ตลาดบ้านมือสองมีเฮ ลุ้นครม.เปิดทางผ่อนผันภาษี ค่าลดหย่อน-โอน ตามมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ “หมอเลี้ยบ” ยาหอมออกมาตร- การอีกระลอก กระตุ้นตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงนักธุรกิจ เชื่ออสังหาฯ ช่วยเพิ่มสัดส่วน GDP อีก 0.2-0.3% เซ็นแล้วเงินกู้เจบิก 6.2 หมื่นล้านเยน ลุยรถไฟสายสีม่วง เชื่ออยู่ 4 ปีครบทุกสาย ด้านผู้บริหารเกียรตินาคินฯ ระบุที่ดินสุขุมวิท-บางปูพุ่ง รับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส "นายกฯอาคารชุดไทย" ชี้หากรถไฟฟ้าเกิดจริง โครงการแนวราบเริ่มมีโอกาสเติบโต
หลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ จาก 3.3 % เหลือ 0.1% ค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง จาก 2% เหลือ 0.01% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทอสังหาฯที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้
นายสุรสิท์ สหัสธรรมรังษี ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กรมที่ดิน กล่าวว่า จากกรณีที่นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯว่า อาจจะมีการออกมาตรการเสริมเข้ามาเพิ่มอีกนั้น ยังไม่สามารถระบุว่าจะรวมถึงการลดภาษีในส่วนของการซื้อขายบ้านมือสองที่ไม่อยู่ในผังโครงการบ้านจัดสรรหรือไม่ ส่วนมาตราการอสังหาฯที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไปแล้วนั้น ขณะนี้รอการประกาศใช้ในพระราชกิจจานุเบกษา
ทั้งนี้ มาตรการภาษีดังกล่าวในเบื้องต้น จะครอบคลุมเฉพาะการซื้อขายที่ดินเปล่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในโครงการจัดสรรและโครงการสำนักงานให้เช่าเท่านั้น ส่วนที่ดินเปล่าและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้อยู่ในผังของโครงการจัดสรร จะไม่ได้รับผลจากมาตรการ ยกเว้นเสียแต่ครม.จะมีมติอนุมัติเพิ่มเติมในส่วนของบ้านมือสองรวมเข้าไปในมาตรการอสังหาฯด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพย์สินรอการขาย(เอ็นพีเอ)ของสถาบันการเงินได้รับประโยชน์ไปด้วย
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายของภาครัฐกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อความเติบโตแบบยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2551 " ซึ่งจัดโดย สมาคมอาคารชุดดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ว่า รัฐบาลยังเตรียมออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งที่เป็นมาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษีออกมาอีกหลายชุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ครอบคลุมทั้งระบบ
ในส่าวนของธุรกิจอสังหาฯ ยังเตรียมออกมาตรการระยะยาวเพิ่มเติม ซึ่งจะมีผลครอบคลุมในทุกระดับชั้นตั้งแต่กลุ่มรากหญ้าจนไปถึงนักธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการเน้นการพัฒนายุทธศาสตร์ของประเทศในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน นอกเหนือไปจากมาตรการระยะสั้นที่ออกมาก่อนหน้านี้
โดยส่วนมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯที่รัฐบาลได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ น่าจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 51 เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 0.2-0.3% จากที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ไว้ที่ 5.5% นอกจากนี้ คาดว่าจะทำให้สัดส่วนของภาคธุรกิจอสังหาฯต่อจีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้นจาก 6.3% เป็น 6.5-7.0% และหากรวมกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากธุรกิจอสังหาฯ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก , ไฟฟ้า , เฟอร์นิเจอร์ และธุรกิจโฆษณาประชาสัมพันธ์ วิชาชีพต่างๆ อสังหาฯ อาจมีสัดส่วนถึง 20% ของ GDP
ทั้งนี้ ในปี 50 ภาคธุรกิจอสังหาฯ มีมูลค่าประมาณ 264,035 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.9% ของ GDP ในขณะที่ภาคการก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วน 2.4% ของ GDP เมื่อรวมกันจะมีสัดส่วน 6.3% ของ GDP ดังนั้น ภาคอสังหาฯจึงถือเป็นธุรกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเข้าไปกระตุ้นความเชื่อมั่นเป็นลำดับแรก
คลังเซ็นกู้เจบิก 6.2 หมื่นล้านเยน
นพ.สุรพงษ์ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจยังมีปัญหาและจะยังคงเป็นปัญหาไปอีกนาน ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมีมาตร-การเร่งด่วนออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครง-การก่อสร้างรถไฟฟ้าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคอสังหาริม-ทรัพย์ได้มากขึ้น โดยเชื่อว่าในระหว่างปี 52-55 จะได้เห็นความแน่นอนของการก่อสร้างรถไฟฟ้าในทุกสายตามนโยบายที่รัฐบาลวางไว้
ล่าสุด วานนี้ (26 มี.ค.)นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนายHideaki Kobayashi เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมทางการเงินกับทางธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) วงเงิน 62,442 ล้านเยน เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ
สำหรับเงื่อนไขทางการเงินในครั้งนี้ เป็นโครงการเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนครั้งที่ 30 กำหนดอัตรดอกเบี้ย 1.4% ต่อปี สำหรับวงเงินที่ใช้จัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการ และ 0.01% ต่อปีสำหรับการจ้างที่ปรึกษา และมีค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ในอัตรา 0.1%ของวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย ส่วนระยะเวลาชำระคืนหนี้ดังกล่าวกำหนดไว้ 25 ปี โดยมีระยะปลอดหนี้และเงินต้น 7 ปี
โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นเจ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเมื่อเดือนต.ค.50 ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดก่อน อนุมัติการก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่า ราว 30,000 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทางบางใหญ่-บางซื่อ เป็นโครงการรถไฟฟ้าแบบยกระดับ มีระยะทาง 23 กิโลเมตร มีสถานีรับส่งผู้โดยสาร จำนวน 16 สถานี โครงการมีมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 55,900ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงานโยธา 31,200 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงานระบบรถไฟฟ้า,ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และงานที่ปรึกษาระหว่างก่อสร้าง
"รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานต่อไปจนครบวาระ 4 ปี แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งอุบัติเหตุทางการเมืองถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาประเทศ เพราะการขับเคลื่อนประเทศคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรีเพียง 36 คนเท่านั้น ซึ่งต้องมาจากนักวิชาการ ประชาชน และองค์กรภาคต่างๆ"รองนายกฯกล่าวอย่างมั่นใจ
ที่ดินถนนสุขุมวิท-บางปูพุ่ง
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีทองของธุรกิจอสังหาฯ หลังจากที่มีการชะลอมาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยบวกในเรื่องของนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯรัฐบาล ประกอบการสต๊อกสินค้าใหม่ในตลาดเกิดน้อยลง เนื่องจากราคาต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาโครงการขนาดเล็กลง ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสต๊อกเก่าได้มากขึ้น พิจารณาได้จากยอดขายลูกค้าของธนาคารในไตรมาสแรกของปีนี้ดีขึ้น
นอกจากนี้ โครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าได้ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างมาก เช่นส่วนต่อขยายบีทีเอสอ่อนนุช-แบริ่ง ส่งผลให้ราคาที่ดินบนถนนสุขุมวิทไปจนถึงบางปูปรับสูงขึ้นไปอย่างมาก จนสามารถก่อสร้างได้เฉพาะคอนโดมิเนียมเท่านั้น
บิ๊ก ธอส.เตือนการเมือง-ซับไพรม์รอวันปะทุ
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ดี มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และยังให้ความสำคัญต่อภาคอสังหาฯ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสียงด้านการเมืองที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าในอีก 3 หรือ 6 เดือนจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงที่เกิดจากปัญหาสิน-เชื่อซับไพรม์ของอเมริกา ซึ่งในอีก 3 ถือ 6 เดือนข้างหน้า สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่เข้าไปซื้อสินเชื่อซัปไพรม์ ไปก่อนหน้านี้จะต้องทำการเพิ่มทุนอีกครัง หลังจากที่ไปเพิ่มทุนไปแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังได้
คาดบ้านแนวราบโต 5-10 %
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดโครงการแนวราบในปีนี้จะเติบโตได้ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับผลบวกจากการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง การออกมาตรการอสังหาฯซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อบ้านเดี่ยวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าจริง จะช่าวยให้โครงการแนวราบชานเมืองกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และส่งผลให้ที่ดินมีราคาแพงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของโครงการประเภทบ้านแฝดและทาวน์-เฮาส์มีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น
หลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ จาก 3.3 % เหลือ 0.1% ค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง จาก 2% เหลือ 0.01% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทอสังหาฯที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้
นายสุรสิท์ สหัสธรรมรังษี ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กรมที่ดิน กล่าวว่า จากกรณีที่นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯว่า อาจจะมีการออกมาตรการเสริมเข้ามาเพิ่มอีกนั้น ยังไม่สามารถระบุว่าจะรวมถึงการลดภาษีในส่วนของการซื้อขายบ้านมือสองที่ไม่อยู่ในผังโครงการบ้านจัดสรรหรือไม่ ส่วนมาตราการอสังหาฯที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไปแล้วนั้น ขณะนี้รอการประกาศใช้ในพระราชกิจจานุเบกษา
ทั้งนี้ มาตรการภาษีดังกล่าวในเบื้องต้น จะครอบคลุมเฉพาะการซื้อขายที่ดินเปล่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในโครงการจัดสรรและโครงการสำนักงานให้เช่าเท่านั้น ส่วนที่ดินเปล่าและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้อยู่ในผังของโครงการจัดสรร จะไม่ได้รับผลจากมาตรการ ยกเว้นเสียแต่ครม.จะมีมติอนุมัติเพิ่มเติมในส่วนของบ้านมือสองรวมเข้าไปในมาตรการอสังหาฯด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพย์สินรอการขาย(เอ็นพีเอ)ของสถาบันการเงินได้รับประโยชน์ไปด้วย
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายของภาครัฐกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อความเติบโตแบบยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2551 " ซึ่งจัดโดย สมาคมอาคารชุดดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ว่า รัฐบาลยังเตรียมออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งที่เป็นมาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษีออกมาอีกหลายชุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ครอบคลุมทั้งระบบ
ในส่าวนของธุรกิจอสังหาฯ ยังเตรียมออกมาตรการระยะยาวเพิ่มเติม ซึ่งจะมีผลครอบคลุมในทุกระดับชั้นตั้งแต่กลุ่มรากหญ้าจนไปถึงนักธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการเน้นการพัฒนายุทธศาสตร์ของประเทศในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน นอกเหนือไปจากมาตรการระยะสั้นที่ออกมาก่อนหน้านี้
โดยส่วนมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯที่รัฐบาลได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ น่าจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 51 เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 0.2-0.3% จากที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ไว้ที่ 5.5% นอกจากนี้ คาดว่าจะทำให้สัดส่วนของภาคธุรกิจอสังหาฯต่อจีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้นจาก 6.3% เป็น 6.5-7.0% และหากรวมกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากธุรกิจอสังหาฯ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก , ไฟฟ้า , เฟอร์นิเจอร์ และธุรกิจโฆษณาประชาสัมพันธ์ วิชาชีพต่างๆ อสังหาฯ อาจมีสัดส่วนถึง 20% ของ GDP
ทั้งนี้ ในปี 50 ภาคธุรกิจอสังหาฯ มีมูลค่าประมาณ 264,035 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.9% ของ GDP ในขณะที่ภาคการก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วน 2.4% ของ GDP เมื่อรวมกันจะมีสัดส่วน 6.3% ของ GDP ดังนั้น ภาคอสังหาฯจึงถือเป็นธุรกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเข้าไปกระตุ้นความเชื่อมั่นเป็นลำดับแรก
คลังเซ็นกู้เจบิก 6.2 หมื่นล้านเยน
นพ.สุรพงษ์ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจยังมีปัญหาและจะยังคงเป็นปัญหาไปอีกนาน ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมีมาตร-การเร่งด่วนออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครง-การก่อสร้างรถไฟฟ้าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคอสังหาริม-ทรัพย์ได้มากขึ้น โดยเชื่อว่าในระหว่างปี 52-55 จะได้เห็นความแน่นอนของการก่อสร้างรถไฟฟ้าในทุกสายตามนโยบายที่รัฐบาลวางไว้
ล่าสุด วานนี้ (26 มี.ค.)นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนายHideaki Kobayashi เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมทางการเงินกับทางธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) วงเงิน 62,442 ล้านเยน เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ
สำหรับเงื่อนไขทางการเงินในครั้งนี้ เป็นโครงการเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนครั้งที่ 30 กำหนดอัตรดอกเบี้ย 1.4% ต่อปี สำหรับวงเงินที่ใช้จัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการ และ 0.01% ต่อปีสำหรับการจ้างที่ปรึกษา และมีค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ในอัตรา 0.1%ของวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย ส่วนระยะเวลาชำระคืนหนี้ดังกล่าวกำหนดไว้ 25 ปี โดยมีระยะปลอดหนี้และเงินต้น 7 ปี
โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นเจ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเมื่อเดือนต.ค.50 ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดก่อน อนุมัติการก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่า ราว 30,000 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทางบางใหญ่-บางซื่อ เป็นโครงการรถไฟฟ้าแบบยกระดับ มีระยะทาง 23 กิโลเมตร มีสถานีรับส่งผู้โดยสาร จำนวน 16 สถานี โครงการมีมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 55,900ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงานโยธา 31,200 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงานระบบรถไฟฟ้า,ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และงานที่ปรึกษาระหว่างก่อสร้าง
"รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานต่อไปจนครบวาระ 4 ปี แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งอุบัติเหตุทางการเมืองถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาประเทศ เพราะการขับเคลื่อนประเทศคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรีเพียง 36 คนเท่านั้น ซึ่งต้องมาจากนักวิชาการ ประชาชน และองค์กรภาคต่างๆ"รองนายกฯกล่าวอย่างมั่นใจ
ที่ดินถนนสุขุมวิท-บางปูพุ่ง
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีทองของธุรกิจอสังหาฯ หลังจากที่มีการชะลอมาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยบวกในเรื่องของนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯรัฐบาล ประกอบการสต๊อกสินค้าใหม่ในตลาดเกิดน้อยลง เนื่องจากราคาต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาโครงการขนาดเล็กลง ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสต๊อกเก่าได้มากขึ้น พิจารณาได้จากยอดขายลูกค้าของธนาคารในไตรมาสแรกของปีนี้ดีขึ้น
นอกจากนี้ โครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าได้ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างมาก เช่นส่วนต่อขยายบีทีเอสอ่อนนุช-แบริ่ง ส่งผลให้ราคาที่ดินบนถนนสุขุมวิทไปจนถึงบางปูปรับสูงขึ้นไปอย่างมาก จนสามารถก่อสร้างได้เฉพาะคอนโดมิเนียมเท่านั้น
บิ๊ก ธอส.เตือนการเมือง-ซับไพรม์รอวันปะทุ
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ดี มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และยังให้ความสำคัญต่อภาคอสังหาฯ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสียงด้านการเมืองที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าในอีก 3 หรือ 6 เดือนจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงที่เกิดจากปัญหาสิน-เชื่อซับไพรม์ของอเมริกา ซึ่งในอีก 3 ถือ 6 เดือนข้างหน้า สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่เข้าไปซื้อสินเชื่อซัปไพรม์ ไปก่อนหน้านี้จะต้องทำการเพิ่มทุนอีกครัง หลังจากที่ไปเพิ่มทุนไปแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังได้
คาดบ้านแนวราบโต 5-10 %
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดโครงการแนวราบในปีนี้จะเติบโตได้ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับผลบวกจากการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง การออกมาตรการอสังหาฯซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อบ้านเดี่ยวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าจริง จะช่าวยให้โครงการแนวราบชานเมืองกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และส่งผลให้ที่ดินมีราคาแพงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของโครงการประเภทบ้านแฝดและทาวน์-เฮาส์มีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น