xs
xsm
sm
md
lg

นักการเมืองไทย : เชื่อได้หรือไม่…

เผยแพร่:   โดย: เฉลิมพล พลมุข

คนไทยทุกคนที่อยู่ในเมืองไทยย่อมได้รับข่าวสารทั้งทางตรงและทางอ้อม เกี่ยวกับเรื่องการเมืองในมิติ มุมมองต่าง ๆ มาเป็นระยะ ๆ และถ้าคิดจะอยู่เมืองไทยไปตลอดชีวิต ก็คงจะไม่พ้นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปถึงระดับใหญ่ของประเทศชาติบ้านเมือง

ผู้เขียนเองก็ตกอยู่ในวังวนที่ต้องรับข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองแทบทุกวัน อาทิ ฟังข่าวสารบ้านเมืองจากทางวิทยุ ดูข่าวจากโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร วารสาร และอื่น ๆ

หลายครั้งหลายคราวมีความรู้สึกว่า ทำไมระบบการเมืองบ้านเราไม่นิ่ง ไม่มาตรฐาน เมื่อใดจะมีนักการเมืองอาชีพที่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างจริงใจ ไม่มีผลประโยชน์อันใดแอบแฝงอยู่ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เท่าที่ได้พูดคุยกับผู้รู้ทั้งหลาย ต่างก็ตอบกันว่า ก่อนจะตายไปจะได้เห็นการเมืองที่ทำเพื่อประชาชนจริง ๆ หรือไม่...

หลาย ๆ ช่วง หลาย ๆ วาระที่มีการเลือกตั้งทุกครั้ง ผู้เขียนได้ทำหน้าที่ของความเป็นพลเมืองไทยอย่างเต็มที่คือ ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งทุกครั้ง และก็คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็พยายามทำหน้าที่นี้เช่นกัน เพื่อที่จะได้นักการเมืองที่ดี มีคุณภาพ เข้าไปทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

บรรยากาศก่อนการเลือกตั้งคือการหาเสียงของนักการเมือง แต่ละคน แต่ละพรรคก็มีความพยายามนำเสนอสิ่งที่ดีของตนและพรรคให้กับประชาชน ไม่ว่าผลงานที่ผ่านมา นโยบายที่จะกระทำต่อไปเมื่อได้รับเป็นรัฐบาล แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้โดยทั่วกันคือ การโจมตี หาจุดข้อบกพร่องของฝ่ายตรงกันข้าม หรือคนที่ตนไม่ชอบออกมาให้ชาวบ้านได้รับรู้ รับทราบ เหมือนจะบอกว่าข้าพเจ้านี้ดี แต่คนอื่นนั้นแย่มาก ๆ

ผู้เขียนได้พยายามนึกและฝันว่า สักวันหนึ่งเมืองไทยคงจะมีนักการเมืองที่ใสสะอาด ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวบ้าน เข้าไปในสภาฯ เป็นปากเป็นเสียงของประชาชนที่แท้จริง และสิ่งที่อยากเห็นก็คือ เมื่อมีการตรวจสอบทรัพย์สินทั้งก่อนและหลังทำหน้าที่นักการเมือง ก็คือ ไม่รวย ไม่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นชนิดที่ว่าหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้...

หลักการของชาวพุทธ พระพุทธเจ้าท่านได้ให้หลักการไว้ว่า ถ้าเราจะดูและเชื่อว่านักการเมืองคนนั้น พรรคนั้นเป็นอย่างไร ให้พิจารณาจากหลักกาลามสูตร 10 ข้อดังนี้...

1. อย่าเชื่อเพราะฟังตาม ๆ กันมา : ได้รับรู้ รับฟังทั้งตอนหาเสียง พูดในสภาฯ พูดนอกสภาฯ ฟังการพูดแล้วมีเหตุมีผล คนฟังจำนวนมากคล้อยตามผู้ที่พูด หลายคนปรบมือให้ บางครั้งก็ร้องไห้น้ำตาไหลไปกับการฟังของนักการเมืองคนนั้น มีนักการเมืองบางคนพูดชนิดน้ำไหล ไฟดับ บางคนพูดน้อย และมีบางคนไม่ค่อยพูดแต่ให้คนที่เป็นพ่อซึ่งเป็นนักการเมืองมานานพูดแทน เป็นต้น

นักการเมืองหลายคนเวลาพูดหาเสียงตามสวนสาธารณะ ที่ชุมชน มีคนไปฟังจำนวนมาก โดยเฉพาะนักการเมืองที่เป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไปจะออกมาพูดเกือบจะเป็นคนสุดท้าย คล้าย ๆ กับพระเอกลิเกมักจะออกมาหน้าโรงลิเกตอนใกล้จะจบเรื่อง

2. อย่าเชื่อด้วยการถือสืบ ๆ กันมา : บรรพบุรุษของเราเคยเลือกนักการเมืองคนนี้ พรรคนี้มานานแสนนาน หรือหมู่บ้านเรา จังหวัดเรา เคยเลือกเป็นประจำก็ตัดสินใจเลือกกันเหมือนธรรมเนียมหรือความเชื่ออื่นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ชาวบ้านหลายคนนิยมเลือกนักการเมืองในตัวบุคคล ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่พรรคใด เมื่อใด ในที่สุดแล้วก็เลือกคนนั้น เพราะเชื่อมั่น ศรัทธา ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

3. อย่าเชื่อด้วยการเล่าลือ : มีการลือกันว่า พรรคนั้นมีทั้งงูเห่า ปลาไหล ยี้ห้อย เชื่องช้า คิดเร็วทำเร็ว ลือแม้กระทั่งว่าก่อนคืนหมาหอนจะมีแบงก์พิเศษสมนาคุณให้อย่างงามก่อนการเลือกตั้ง

แต่ในขณะปัจจุบัน กกต. พยายามทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองที่กระทำการในทางที่ไม่ถูกต้องเช่นซื้อเสียง อย่างไรก็ตามการติดตามพฤติกรรมคนนั้นยากแท้หยั่งถึง นักการเมืองบางคน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอากันด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอากันด้วยคาถา

เสียงเล่าลือนั้นมีทั้งกระแสรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยในการส่งสารที่แนบเนียน เข้าถึง เช่น ส่งเอสเอ็มเอส ส่งทางอินเทอร์เน็ต หรือช่องทางอื่น ๆ ชนิดที่เข้าถึงอย่างรวดเร็ว...

4. อย่าเชื่อด้วยการอ้างตำรา : นักการเมืองบางคนชอบอ้างว่า สมัยที่ตนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ ได้ออกกฎหมายอย่างนั้น อย่างโน้นเพื่อพี่น้องประชาชน แต่เมื่อตรวจสอบกันอย่างจริงจังกลับเป็นออกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก เครือญาติพี่น้อง

มีนักการเมืองบางคน บางพรรค บ้างก็อ้างว่าจะเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหลายข้อหลายมาตราไม่ทันสมัยที่จะพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง บางคนก็พูดอย่างเต็มปากว่าจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไข นิรโทษกรรมหรืออื่น ๆ ที่สามารถจะทำได้...

5. อย่าเชื่อเพราะตรรกะ : คือไม่ให้เชื่อเพราะเห็นว่าการพูด ท่าที พฤติกรรมมีเหตุมีผล ฟังดูแล้วไม่มีข้อใดน่าคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย เช่น ประกาศนโยบายประชานิยม ทุ่มทุนเพื่อประชาชนนับหมื่นนับพันล้านแต่ละโครงการ แต่ละนโยบาย แต่เมื่อถึงคราวจะปฏิบัติการจริง ๆ เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรครอบด้าน รวมทั้งการตรวจสอบจากฝ่ายค้านที่ต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่

เชื่อเพราะความเป็นเหตุเป็นผล อาจจะพิจารณาว่า นักการเมืองคนนี้ พรรคนี้อยู่มานาน น่าจะช่วยพัฒนาประเทศชาติได้ หรือว่าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ พรรคใหม่ น่าจะหาทางเลือกใหม่ เผื่อว่าอะไรต่าง ๆ ของบ้านเมืองน่าจะดีขึ้นบ้าง

6. อย่าเชื่อเพราะการอนุมาน : หรือคาดการณ์ว่า ถ้าหาเสียงอย่างนี้แล้ว เมื่อเข้าไปในสภาฯ น่าจะทำตามที่พูดเอาไว้ ชาวบ้านหลายคนต่างก็ตั้งความหวัง ไม่ว่านโยบายประชานิยมที่ได้หาเสียงเอาไว้ คำมั่นสัญญาที่ได้พูดเอาไว้ รับปากเอาไว้ ส่วนในความเป็นจริงชาวบ้านจะได้รับประโยชน์ทั้งต่อตนเองและท้องถิ่นหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง

การอนุมาน คาดการณ์ หลาย ๆ ครั้งก็มีการผิดพลาด เช่น เราเห็นฟ้าครึ้ม มีเมฆมาเราก็คิดว่าอีกไม่นานฝนจะตก แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ ฝนไม่ตก หรืออาจจะตกไม่ทั่วฟ้า พฤติกรรมของนักการเมืองบางคนฉันใดก็ฉันนั้น...

7. อย่าเชื่อเพราะคิดตามแนวเหตุผล : ก่อนการเลือกตั้งมีบรรดาหัวคะแนนทั้งหลาย ต่างก็มาเคาะประตูบ้าน รับปาก ให้สัญญาว่าให้เลือกนักการเมือง พรรคที่ตนนำเสนอ ผลในอนาคตที่จะตามมามีดังต่อไปนี้ บ้างก็อ้างว่าผลงานในอดีตที่ได้ทำไปแล้วมีอะไรบ้าง บางครั้งก็ยกนโยบายของพรรคในแต่ละข้อที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข กันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นถนน ประปา ไฟฟ้า สาธารณูปโภคต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนกระทั่งถึงระดับประเทศ

มีผู้รู้บางคน ชาวบ้านบางท่านถึงกับพูดว่า ในช่วงการหาเสียง นักการเมืองไม่ต่างอะไรกับเซลส์แมนในการที่จะขายสินค้าของตนให้ได้ แต่หลังจากนั้นไม่สนใจในบริการหลังการขายเลย หรือแม้กระทั่งชาวบ้านเดือดร้อนขอให้ช่วย เข้าพบไม่ได้ ตามตัวไม่เจอ เมื่อพบและเจอะเจอแล้วก็ไม่สามารถให้ได้ตามคำสัญญาเอาไว้ เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า มีนักการเมืองหลายคนที่เด่น ๆ ดัง ๆ เมื่อถึงคราวเลือกตั้งผ่านไปแล้วชนิดที่ว่าสอบตกไม่เป็นท่าก็มีในบ้านเมืองเราหลาย ๆ คน

8. อย่าเชื่อเพราะมีหลักการ ทฤษฎีเยี่ยม : นักการเมืองบางคน และหลาย ๆ คน ในตอนพูดหาเสียง หลักการดีเยี่ยม ทฤษฎีต่าง ๆ เห็นภาพชัดเจน ไม่ว่าเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดถึงตาย ฟังแล้วอยู่ดีมีสุขแน่นอน ชาวบ้านจะไม่มีความยากจนอีกต่อไปแล้ว ภายในไม่กี่วันหลังการเลือกตั้ง แก้ปัญหาน้ำมันไม่ให้ขึ้นราคา ข้าวของจะไม่แพง อาชญากรรมต่าง ๆ ลดจากสถิติที่เคยมีมา ทุกหมู่บ้านน้ำไหล ไฟสว่าง หนทางสะดวก จะมีต่อไปในอนาคตหรือไม่...

ชาวบ้านหลายคนฟังแล้วมีความหวัง มีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไปอีก แต่เมื่อเลือกเข้าไปแล้วเมื่อมีการประชุม อภิปรายกันในสภาฯ ในช่วงที่มีการถ่ายทอดสด บรรยากาศในการเห็นก็คือ เสียดสี ด่าทอ ใส่ร้ายกันในสภาฯ อันทรงเกียรติ และแต่ละท่านก็ล้วนแต่น่าเคารพอย่างสูง อะไรเกิดขึ้นกับนักการเมืองบ้านเรา...

9. อย่าเชื่อเพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ : มีนักการเมืองหลายคนรูปหล่อ หน้าตาสวยงาม บางคนเป็นพระเอกหนัง นักร้อง ดารา นักพูดที่มีชื่อเสียง หลาย ๆ คนภาพลักษณ์ที่เห็นกับความเป็นจริงตรงกันข้าม บางคนจบการศึกษาระดับสูง มียศศักดิ์ดวงดาวบนบ่า หลายคนเมื่อเข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนแล้ว มีพฤติกรรมตรงกันข้าม มีทั้งเรื่องฉ้อโกง ทุจริต ประพฤติผิดทางเพศ วนเวียนอยู่ในความผิดทั้งศีลธรรมและกฎหมาย ซึ่งตนเองและพรรคพวกเป็นผู้กำหนดในการออกกฎระเบียบต่าง ๆ

พระพุทธเจ้าท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจไว้ว่า คนเราจะดีนั้น ไม่ใช่ที่รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย การนั่งรถที่มียี่ห้อ ใส่เสื้อผ้าที่มีราคาแพงนำเข้าจากต่างประเทศ กินอาหารต้องหูฉลาม หรือไวน์ราคาแพง หรือเห็นว่าจบการศึกษาระดับปริญญาเอก รวย พูดเก่งหลักการดีไม่น่าจะคดโกงประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนกับหลายคนเคยได้ยินว่า คนเราจะดี ไม่ใช่ดีที่ใบหน้า ชาติตระกูล ยศถาบรรดาศักดิ์ รวมทั้งชื่อเสียงที่ผ่านมา

10 . อย่าเชื่อเพราะว่าเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ : ชาวบ้านหลายคน รวมทั้งผู้เขียนด้วยติดกับดักภาพลักษณ์และความเชื่อของนักการเมืองหลายคนมาแล้ว ด้วยเหตุด้วยผลทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่ข้อแรกมาจนกระทั่งข้อนี้ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าความเป็นคนที่อยู่ในโลกใบนี้นั้น ต่างก็ตกอยู่ในกระแสของโลภ โกรธ หลง มีอวิชชาคือความไม่รู้อะไร ๆ หลายอย่างตามความเป็นจริง หลายครั้งหลายคราขาดทั้งปัญหาและความรู้ ไม่รวมที่จะขาดสติอันใคร่ครวญเห็นดีเป็นดี บางคนเห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ผู้เขียนเห็นว่า บ้านเราเมืองเรามีผู้รู้ ผู้ชำนาญการ ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถสูงเกือบจะเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ทำไม เหตุใด บ้านเมืองทุกยุค ทุกสมัยมีอาชญากรจำนวนเพิ่มจำนวนมากขึ้น วัดหลายแห่งร้างไม่มีพระอยู่ คุกตะรางอยู่กันจนแน่นขนัด ชาวต่างชาติเข้านอกออกในประเทศได้อย่างเสรี ใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่ขายอะไรก็ขาย อบายมุข สิ่งผิดกฎหมายเต็มบ้านเต็มเมือง เด็ก ๆ เยาวชนต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงกับชีวิตวันต่อวัน คนหนุ่มสาวจบการศึกษาพร้อมที่จะไม่มีงานทำ คนแก่ถูกทอดทิ้งไร้คนดูแล

เวลานี้ ผู้เขียนเห็นว่า สิ่งที่ชโลมจิตใจดั่งน้ำทิพย์นั่นก็คือ พระราชดำรัสที่ในหลวงพระองค์ท่านได้ประทานไว้ในโอกาส วาระต่าง ๆ มากมาย ทุกคำดำรัสของท่านสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตได้ในทุกระดับชั้น ปฏิบัติตามที่พระองค์ท่านตรัสไว้ ชีวิตอยู่ดีมีสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้าแล...
กำลังโหลดความคิดเห็น