบเข้าข่ายการฮั้วประมูล ซึ่งมีความผิดเข้าข่ายกฎหมายอาญา”
“เพ็ญ” ตีรวนให้ตรวจสัญญาเก่าด้วย
ด้าน นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวชี้แจงว่า การเข้าร่วมประมูลทำรายการข่าว ตามที่ถูกกล่าวหา มีบริษัทเข้าร่วมประมูลทั้งหมด 9 บริษัท ไม่ใช่มีเพียง 2 บริษัท ตามที่กล่าวหา ซึ่ง 7 บริษัทที่ไม่ได้รับการพิจารณา เพราะการเสนอรายการเข้ามา ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเสนอเรื่องการผลิตข่าวซึ่งเป็นนโยบายหลักของสถานี เหมือน 2 บริษัท ที่ผ่านการพิจารณารอบแรก
อีกทั้งการเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้กรมประชาสัมพันธ์ บริษัทดิจิตอลฯ ได้เสนอรายได้ในรอบแรก 36 ล้านบาท ส่วนบริษัทเคแอลฯ เสนอ 30 ล้านบาท ซึ่ง คณะกรรมการได้เลือกบริษัทดิจิตอลฯเข้ามาร่วมงานกับกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งต่อมา ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อต่อรองเรื่องรายได้ที่จะให้กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งคณะกรรมการสามารถเรียกร้องรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 45 ล้านบาท ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ
นายจักรภพ กล่าวว่า ส่วนข้อสงสัยเรื่องที่ตั้งของทั้ง 2 บริษัทอยู่เลขที่เดียวกันนั้น ขอชี้แจงว่า สถานที่ตั้งดังกล่าวอยู่ที่อาคาร ทีเอ็มทาวเวอร์ ซึ่งอาคารดังกล่าวเปิดให้ บริษัทต่างๆ เช่าจำนวนมาก ทั้งนี้บริษัทสื่อต่างๆ มักจะชอบเช่าอาคารอยู่บริเวณเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนอุปกรณ์และเทคโนโลยีระหว่างกัน แต่หากพบว่ามีการฮั้วทางธุรกิจ ในกรณีนี้จริง ก็ถือเป็นความผิดที่รัฐมนตรีต้องรู้และรับผิดชอบ แต่ขอยืนยันว่า ตนไม่เคยรู้จักและไม่ได้ไปตรวจสอบถึงที่ตั้งของบริษัท แต่หากมีข้อเท็จจริง ตามที่สมาชิกอ้าง คงไม่มีปัญหาในการตั้งกรรมการสอบสวน พร้อมให้ตรวจสอบ แต่จะต้องตรวจสอบย้อนหลังไปถึงการทำสัญญาให้บริษัทเอกชนเข้าร่วมผลิตรายการในอดีตด้วย
ส่วนที่มีการถอดรายการที่มีผู้นำฝ่ายค้านและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรายการนั้น ตนไม่ทราบว่ามีการเลื่อนรายการจริงหรือไม่ แต่รับจะไปตรวจสอบ หากทำจริงก็ถือว่าผิดนโยบายที่ทางเอ็นบีทีให้ไว้
อัด “เพ็ญ” ได้โบนัสเป็น รมต.
ต่อมานายเทพไท เสนพงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า กรณีที่นายจักรภพระบุว่าตนทำตัวยกระดับเทียบเท่านายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพื่อปั่นราคาตนเองนั้น ตนแค่ทำตามหน้าที่ผู้แทนฝ่ายค้าน ตรวจสอบนายกฯ ไม่คิดว่าจะตีตัวเสมอนายสมัคร ไม่ว่าใครได้เป็นผู้แทนกี่สมัยก็ต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ในความอาวุโสที่ต้องเคารพกัน แต่ไม่ควรเอาความอาวุโสมาปิดกั้นการทำงานของส.ส. ตนมีวันนี้ได้เพราะใช้ความสามารถของตัวเอง ประชาชนเลือกตนมาเป็นส.ส.แตกต่างจากนายจักรภพที่ลงสมัครรับเลือกตั้งถึง 2 ครั้งประชาชนก็ไม่เลือก อาศัยใบบุญการเป็น นปก. จาบจ้วงประธานองคมนตรี และได้รับโบนัสมาเป็นรัฐมนตรี
นายเทพไท กล่าวว่า วันนี้นายสมัครน่าจะอึดอัด ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ตนจึงคิดว่านายกฯ สมัครกำลังเป็นบุคคลเสมือนผู้ไร้ความสามารถ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและอาญา ว่าด้วยบุคคล มาตรา 32 บุคคลที่เป็นเสมือนผู้ไร้ความสามารถต้องมีผู้พิทักษ์มาทำหน้าที่แทน ซึ่งเมื่อวานนี้ ( 10 เม.ย.) ผู้พิทักษ์ของนายสมัครได้ออกมาแสดงบทบาทแล้ว นั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
“การแสดงปาฐกถาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ถือเป็นก้าวแรกที่จะก้าวเข้าสู่การเมือง เพราะการที่เคยประกาศไว้ว่าจะยุติบทบาททางการเมืองแต่พฤติกรรมกลับสวนทางกัน หากจะวางมือจริงๆ ก็ควรที่จะวางเฉยไม่ควรสร้างข่าวให้เป็นประเด็นทางการเมือง การที่พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าอยากให้ทุกคนเคารพกติกา ลูกน้องของตัวเองขณะนี้ได้มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ และกำลังแก้กฎหมายเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ผมอยากให้คุณทักษิณไปตักเตือน ให้สติกับลูกน้องของตนเองให้เคารพกฎหมายดีกว่า เมื่อกติกาออกมาเช่นไรก็ควรจะเคารพ นอกจากนี้ผมอดสงสารคุณสมัครไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดอะไรกับคุณสมัครอยู่”
นายเทพไท กล่าวว่า การปาฐกถาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องที่สังคมน่าจะจับตามอง เพราะนายจักรภพเป็นผู้คุมเอ็นบีที ได้ปล่อยให้เอ็นบีทีไปถ่ายทอดสด หากจะอ้างว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นสิทธิของสื่อที่จะทำได้ ตนอยากจะถามว่าเรื่องนี้น่าสนใจเฉพาะสื่อของเอ็นบีทีเท่านั้นหรือ ทำไมสื่ออื่นถึงให้ความสำคัญระดับธรรมดา
“ผมคิดว่าวันนี้นายจักรภพกำลังใช้เอ็นบีทีเป็นกระบอกเสียงให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ หากพ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ยุติบทบาททางการเมืองตามที่ได้ประกาศไว้ สังคมจะไม่มีวันสงบตามที่ได้เชิญชวน และจะเป็นการสร้างภาพให้สังคมเกิดความแตกแยกไม่มีวันจบสิ้น”นายเทพไท กล่าว
เย็นวันเดียวกัน นายอลงกรณ์ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในการพิจารณาเสนอรายการยังพบว่า ทางกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ได้จัดทำเป็นทีโออาร์อย่างที่ควรจะเป็นในการประมูลมูลค่าสูงๆ ซึ่งผิดตามพ.ร.บ.ความผิดว่าด้วยการเสนองานต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (กฎหมายฮั๊ว) โดยกฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมความผิดไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไปจนถึงบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าว ตนและคณะทำงานจะมีการหารือในข้อเท็จจริง รายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ถ้าพบว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็จะดำเนินการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งคาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้จะดำเนินการได้ ทั้งนี้ ตนทราบมาว่าการดำเนินงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที มีอดีตรัฐมนตรีและนักการเมืองชื่อดังของ จ.บุรีรัมย์ ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง
นายอลงกรณ์ชี้แจงต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ตนอภิปรายว่าบริษัทดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เคแอลทีเอ็ม มีเดีย โปรดักส์ จำกัด มีที่ตั้งที่เดียวกันนั้น เนื่องจากตนได้โทรศัพท์ไปเบอร์โทรศัพท์ 0-2641-7587-8 ซึ่งเป็นเบอร์โทรศัพท์ของฝ่ายขายของบริษัทดิจิตอลฯ โดยเจ้าหน้าที่ที่รับสายได้ระบุว่าเป็นฝ่ายขายของทั้ง 2 บริษัท จึงทำให้เชื่อได้ว่าทั้ง 2 บริษัท มีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน
ด้าน นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กล่าวว่า ในกรณีที่กรมประชาสัมพันธ์เลือกทำสัญญาร่วมผลิตรายการข่าวประจำวันกับบริษัทดิจิตอลฯ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าเป็นบริษัทที่มีบุคลากรและมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับ และทำให้เชื่อได้ว่าจะสามารถพัฒนางานด้านข่าวตามนโยบายของรัฐบาลได้ ทั้งนี้ตามหลักการของกรมประชาสัมพันธ์ที่ได้ปฏิบัติกันมา คือการที่จะให้บริษัทมาเข้าร่วมผลิตรายการ ไม่จำเป็นที่จะต้องให้มีการประมูล ซึ่งบริษัทต่างๆที่เคยผลิตรายการกับทางช่อง 11 ก็ไม่ได้มีการเปิดโอกาสให้บริษัทอื่นๆมาร่วมประมูลแต่อย่างใด ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าการพิจารณาคัดเลือกบริษัทดิจิตอลฯ ไม่ได้ทำผิดกฎหมายฮั๊ว เพราะไม่ใช่การเปิดประมูล
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงไม่เรียกบริษัทเคแอลทีเอ็มฯ มาร่วมเจรจาการร่วมผลิตรายการข่าวประจำวัน นายสุริยงค์ กล่าวว่า เพราะบริษัท เคแอลทีเอ็มฯ ไม่ได้เสนอรายละเอียดรายการเข้าร่วมการพิจารณา ซึ่งต่างจากบริษัทดิจิตอล ที่มีรายละเอียดและแผนผังรายการชัดเจน นอกจากนี้บริษัทเคแอลทีเอ็มฯ เสนอตัวเงินเข้ามาน้อยกว่าบริษัทดิจิตอลมาก
“ผมอยากให้ดูรายการของช่อง 11 หรือเอ็นบีที ตั้งแต่บริษัทดิจิตอลฯ และทีมข่าวเข้ามาร่วมงาน ดีขึ้น และประชาชนตอบรับดีกว่าเดิมหรือไม่ อยากจะให้ดูผลทางด้านสังคมมากกว่าการทำธุรกิจ และที่ผมเลือกบริษัทดิจิตอลฯ เข้ามา คือ 1.ผลตอบแทนที่ใช้ในการลงทุน และ2. เขาสามารถพัฒนาข่าวได้ดีมากน้อยเพียงไหน ส่วนที่บอกว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้อหลัง ผมไม่รู้ ไม่เคยยุ่งต่อกัน และเขาก็ไม่เคยเข้ามายุ่งด้วย”นายสุริยงค์ กล่าว
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วานนี้ (10 เม.ย.) ซึ่งมี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม ซึ่งในที่ประชุมได้มีการพิจารณากระทู้ถามสด โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหารงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที หรือช่อง 11
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาในการบริหารงานของนายจักรภพ หายใจเข้าออกเป็นเรื่อง สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งถือเป็นผลงานของรัฐมนตรีฯ ก็ได้ แต่จากการตรวจสอบพบความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการเปิดประมูลจัดซื้อจัดจ้าง
แฉคาร์เร้นท์แข่งประมูลทำข่าว
โดยเห็นว่ารัฐมนตรีฯน่าจะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย 2 ฉบับคือ ประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ โดยการเปิดประมูลให้บริษัทเข้ามาดำเนินการในสถานีนี้ มีเพียง 2 บริษัทเข้ามาเสนอราคาเท่านั้นคือ บริษัท ดิจิตอล มีเดีย โพรดักซ์ ที่เสนอให้ค่าตอบแทนปีละ 36 ล้านบาท และบริษัท เคแอลมีเดียโพรดักซ์ ที่เสนอราคา 30 ล้านบาท ซึ่งในที่สุดรัฐมนตรีได้เลือกบริษัทดิจิตอลฯ เป็นบริษัทร่วมผลิตรายการกับกรมประชาสัมพันธ์ มีการลงนามเซ็นสัญญาไปแล้วเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2551
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า เมื่อได้ลงนามในสัญญาแล้ว บริษัท ดิจิตอลฯ ได้เพิ่มวงเงินค่าตอบแทนให้กับกรมประชาสัมพันธ์เป็น 40.5 ล้านบาท โดยมีการคาดการณ์ รายได้จากการร่วมงานว่าบริษัท ดิจิตอลฯจะได้เงินจากการหารายได้ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดจากอัตราค่าโฆษณาชั่วโมงละ 7 นาที จำนวน 9 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งคิดเป็นเวลามากกว่า 50% ของเวลาออกอากาศตลอดทั้งวัน ซึ่งอย่างน้อย กรมประชาสัมพันธ์ควรจะได้รายได้จากการร่วมงานครั้งนี้ ไม่น้อยกว่า 750 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสูญเสียรายได้ที่รัฐควรจะได้รับ
“จากการตรวจสอบแล้วพบว่า บริษัทดิจิตอลฯเพิ่งตั้งขึ้นมาได้ 5-6 เดือนและมีการเขียนข้อเสนอสัญญาเหมือนบริษัทจะรู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าจะมีการเข้าไปรับงานในช่องเอ็นบีที ซึ่งไม่รู้ว่ารัฐมนตรีฯเข้าไป ร่วมเขียนการเสนอรายละเอียดการประมูลด้วยหรือไม่ ขณะที่บริษัทเคแอลเอ็มฯนั้นก็ทำธุรกิจรถเช่ามาก่อน ไม่ทราบทำไมรัฐบาลจึงไม่เลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ หรือว่าเป็นบริษัทที่ผลิตสื่อโดยตรง นอกจากนี้ยังพบข้อสังเกตว่าทั้ง 2 บริษัท มีเลขที่ตั้ง บริษัทอยู่ที่เดียวกัน คือเลขที่ 731 ถนนอโศกดินแดง เขตดินแดง และมีเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวกัน หากเรื่องนี้ถือเป็นความบังเอิญก็ถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่ทั้ง 2 บริษัทจะมีที่ตั้งอยู่ในบ้านเลขที่เดียวกัน” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ที่นายจักรภพบอกว่า คัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพนั้น ไม่ทราบว่าใช้มาตรฐานอะไร เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีการใช้สื่อของรัฐและงบประมาณของรัฐ ไปในเรื่องที่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ อย่างเช่นการถ่ายทอดสด การเดินทางกลับประเทศของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นเอ็นบีที ก็มีการเสนอรายการ เด็กฉลาดชาติเจริญ ของมูลนิธิไทยคม รวมทั้งมีการจัดรถโอบีถ่ายทอดสดการเปิดตัวหนังสือของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตร ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ทำความชัดเจน ไม่ใช่ทำแบบครึ่งๆกลางๆ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะไม่พ้นวิกฤติ บ้านเมืองจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้
“หากรัฐมนตรียังปฏิบัติเช่นนี้จะเกิดความสงสัยว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง หรือไม่ เพราะดูเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตาบริหารแต่เอ็นบีทีอย่างเดียว และตลอด 1 เดือน ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะกรณีที่ผู้นำฝ่ายค้านและนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเชิญไปสนทนาเกี่ยวกับประเด็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พอถึงเวลากลับมีการเลื่อนออกไป ซึ่งเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่จะสรุปส่งให้ดีเอสไอ และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบต่อไป เพราะพฤติกรรมที่พบเข้าข่ายการฮั้วประมูล ซึ่งมีความผิดเข้าข่ายกฎหมายอาญา”
“เพ็ญ” ตีรวนให้ตรวจสัญญาเก่าด้วย
ด้าน นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวชี้แจงว่า การเข้าร่วมประมูลทำรายการข่าว ตามที่ถูกกล่าวหา มีบริษัทเข้าร่วมประมูลทั้งหมด 9 บริษัท ไม่ใช่มีเพียง 2 บริษัท ตามที่กล่าวหา ซึ่ง 7 บริษัทที่ไม่ได้รับการพิจารณา เพราะการเสนอรายการเข้ามา ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเสนอเรื่องการผลิตข่าวซึ่งเป็นนโยบายหลักของสถานี เหมือน 2 บริษัท ที่ผ่านการพิจารณารอบแรก
อีกทั้งการเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้กรมประชาสัมพันธ์ บริษัทดิจิตอลฯ ได้เสนอรายได้ในรอบแรก 36 ล้านบาท ส่วนบริษัทเคแอลฯ เสนอ 30 ล้านบาท ซึ่ง คณะกรรมการได้เลือกบริษัทดิจิตอลฯเข้ามาร่วมงานกับกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งต่อมา ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อต่อรองเรื่องรายได้ที่จะให้กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งคณะกรรมการสามารถเรียกร้องรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 45 ล้านบาท ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ
นายจักรภพ กล่าวว่า ส่วนข้อสงสัยเรื่องที่ตั้งของทั้ง 2 บริษัทอยู่เลขที่เดียวกันนั้น ขอชี้แจงว่า สถานที่ตั้งดังกล่าวอยู่ที่อาคาร ทีเอ็มทาวเวอร์ ซึ่งอาคารดังกล่าวเปิดให้ บริษัทต่างๆ เช่าจำนวนมาก ทั้งนี้บริษัทสื่อต่างๆ มักจะชอบเช่าอาคารอยู่บริเวณเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนอุปกรณ์และเทคโนโลยีระหว่างกัน แต่หากพบว่ามีการฮั้วทางธุรกิจ ในกรณีนี้จริง ก็ถือเป็นความผิดที่รัฐมนตรีต้องรู้และรับผิดชอบ แต่ขอยืนยันว่า ตนไม่เคยรู้จักและไม่ได้ไปตรวจสอบถึงที่ตั้งของบริษัท แต่หากมีข้อเท็จจริง ตามที่สมาชิกอ้าง คงไม่มีปัญหาในการตั้งกรรมการสอบสวน พร้อมให้ตรวจสอบ แต่จะต้องตรวจสอบย้อนหลังไปถึงการทำสัญญาให้บริษัทเอกชนเข้าร่วมผลิตรายการในอดีตด้วย
ส่วนที่มีการถอดรายการที่มีผู้นำฝ่ายค้านและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรายการนั้น ตนไม่ทราบว่ามีการเลื่อนรายการจริงหรือไม่ แต่รับจะไปตรวจสอบ หากทำจริงก็ถือว่าผิดนโยบายที่ทางเอ็นบีทีให้ไว้
อัด “เพ็ญ” ได้โบนัสเป็น รมต.
ต่อมานายเทพไท เสนพงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า กรณีที่นายจักรภพระบุว่าตนทำตัวยกระดับเทียบเท่านายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพื่อปั่นราคาตนเองนั้น ตนแค่ทำตามหน้าที่ผู้แทนฝ่ายค้าน ตรวจสอบนายกฯ ไม่คิดว่าจะตีตัวเสมอนายสมัคร ไม่ว่าใครได้เป็นผู้แทนกี่สมัยก็ต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ในความอาวุโสที่ต้องเคารพกัน แต่ไม่ควรเอาความอาวุโสมาปิดกั้นการทำงานของส.ส. ตนมีวันนี้ได้เพราะใช้ความสามารถของตัวเอง ประชาชนเลือกตนมาเป็นส.ส.แตกต่างจากนายจักรภพที่ลงสมัครรับเลือกตั้งถึง 2 ครั้งประชาชนก็ไม่เลือก อาศัยใบบุญการเป็น นปก. จาบจ้วงประธานองคมนตรี และได้รับโบนัสมาเป็นรัฐมนตรี
นายเทพไท กล่าวว่า วันนี้นายสมัครน่าจะอึดอัด ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ตนจึงคิดว่านายกฯ สมัครกำลังเป็นบุคคลเสมือนผู้ไร้ความสามารถ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและอาญา ว่าด้วยบุคคล มาตรา 32 บุคคลที่เป็นเสมือนผู้ไร้ความสามารถต้องมีผู้พิทักษ์มาทำหน้าที่แทน ซึ่งเมื่อวานนี้ ( 10 เม.ย.) ผู้พิทักษ์ของนายสมัครได้ออกมาแสดงบทบาทแล้ว นั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
“การแสดงปาฐกถาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ถือเป็นก้าวแรกที่จะก้าวเข้าสู่การเมือง เพราะการที่เคยประกาศไว้ว่าจะยุติบทบาททางการเมืองแต่พฤติกรรมกลับสวนทางกัน หากจะวางมือจริงๆ ก็ควรที่จะวางเฉยไม่ควรสร้างข่าวให้เป็นประเด็นทางการเมือง การที่พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าอยากให้ทุกคนเคารพกติกา ลูกน้องของตัวเองขณะนี้ได้มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ และกำลังแก้กฎหมายเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ผมอยากให้คุณทักษิณไปตักเตือน ให้สติกับลูกน้องของตนเองให้เคารพกฎหมายดีกว่า เมื่อกติกาออกมาเช่นไรก็ควรจะเคารพ นอกจากนี้ผมอดสงสารคุณสมัครไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดอะไรกับคุณสมัครอยู่”
นายเทพไท กล่าวว่า การปาฐกถาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องที่สังคมน่าจะจับตามอง เพราะนายจักรภพเป็นผู้คุมเอ็นบีที ได้ปล่อยให้เอ็นบีทีไปถ่ายทอดสด หากจะอ้างว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นสิทธิของสื่อที่จะทำได้ ตนอยากจะถามว่าเรื่องนี้น่าสนใจเฉพาะสื่อของเอ็นบีทีเท่านั้นหรือ ทำไมสื่ออื่นถึงให้ความสำคัญระดับธรรมดา
“ผมคิดว่าวันนี้นายจักรภพกำลังใช้เอ็นบีทีเป็นกระบอกเสียงให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ หากพ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ยุติบทบาททางการเมืองตามที่ได้ประกาศไว้ สังคมจะไม่มีวันสงบตามที่ได้เชิญชวน และจะเป็นการสร้างภาพให้สังคมเกิดความแตกแยกไม่มีวันจบสิ้น”นายเทพไท กล่าว
เย็นวันเดียวกัน นายอลงกรณ์ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในการพิจารณาเสนอรายการยังพบว่า ทางกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ได้จัดทำเป็นทีโออาร์อย่างที่ควรจะเป็นในการประมูลมูลค่าสูงๆ ซึ่งผิดตามพ.ร.บ.ความผิดว่าด้วยการเสนองานต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (กฎหมายฮั๊ว) โดยกฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมความผิดไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไปจนถึงบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าว ตนและคณะทำงานจะมีการหารือในข้อเท็จจริง รายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ถ้าพบว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็จะดำเนินการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งคาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้จะดำเนินการได้ ทั้งนี้ ตนทราบมาว่าการดำเนินงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที มีอดีตรัฐมนตรีและนักการเมืองชื่อดังของ จ.บุรีรัมย์ ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง
นายอลงกรณ์ชี้แจงต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ตนอภิปรายว่าบริษัทดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เคแอลทีเอ็ม มีเดีย โปรดักส์ จำกัด มีที่ตั้งที่เดียวกันนั้น เนื่องจากตนได้โทรศัพท์ไปเบอร์โทรศัพท์ 0-2641-7587-8 ซึ่งเป็นเบอร์โทรศัพท์ของฝ่ายขายของบริษัทดิจิตอลฯ โดยเจ้าหน้าที่ที่รับสายได้ระบุว่าเป็นฝ่ายขายของทั้ง 2 บริษัท จึงทำให้เชื่อได้ว่าทั้ง 2 บริษัท มีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน
ด้าน นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กล่าวว่า ในกรณีที่กรมประชาสัมพันธ์เลือกทำสัญญาร่วมผลิตรายการข่าวประจำวันกับบริษัทดิจิตอลฯ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าเป็นบริษัทที่มีบุคลากรและมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับ และทำให้เชื่อได้ว่าจะสามารถพัฒนางานด้านข่าวตามนโยบายของรัฐบาลได้ ทั้งนี้ตามหลักการของกรมประชาสัมพันธ์ที่ได้ปฏิบัติกันมา คือการที่จะให้บริษัทมาเข้าร่วมผลิตรายการ ไม่จำเป็นที่จะต้องให้มีการประมูล ซึ่งบริษัทต่างๆที่เคยผลิตรายการกับทางช่อง 11 ก็ไม่ได้มีการเปิดโอกาสให้บริษัทอื่นๆมาร่วมประมูลแต่อย่างใด ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าการพิจารณาคัดเลือกบริษัทดิจิตอลฯ ไม่ได้ทำผิดกฎหมายฮั๊ว เพราะไม่ใช่การเปิดประมูล
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงไม่เรียกบริษัทเคแอลทีเอ็มฯ มาร่วมเจรจาการร่วมผลิตรายการข่าวประจำวัน นายสุริยงค์ กล่าวว่า เพราะบริษัท เคแอลทีเอ็มฯ ไม่ได้เสนอรายละเอียดรายการเข้าร่วมการพิจารณา ซึ่งต่างจากบริษัทดิจิตอล ที่มีรายละเอียดและแผนผังรายการชัดเจน นอกจากนี้บริษัทเคแอลทีเอ็มฯ เสนอตัวเงินเข้ามาน้อยกว่าบริษัทดิจิตอลมาก
“ผมอยากให้ดูรายการของช่อง 11 หรือเอ็นบีที ตั้งแต่บริษัทดิจิตอลฯ และทีมข่าวเข้ามาร่วมงาน ดีขึ้น และประชาชนตอบรับดีกว่าเดิมหรือไม่ อยากจะให้ดูผลทางด้านสังคมมากกว่าการทำธุรกิจ และที่ผมเลือกบริษัทดิจิตอลฯ เข้ามา คือ 1.ผลตอบแทนที่ใช้ในการลงทุน และ2. เขาสามารถพัฒนาข่าวได้ดีมากน้อยเพียงไหน ส่วนที่บอกว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้อหลัง ผมไม่รู้ ไม่เคยยุ่งต่อกัน และเขาก็ไม่เคยเข้ามายุ่งด้วย”นายสุริยงค์ กล่าว