ศูนย์ข่าวศรีราชา - กรมโยธาธิการและผังเมือง ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ วางผังเมืองภาคตะวันออก ปี พ.ศ. 2600 เน้น 3 กลุ่มจังหวัด โดยกำหนดให้ จังหวัดระยอง และชลบุรี เป็นแหล่งบันเทิงระดับโลก
วานนี้( 31 มี.ค.)ที่โรงแรมเดอะไทด์ บางแสน จังหวัดชลบุรี นายนิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสมชาย ชุ่มรัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ภาครัฐ-เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ประมาณ 250 คน ได้เข้าร่วมสัมมนา วางผังเมืองภาคตะวันออก ปี พ.ศ. 2600
นายนิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง การสัมมนาในครั้งนี้ว่า เป็นการนำเสนอผลการศึกษางานวางและจัดทำผังภาคตะวันออก เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน ผู้แทนสถาบันการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ ประชาชน
สำหรับการวางผังเมืองในครั้งนี้ จะคำนึงถึงความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ วิถีชีวิตของชุมชน และการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยเน้นในการสร้างความสุขของประชาชน สร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ในสังคมเมืองอย่างเป็นระบบและสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ ที่สำคัญประชาชนและชุมชนต้องมีส่วนร่วมในทุกๆครั้ง
นายนิรันดร์ กล่าวต่อไปว่า การวางผังเมือง เพื่อเป็นการกำหนดนโยบายการใช้ประโยชน์ที่ดิน การพัฒนาเมืองและชนบท การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และขนส่งสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ต่างๆของประเทศ อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญมียุทธศาสตร์การดำเนินการอย่างชัดเจน ทั้งยุทธศาสตร์ประเทศ ยุทธศาสตร์ภาคยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด
ในส่วนภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักการพัฒนาอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกของประเทศ รองรับการขยายตัวจากมหานคร(กรุงเทพฯ) สามารถเชื่อมโยงกับนานาประเทศ ทั้งภาคบก ทางน้ำ และทางอากาศ ประกอบกับมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ทั้งเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว ดังนั้นการพัฒนาในระดับภาค จึงเน้นความเชื่อมโยงของกลุ่มพื้นที่ และกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามศักยภาพและขีดความสามารถของพื้นที่นั้นๆ
ด้านนายสมชาย ชุ่มรัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองกระทรวง มหาดไทย กล่าวว่า การวางผังเมืองภาคตะวันออกนั้น แบ่งพื้นที่เป็นกลุ่มจังหวัด 8 จังหวัดภาคตะวันออก แบ่งเป็น 3 กลุ่ม จังหวัด คือ กลุ่ม 1 จังหวัดฉะเชิงเทรา นครยายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงการพัฒนากับกรุงเทพฯ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และประเทศเพื่อนบ้าน จึงควรเป็นพื้นที่รองรับด้านการอยู่อาศัย เขตเกษตรกรรมชั้นดี ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม และเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมสะอาด
กลุ่ม 2 จังหวัดชลบุรี ระยอง เป็นศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมหลัก แหล่งผลิตพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและบันเทิงระดับโลก จึงควรพัฒนาให้เป็นเขตอุตสาหกรรมและเมืองท่าอย่างเต็มรูปแบบ เป็นประตูเศรษฐกิจการค้า ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง และลอจิสติกส์ ของภูมิภาค
กลุ่ม 3 จังหวัดจันทบุรี-ตราด เน้นเป็นแหล่งเกษตรชั้นดีผลิตผลไม้เมืองร้อนที่ขึ้นชื่อ ที่สำคัญเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยว ประเภทหมู่เกาะและชายฝั่งที่สวยงาม เหมาะต่อการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและการเรียนรู้ของประเทศ
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า การวางผังภาคตะวันออก ได้ประสานกับผู้เชี่ยวชาญในการวางกรอบรูปแบบและแนวทางในการพัฒนาในทุกมติ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ในที่ดิน การพัฒนาเมืองและชนบท อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยจะสอดคล้องหรือเป็นรูปธรรมตามที่กำหนดไว้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ภาครัฐ-เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน จะเสนอแนะ รูปแบบอย่างไร เพื่อนำข้อเสนอไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป
วานนี้( 31 มี.ค.)ที่โรงแรมเดอะไทด์ บางแสน จังหวัดชลบุรี นายนิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสมชาย ชุ่มรัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ภาครัฐ-เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ประมาณ 250 คน ได้เข้าร่วมสัมมนา วางผังเมืองภาคตะวันออก ปี พ.ศ. 2600
นายนิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง การสัมมนาในครั้งนี้ว่า เป็นการนำเสนอผลการศึกษางานวางและจัดทำผังภาคตะวันออก เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน ผู้แทนสถาบันการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ ประชาชน
สำหรับการวางผังเมืองในครั้งนี้ จะคำนึงถึงความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ วิถีชีวิตของชุมชน และการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยเน้นในการสร้างความสุขของประชาชน สร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ในสังคมเมืองอย่างเป็นระบบและสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ ที่สำคัญประชาชนและชุมชนต้องมีส่วนร่วมในทุกๆครั้ง
นายนิรันดร์ กล่าวต่อไปว่า การวางผังเมือง เพื่อเป็นการกำหนดนโยบายการใช้ประโยชน์ที่ดิน การพัฒนาเมืองและชนบท การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และขนส่งสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ต่างๆของประเทศ อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญมียุทธศาสตร์การดำเนินการอย่างชัดเจน ทั้งยุทธศาสตร์ประเทศ ยุทธศาสตร์ภาคยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด
ในส่วนภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักการพัฒนาอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกของประเทศ รองรับการขยายตัวจากมหานคร(กรุงเทพฯ) สามารถเชื่อมโยงกับนานาประเทศ ทั้งภาคบก ทางน้ำ และทางอากาศ ประกอบกับมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ทั้งเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว ดังนั้นการพัฒนาในระดับภาค จึงเน้นความเชื่อมโยงของกลุ่มพื้นที่ และกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามศักยภาพและขีดความสามารถของพื้นที่นั้นๆ
ด้านนายสมชาย ชุ่มรัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองกระทรวง มหาดไทย กล่าวว่า การวางผังเมืองภาคตะวันออกนั้น แบ่งพื้นที่เป็นกลุ่มจังหวัด 8 จังหวัดภาคตะวันออก แบ่งเป็น 3 กลุ่ม จังหวัด คือ กลุ่ม 1 จังหวัดฉะเชิงเทรา นครยายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงการพัฒนากับกรุงเทพฯ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และประเทศเพื่อนบ้าน จึงควรเป็นพื้นที่รองรับด้านการอยู่อาศัย เขตเกษตรกรรมชั้นดี ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม และเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมสะอาด
กลุ่ม 2 จังหวัดชลบุรี ระยอง เป็นศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมหลัก แหล่งผลิตพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและบันเทิงระดับโลก จึงควรพัฒนาให้เป็นเขตอุตสาหกรรมและเมืองท่าอย่างเต็มรูปแบบ เป็นประตูเศรษฐกิจการค้า ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง และลอจิสติกส์ ของภูมิภาค
กลุ่ม 3 จังหวัดจันทบุรี-ตราด เน้นเป็นแหล่งเกษตรชั้นดีผลิตผลไม้เมืองร้อนที่ขึ้นชื่อ ที่สำคัญเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยว ประเภทหมู่เกาะและชายฝั่งที่สวยงาม เหมาะต่อการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและการเรียนรู้ของประเทศ
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า การวางผังภาคตะวันออก ได้ประสานกับผู้เชี่ยวชาญในการวางกรอบรูปแบบและแนวทางในการพัฒนาในทุกมติ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ในที่ดิน การพัฒนาเมืองและชนบท อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยจะสอดคล้องหรือเป็นรูปธรรมตามที่กำหนดไว้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ภาครัฐ-เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน จะเสนอแนะ รูปแบบอย่างไร เพื่อนำข้อเสนอไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป
