ตราด - จังหวัดตราดร่วมกับขนส่งทางน้ำตราด ผลักดันก่อสร้างท่าเทียบเรือส่งออก อ.คลองใหญ่ ระบุลงทุน 1,000 ล้านบาท สามารถขยายการค้าได้ 2 หมื่นล้านบาท เสนอสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจผลักดันเร่งสร้าง
นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี หัวหน้าสำนักงานจังหวัด ส่วนราชการ และตัวแทนหอการ ค้า จ.ตราด ร่วมประชุมและต้อนรับคณะทำงานโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และพลังงาน สำนักงานสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ นำโดยนายโอภาส เตพละกุล ประธานคณะทำงานฯ และคณะเพื่อรับทราบข้อมูล เกี่ยวกับสถานะภาพ ปัญหา และอุปสรรค การบริหารจัดการการคมนาคมขนส่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและ สังคมในพื้นที่จังหวัดตราดแนวชายแดน และศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการการคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
นายแก่นเพชร กล่าวว่า จังหวัดตราดเป็นจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับ 3 จังหวัดในประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะ จ.เกาะกง ที่มีพื้นที่ติดต่อกันทั้งทางบกและทางทะเล และในแต่ละปีมีมูลค่าชายแดนปี 2550 ถึง 14,500 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่สินค้าจะขนส่งทางน้ำลงที่ท่าเรือกของภาคเอกชน 2 แห่ง ที่บ้านคลองสน อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งมีปัญหาเรื่องค่าบริการที่แพงและมีขนาดเล็ก รวมทั้งไม่สามารถขยายให้ใหญ่โตเพื่อรองรับ การค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ทาง จ.ตราด โดยสำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 6 ตราด ได้ทำโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือ เพื่อการส่งออกร่วมกับหอการค้า จ.ตราด แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการสนับสนุนโครงการจากรัฐบาล
หลังจบการประชุมแล้ว นายโอภาส กล่าวว่า คณะทำงานโครงสร้างพื้นฐานสภาที่ปรึกษาฯ ได้เล็งเห็นถึง ความสำคัญในการศึกษาการบริหารจัดการการคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นการศึกษาในเขตจังหวัดตามแนวชายแดนที่มีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และมีความพร้อมที่จะ พัฒนาจังหวัดไปสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค โดยเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการค้าและบริการระหว่างประเทศที่สำคัญ เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญ เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีผลผลิตทางด้านการเกษตรที่สำคัญ คือ ผลไม้ ประมง เป็นต้น รวมถึงเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับ ประเทศเพื่อนบ้านที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศด้วย
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการกำหนดแผนการบริหาร จัดการคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชน ลักษณะภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ จ.ตราด มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาได้ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ ซึ่งการก่อสร้างท่าเทียบเรือฯ เป็นเรื่องที่น่าสนใจหากดำเนินการก่อสร้างได้จะเกิดผลดี และเชื่อว่า จ.ตราด มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่เข้มแข็งจะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้
ขณะที่ นายสุรชัย บุรพนนทชัย หัวหน้าสำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 6 ตราด กล่าวว่า โครงการก่อสร้างท่าเทียบ เรือคลองใหญ่มี แนวโน้มจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากกรมขนส่งทางน้ำได้บรรจุโครงการนี้ไว้เป็นอันดับต้นๆ มีงบประมาณก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท และมีขนาด 500 ตันกรอส
ทั้งนี้ หากมีการก่อสร้างจะทำให้มีมูลค่าการค้าชายแดนได้ถึง 20,000 ล้าน และจะทำให้เกิดผู้ประกอบการขนส่งทางเรือที่มีความเข้ามาแข็งมากขึ้น สามารถสร้างเรือเหล็กหรือเรือบาสขนาดใหญ่มาขนส่งสินค้าจากอำเภอคลองใหญ่ได้มากขึ้น และเรือขนาดใหญ่ขึ้น สามารถขนส่ง ทางน้ำได้ทุกฤดูกาล หากเป็นเรือขนส่งสินค้าที่ทำด้วยไม้จะ ขนส่งสินค้าหนักมากไม่ได้ และมักเสี่ยงหากจะเดินทาง ไปใน ช่วงมรสุม ที่มีอยู่นาน 2-3 เดือน ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า
รวมทั้งบริษัทประกันภัยก็ไม่รับประกันเสี่ยงภัยด้วย เพราะเป็นเรือไม้มีความเสี่ยงสูงซึ่งทำให้ผู้ประกอบการขนส่งต้องหยุดการเดินเรือ เพราะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นเองในกรณีที่เรือล่มเมื่อถูกลมมรสุมพัดจม
นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี หัวหน้าสำนักงานจังหวัด ส่วนราชการ และตัวแทนหอการ ค้า จ.ตราด ร่วมประชุมและต้อนรับคณะทำงานโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และพลังงาน สำนักงานสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ นำโดยนายโอภาส เตพละกุล ประธานคณะทำงานฯ และคณะเพื่อรับทราบข้อมูล เกี่ยวกับสถานะภาพ ปัญหา และอุปสรรค การบริหารจัดการการคมนาคมขนส่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและ สังคมในพื้นที่จังหวัดตราดแนวชายแดน และศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการการคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
นายแก่นเพชร กล่าวว่า จังหวัดตราดเป็นจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับ 3 จังหวัดในประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะ จ.เกาะกง ที่มีพื้นที่ติดต่อกันทั้งทางบกและทางทะเล และในแต่ละปีมีมูลค่าชายแดนปี 2550 ถึง 14,500 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่สินค้าจะขนส่งทางน้ำลงที่ท่าเรือกของภาคเอกชน 2 แห่ง ที่บ้านคลองสน อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งมีปัญหาเรื่องค่าบริการที่แพงและมีขนาดเล็ก รวมทั้งไม่สามารถขยายให้ใหญ่โตเพื่อรองรับ การค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ทาง จ.ตราด โดยสำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 6 ตราด ได้ทำโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือ เพื่อการส่งออกร่วมกับหอการค้า จ.ตราด แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการสนับสนุนโครงการจากรัฐบาล
หลังจบการประชุมแล้ว นายโอภาส กล่าวว่า คณะทำงานโครงสร้างพื้นฐานสภาที่ปรึกษาฯ ได้เล็งเห็นถึง ความสำคัญในการศึกษาการบริหารจัดการการคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นการศึกษาในเขตจังหวัดตามแนวชายแดนที่มีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และมีความพร้อมที่จะ พัฒนาจังหวัดไปสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค โดยเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการค้าและบริการระหว่างประเทศที่สำคัญ เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญ เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีผลผลิตทางด้านการเกษตรที่สำคัญ คือ ผลไม้ ประมง เป็นต้น รวมถึงเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับ ประเทศเพื่อนบ้านที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศด้วย
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการกำหนดแผนการบริหาร จัดการคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชน ลักษณะภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ จ.ตราด มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาได้ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ ซึ่งการก่อสร้างท่าเทียบเรือฯ เป็นเรื่องที่น่าสนใจหากดำเนินการก่อสร้างได้จะเกิดผลดี และเชื่อว่า จ.ตราด มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่เข้มแข็งจะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้
ขณะที่ นายสุรชัย บุรพนนทชัย หัวหน้าสำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 6 ตราด กล่าวว่า โครงการก่อสร้างท่าเทียบ เรือคลองใหญ่มี แนวโน้มจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากกรมขนส่งทางน้ำได้บรรจุโครงการนี้ไว้เป็นอันดับต้นๆ มีงบประมาณก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท และมีขนาด 500 ตันกรอส
ทั้งนี้ หากมีการก่อสร้างจะทำให้มีมูลค่าการค้าชายแดนได้ถึง 20,000 ล้าน และจะทำให้เกิดผู้ประกอบการขนส่งทางเรือที่มีความเข้ามาแข็งมากขึ้น สามารถสร้างเรือเหล็กหรือเรือบาสขนาดใหญ่มาขนส่งสินค้าจากอำเภอคลองใหญ่ได้มากขึ้น และเรือขนาดใหญ่ขึ้น สามารถขนส่ง ทางน้ำได้ทุกฤดูกาล หากเป็นเรือขนส่งสินค้าที่ทำด้วยไม้จะ ขนส่งสินค้าหนักมากไม่ได้ และมักเสี่ยงหากจะเดินทาง ไปใน ช่วงมรสุม ที่มีอยู่นาน 2-3 เดือน ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า
รวมทั้งบริษัทประกันภัยก็ไม่รับประกันเสี่ยงภัยด้วย เพราะเป็นเรือไม้มีความเสี่ยงสูงซึ่งทำให้ผู้ประกอบการขนส่งต้องหยุดการเดินเรือ เพราะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นเองในกรณีที่เรือล่มเมื่อถูกลมมรสุมพัดจม
