“จักรภพ” หน้ามึน บอกไม่รู้สึกทำอะไรไม่สมควร หลังสมาคมนักข่าวฯ ออกแถลงการณ์ชี้ละเมิดสิทธิขู่ถอด ผอ.อสมท.- ยึด 5 คลื่น อ้างอำนาจบอร์ด อสมท ชี้ขาดรมต.ไม่เกี่ยว ไม่สน ส.ว.จะล่าชื่อถอดถอน “หมัก” ขอบคุณ กลต.ที่ช่วยปกป้องเรื่องอินไซเดอร์ “พิเชียร” เตรียมยื่นศาลปกครอง หลังถูกยึดคลื่น
นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ กรณีการขู่คาดโทษ และสั่งตั้งคณะกรรมการสอบกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อสมท และ สั่งให้ยึดคลื่นคืน 5 คลื่น ในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์คืนจากภาคเอกชนที่รับสัมปทานนั้น อาจเข้าข่ายการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และส่อเจตนาถึงการคุกคาม แทรกแซง และครอบงำในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ว่า เรื่องของ บริษัท อสมท.จำกัด(มหาชน)นั้น ตนพูดชัดเจนในทุกครั้งว่า หน้าที่ในการเสนอชื่อคณะกรรมการ หรือบอร์ด การขยับเคลื่อนไหวของผู้บริหาร อย่างกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นหน้าที่รัฐมนตรีโดยตรง
“เพ็ญ” ปฏิเสธล็อกสเปก ผอ.อสมท
สิ่งที่ตนพูดไปนั้น เรื่อง อสมท จะมีการปรับเปลี่ยน เหมือนกรมประชาสัมพันธ์ หรือไม่ ขอเรียนว่า มาถึงจังหวะที่ต้องเสนอชื่อกรรมการใหม่ 9 คน จาก 13 คน แต่ขอย้ำ หน้าที่ในการสรรหาบุคคลที่จะนั่งในกรรมการบริหาร อสมท เป็นของคณะกรรมการที่บอร์ด อสมท ตั้งขึ้นมา ซึ่งในขณะนี้เป็นของปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นกรรมการสรรหาว่า ใครสมควรที่จะเป็นกรรมการ หรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประเภทต่างๆ ที่จะนั่งในบอร์ด ของ อสมท ตนจะไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง ยกเว้นให้นโยบายของรัฐไปว่ารัฐต้องการอะไรจากหน่วยงานที่มีความสำคัญใน อสมท ไม่ลงลึกถึงขั้นตัวบุคคล หรือสเปกคนที่จะมานั่ง
ส่วนเรื่องของกรรมการผู้จัดการใหญ่ อสมท นั้น นายจักรภพ กล่าวต่อว่า ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีกรรมการบริหารเต็มที่แล้ว ได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นในบริษัท อสมท จำกัด มหาชน แล้วเขาจะจัดการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องของบอร์ดโดยตรง ไม่เกี่ยวกับตน พูดกันให้ชัดว่าจุดยืนคืออย่างนี้ ต่างจากกรมประชาสัมพันธ์ อันนั้นต้องเข้าไปช่วยเหลือในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยตรง
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าจะให้เวลาถึงเดือนเม.ย.นั้น รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นั่นคือเวลาของการประชุมผู้ถือหุ้น ตนเพียงรายงานปฏิทินเวลาให้ทราบเท่านั้นเองว่า เดือนเม.ย. จะมีการเชิญผู้ถือหุ้น ของ อสมท. ร่วมประชุมกัน ก็จะรายงานการดำเนินการ ผลกำไร ขาดทุน ผลการประกอบการรวม โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี และตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไปยุ่ง จึงไม่ได้เข้าไปร่วมประชุม เป็นเพียงผู้ถือหุ้นประชุมกัน และคณะกรรมการบริหาร อสมท ตลอดจนเลขานุการของบอร์ด คือ ตัวกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ต้องรายงานผลต่อที่ประชุมนั้นเท่านั้น ตนก็รอรายงานผลการประชุมนั้น ตนก็ติดตามผลการประชุมเหมือนบุคคลทั่วไป
ไม่สน ส.ว.เข้าชื่อถอดถอน
เมื่อถามถึงการที่ ส.ว.จะมีการล่ารายชื่อถอดถอน นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เพราะเวลาที่มีข้อสงสัยอะไรขึ้นมา ตนก็ตอบคำถามไปเท่านั้นเองเหมือนที่ได้ไปตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎร ก็ตอบไปเรียบร้อยไม่มีอะไร
นายจักรภพ กล่าวด้วยว่า ตนจะเข้าไปช่วยเหลือรัฐสภาอย่างเต็มที่ ในการพัฒนาโครงการโทรทัศน์รัฐสภา ขณะนี้รัฐสภามีอยู่แล้ว แต่เป็นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ที่ใช้เครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ ที่เรียกว่า "เอ็นบีที 15" คนที่จะดูได้ต้องมีจานดาวเทียมรับ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ตนจะไปช่วยฟังความเห็นของท่าน และรวบรวมความเห็นมาว่า จะมีทางทำให้โทรทัศน์สภาไปได้กว้างขึ้นไกลขึ้น มีคนดูมากขึ้นหรือไม่ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นผลดีจากการตอบกระทู้มากัน เมื่อวานนี้ ในส่วนของ ส.ว.ถ้าถามมาตนก็จะตอบ เราคงต้องให้จุดยืนที่ชัดเจนว่า เมื่อมีการถามเราก็ตอบ เราอยู่ในกระบวนการที่เหมาะสม ด้วยเหตุและผล คิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเป็นเพียงการเข้าใจผิด
รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนเดือนหน้าที่จะมีการจัดระบบสื่อ ต้องการให้สื่อเข้าสู่ครรลองที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการบริการประชาชนมากขึ้น ตรงนี้เราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป ส่วนเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นระหว่างทาง พี่น้องสื่อก็ถามตน และตนก็ตอบไป และรายการที่จะเข้ามาตนก็จะพิจารณารายงานของทุกๆ คนที่ขอเข้ามา โดยไม่จำกัดว่าใครมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าใคร การพิจารณารายการต้องนึกถึงผังรายการรวมของสถานีโทรทัศน์นั้นๆ ไม่ว่า จะเป็นเอ็นบีที หรือช่องอื่นๆ ด้วย เรื่องนี้เราต้องให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนว่า มันคือการจัดรายการโทรทัศน์ไม่ใช่การย่อเอาสภามาใส่ในโทรทัศน์ เพราะฉะนั้นหลักพิจารณาต้องชัดเจนคือ ทำเพื่อประโยชน์ของผู้รับข่าวสารที่แท้จริง
“หมัก” ขอบคุณ กลต.ช่วยอุ้ม “เพ็ญ”
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ ออกมาเปิดเผยว่า อสมท ขาดทุน 27 ล้าน ซึ่งมองกันว่า คนที่รับผิดชอบไปพูดอย่างนี้ มันมีความผิดทางกฎหมายหรือเปล่า เขาก็พยามจะล่อกันให้ได้ แต่ทาง กลต. บอกไม่เป็นไร ซึ่งตนก็สนใจ หากไม่รวมรายได้ของช่อง 7 กับทรูวิชั่น ก็แปลว่าขาดทุน ถ้ารวมรายได้ก็ไม่ขาดทุน เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา
"คุณจักรภพ คงอยากจะให้คนรู้ว่า สมัยที่นายมิ่งขวัญ ทำเขาเจริญก้าวหน้า พอเปลี่ยนมือ ก็ถอยหลัง เท่านั้นเอง ไม่คิดอะไรอื่น แต่ว่าอาจจะเดือดร้อนหากเขาตีความอย่างนั้น ต้องขอบคุณ กลต. ที่ออกมาป้องกันรัฐมนตรีไม่งั้นพูดอะไรก็เสร็จ เรียบร้อยเลย" นายสมัคร กล่าว
เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครอง
นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) กล่าวว่า ตนจะฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากได้รับความเสียหายจากคำสั่งทางปกครองของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ลงหนังสือ วันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า กรมประชาสัมพันธ์ได้รับนโยบายจาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในการพัฒนาสื่อของรัฐ พร้อมกับทางรัฐบาลมีนโยบายต้องการจะลดความขัดแย้งในสังคม อีกทั้งขณะนี้มี พ.ร.บ.กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. พ.ศ. 2551 ฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา และทาง สทท.11 กำลังปรับผังรายการใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ จึงขอยกเลิกรายการ"ทิศทางเศรษฐกิจ" ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลงนามโดย นายสุริยงค์ หุณะสาร ผู้อำนวยการส่วนจัดและควบคุม รายการ สถานี NBT
"การถอดรายการอย่างกะทันหันแบบนี้ ทำให้ได้รับความเสียหายอย่างมาก นับล้านๆบาท เพราะทางบริษัทได้ทำสัญญากับช่อง 11 ซึ่งสัญญาจะหมดในช่วงเดือน มิ.ย. นี้ แต่กลับถูกยกเลิกกระทันหัน ซึ่งการกระทำอย่างนี้ทำให้บริษัทเสีย จากโฆษณาที่ขายไปแล้ว และกระทบไปถึงพนักงานที่มีอยู่กว่า 10 คน ต้องตกงานไปด้วย" นายพิเชียร กล่าว
นายพิเชียร กล่าวอีกว่า การขอยกเลิกรายการกระทันหันโดยไม่รอให้สัญญาหมดลงตามกำหนดนั้น ทราบว่ามีอีก 5-6 รายการ ที่ได้รับชะตากรรมเดียวกัน ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้รมต.ประจำสำนักนายกฯ ควรให้ความเป็นธรรมกับรายการเดิมที่จัดกันอยู่กับ ช่อง 11 และที่สำคัญไม่ควรนำเรื่องประเด็นทางการเมือง และ ผลประโยชน์ของคนเฉพาะกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออ้างว่าต้องการลดความขัดแย้งในสังคม เพราะรายการทิศทางเศรษฐกิจ ที่ผลิตอยู่นั้นจัดมากว่า 11 ปี ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามา ก็ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนแต่ประการใด
"รายการผมจัดมากว่า 11 ปี ไม่ว่ารัฐบาลใดเข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่เคยจะถูกยกเลิกเลย แต่ไม่รู้ทำไมพอคุณจักรภพ เข้ามาจึงได้ทำแบบนี้ ทั้งๆที่มีสัญญากับทางช่อง 11 จะต้องหมดในช่วงเดือน มิ.ย."นายพิเชียร กล่าว
นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ กรณีการขู่คาดโทษ และสั่งตั้งคณะกรรมการสอบกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อสมท และ สั่งให้ยึดคลื่นคืน 5 คลื่น ในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์คืนจากภาคเอกชนที่รับสัมปทานนั้น อาจเข้าข่ายการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และส่อเจตนาถึงการคุกคาม แทรกแซง และครอบงำในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ว่า เรื่องของ บริษัท อสมท.จำกัด(มหาชน)นั้น ตนพูดชัดเจนในทุกครั้งว่า หน้าที่ในการเสนอชื่อคณะกรรมการ หรือบอร์ด การขยับเคลื่อนไหวของผู้บริหาร อย่างกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นหน้าที่รัฐมนตรีโดยตรง
“เพ็ญ” ปฏิเสธล็อกสเปก ผอ.อสมท
สิ่งที่ตนพูดไปนั้น เรื่อง อสมท จะมีการปรับเปลี่ยน เหมือนกรมประชาสัมพันธ์ หรือไม่ ขอเรียนว่า มาถึงจังหวะที่ต้องเสนอชื่อกรรมการใหม่ 9 คน จาก 13 คน แต่ขอย้ำ หน้าที่ในการสรรหาบุคคลที่จะนั่งในกรรมการบริหาร อสมท เป็นของคณะกรรมการที่บอร์ด อสมท ตั้งขึ้นมา ซึ่งในขณะนี้เป็นของปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นกรรมการสรรหาว่า ใครสมควรที่จะเป็นกรรมการ หรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประเภทต่างๆ ที่จะนั่งในบอร์ด ของ อสมท ตนจะไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง ยกเว้นให้นโยบายของรัฐไปว่ารัฐต้องการอะไรจากหน่วยงานที่มีความสำคัญใน อสมท ไม่ลงลึกถึงขั้นตัวบุคคล หรือสเปกคนที่จะมานั่ง
ส่วนเรื่องของกรรมการผู้จัดการใหญ่ อสมท นั้น นายจักรภพ กล่าวต่อว่า ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีกรรมการบริหารเต็มที่แล้ว ได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นในบริษัท อสมท จำกัด มหาชน แล้วเขาจะจัดการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องของบอร์ดโดยตรง ไม่เกี่ยวกับตน พูดกันให้ชัดว่าจุดยืนคืออย่างนี้ ต่างจากกรมประชาสัมพันธ์ อันนั้นต้องเข้าไปช่วยเหลือในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยตรง
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าจะให้เวลาถึงเดือนเม.ย.นั้น รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นั่นคือเวลาของการประชุมผู้ถือหุ้น ตนเพียงรายงานปฏิทินเวลาให้ทราบเท่านั้นเองว่า เดือนเม.ย. จะมีการเชิญผู้ถือหุ้น ของ อสมท. ร่วมประชุมกัน ก็จะรายงานการดำเนินการ ผลกำไร ขาดทุน ผลการประกอบการรวม โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี และตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไปยุ่ง จึงไม่ได้เข้าไปร่วมประชุม เป็นเพียงผู้ถือหุ้นประชุมกัน และคณะกรรมการบริหาร อสมท ตลอดจนเลขานุการของบอร์ด คือ ตัวกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ต้องรายงานผลต่อที่ประชุมนั้นเท่านั้น ตนก็รอรายงานผลการประชุมนั้น ตนก็ติดตามผลการประชุมเหมือนบุคคลทั่วไป
ไม่สน ส.ว.เข้าชื่อถอดถอน
เมื่อถามถึงการที่ ส.ว.จะมีการล่ารายชื่อถอดถอน นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เพราะเวลาที่มีข้อสงสัยอะไรขึ้นมา ตนก็ตอบคำถามไปเท่านั้นเองเหมือนที่ได้ไปตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎร ก็ตอบไปเรียบร้อยไม่มีอะไร
นายจักรภพ กล่าวด้วยว่า ตนจะเข้าไปช่วยเหลือรัฐสภาอย่างเต็มที่ ในการพัฒนาโครงการโทรทัศน์รัฐสภา ขณะนี้รัฐสภามีอยู่แล้ว แต่เป็นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ที่ใช้เครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ ที่เรียกว่า "เอ็นบีที 15" คนที่จะดูได้ต้องมีจานดาวเทียมรับ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ตนจะไปช่วยฟังความเห็นของท่าน และรวบรวมความเห็นมาว่า จะมีทางทำให้โทรทัศน์สภาไปได้กว้างขึ้นไกลขึ้น มีคนดูมากขึ้นหรือไม่ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นผลดีจากการตอบกระทู้มากัน เมื่อวานนี้ ในส่วนของ ส.ว.ถ้าถามมาตนก็จะตอบ เราคงต้องให้จุดยืนที่ชัดเจนว่า เมื่อมีการถามเราก็ตอบ เราอยู่ในกระบวนการที่เหมาะสม ด้วยเหตุและผล คิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเป็นเพียงการเข้าใจผิด
รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนเดือนหน้าที่จะมีการจัดระบบสื่อ ต้องการให้สื่อเข้าสู่ครรลองที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการบริการประชาชนมากขึ้น ตรงนี้เราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป ส่วนเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นระหว่างทาง พี่น้องสื่อก็ถามตน และตนก็ตอบไป และรายการที่จะเข้ามาตนก็จะพิจารณารายงานของทุกๆ คนที่ขอเข้ามา โดยไม่จำกัดว่าใครมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าใคร การพิจารณารายการต้องนึกถึงผังรายการรวมของสถานีโทรทัศน์นั้นๆ ไม่ว่า จะเป็นเอ็นบีที หรือช่องอื่นๆ ด้วย เรื่องนี้เราต้องให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนว่า มันคือการจัดรายการโทรทัศน์ไม่ใช่การย่อเอาสภามาใส่ในโทรทัศน์ เพราะฉะนั้นหลักพิจารณาต้องชัดเจนคือ ทำเพื่อประโยชน์ของผู้รับข่าวสารที่แท้จริง
“หมัก” ขอบคุณ กลต.ช่วยอุ้ม “เพ็ญ”
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ ออกมาเปิดเผยว่า อสมท ขาดทุน 27 ล้าน ซึ่งมองกันว่า คนที่รับผิดชอบไปพูดอย่างนี้ มันมีความผิดทางกฎหมายหรือเปล่า เขาก็พยามจะล่อกันให้ได้ แต่ทาง กลต. บอกไม่เป็นไร ซึ่งตนก็สนใจ หากไม่รวมรายได้ของช่อง 7 กับทรูวิชั่น ก็แปลว่าขาดทุน ถ้ารวมรายได้ก็ไม่ขาดทุน เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา
"คุณจักรภพ คงอยากจะให้คนรู้ว่า สมัยที่นายมิ่งขวัญ ทำเขาเจริญก้าวหน้า พอเปลี่ยนมือ ก็ถอยหลัง เท่านั้นเอง ไม่คิดอะไรอื่น แต่ว่าอาจจะเดือดร้อนหากเขาตีความอย่างนั้น ต้องขอบคุณ กลต. ที่ออกมาป้องกันรัฐมนตรีไม่งั้นพูดอะไรก็เสร็จ เรียบร้อยเลย" นายสมัคร กล่าว
เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครอง
นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) กล่าวว่า ตนจะฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากได้รับความเสียหายจากคำสั่งทางปกครองของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ลงหนังสือ วันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า กรมประชาสัมพันธ์ได้รับนโยบายจาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในการพัฒนาสื่อของรัฐ พร้อมกับทางรัฐบาลมีนโยบายต้องการจะลดความขัดแย้งในสังคม อีกทั้งขณะนี้มี พ.ร.บ.กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. พ.ศ. 2551 ฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา และทาง สทท.11 กำลังปรับผังรายการใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ จึงขอยกเลิกรายการ"ทิศทางเศรษฐกิจ" ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลงนามโดย นายสุริยงค์ หุณะสาร ผู้อำนวยการส่วนจัดและควบคุม รายการ สถานี NBT
"การถอดรายการอย่างกะทันหันแบบนี้ ทำให้ได้รับความเสียหายอย่างมาก นับล้านๆบาท เพราะทางบริษัทได้ทำสัญญากับช่อง 11 ซึ่งสัญญาจะหมดในช่วงเดือน มิ.ย. นี้ แต่กลับถูกยกเลิกกระทันหัน ซึ่งการกระทำอย่างนี้ทำให้บริษัทเสีย จากโฆษณาที่ขายไปแล้ว และกระทบไปถึงพนักงานที่มีอยู่กว่า 10 คน ต้องตกงานไปด้วย" นายพิเชียร กล่าว
นายพิเชียร กล่าวอีกว่า การขอยกเลิกรายการกระทันหันโดยไม่รอให้สัญญาหมดลงตามกำหนดนั้น ทราบว่ามีอีก 5-6 รายการ ที่ได้รับชะตากรรมเดียวกัน ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้รมต.ประจำสำนักนายกฯ ควรให้ความเป็นธรรมกับรายการเดิมที่จัดกันอยู่กับ ช่อง 11 และที่สำคัญไม่ควรนำเรื่องประเด็นทางการเมือง และ ผลประโยชน์ของคนเฉพาะกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออ้างว่าต้องการลดความขัดแย้งในสังคม เพราะรายการทิศทางเศรษฐกิจ ที่ผลิตอยู่นั้นจัดมากว่า 11 ปี ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามา ก็ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนแต่ประการใด
"รายการผมจัดมากว่า 11 ปี ไม่ว่ารัฐบาลใดเข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่เคยจะถูกยกเลิกเลย แต่ไม่รู้ทำไมพอคุณจักรภพ เข้ามาจึงได้ทำแบบนี้ ทั้งๆที่มีสัญญากับทางช่อง 11 จะต้องหมดในช่วงเดือน มิ.ย."นายพิเชียร กล่าว