ผู้จัดการรายวัน – “พฤกษา” เสือปืนไว ปรับแผนธุรกิจเร่งเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะแนวราบ 32 โครงการ หวังขายและโอนให้ทันมาตรการภาษีระยะ 1 ปี ประเดิมปูพรมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวรอบกรุงเทพฯ 5 โครงการรวด ฟุ้งเทคโนโลยีพรีแคสสร้างบ้านเสร็จใน 80 วัน เชื่อโอนบ้านทันระยะเวลามาตรการ 1 ปี 20,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยว่า นับจากรัฐบาลประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการลดภาษีภาคอสังหาริมทรัพย์ ค่าจดจำนอง ภาษีธุรกิจเฉพาะรวมถึงค่าธรรมเนียมการโอน ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ 3-4% ขณะที่ประชาชนได้รับประโยชน์ 2-3% โดยมีระยะเวลา 1 ปี นับจากมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม นับจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติมาตรการดังกล่าว ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆด้วย ส่งผลให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและเริ่มซื้อบ้านอีกครั้ง โดยสังเกตได้จากยอดขายในแต่ละโครงการของบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้น โดยในย่านรังสิตเดิมขายได้โครงการละ 20-30 ยูนิต/เดือน แต่ในช่วง 3 เดือนแรกขอปีนี้ขายได้ 50-60 ยูนิต/เดือน คาดว่าในไตรมาสแรกบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ที่ 4,480 ล้านบาท
ดังนั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว บริษัทจึงได้เร่งเปิดโครงการใหม่ให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ซึ่งตามแผนเดิมจะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 40 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 14 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 18 โครงการและคอนโดมิเนียม 8 โครงการ เฉลี่ยเปิดตลอดทั้งปี 51 และคาดว่าจะเปิดโครงการเพิ่มอีกหากมีที่ดินที่มีศักยภาพเข้ามา
โดยในช่วงเดือนมีนาคมนี้ บริษัทได้เปิดโครงการบ้านเดี่ยวในแบรนด์ พฤกษา วิลเลจ ระดับราคา 1.99-2.2 ล้านบาท 5 โครงการรวด กระจายรอบนอกรุงเทพฯ จำนวน 1,049 ยูนิต มูลค่า โครงการ 2,429 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แต่ละโครงการเป็นโครงการขนาดไม่ใหญ่ 160-200 ยูนิต แต่เน้นการกระจายทำเล ประกอบด้วย รังสิต-ครอง 2, รังสิต-คลอง 3, พระราม 5 -บางใหญ่, รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ และศรีนครินทร์-เทพารักษ์
“ เราต้องการเร่งเปิดให้ทันกับมาตรการ แต่ก็ไม่ได้เปิดโครงการใหญ่เน้นการกระจายทำเล และที่สำคัญเป็นบ้านสั่งสร้าง จึงไม่มีปัญหาเรื่องของสต๊อกบ้านเหลือ และที่สำคัญ พฤกษาฯพัฒนาเทคโนโลยีระบบพรีแคสให้มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานเดียวกัน แล้วนำมาประกอบที่ไซน์งาน ทำให้บ้านของเรามีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งในอดีตยอมรับว่ามีปัญหาบ้างแต่เราได้เร่งดำเนินแก้ไขให้ลูกค้าในทันที” นายประเสริฐกล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างดังกล่าว ทำให้พฤกษาฯสามารถสร้างบ้านได้เร็วขึ้นจากเดิม 150 วัน เหลือเพียง 75-80 วันเท่านั้น ซึ่งจะทำให้พฤกษาสามารถโอนบ้านได้ทันกับระยะเวลามาตรการ 1 ปี ประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ตั้งเป้าโอนบ้านได้ 14,000 ล้านบาท จากยอดขาย 20,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือแล้ว 10,000 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ 7,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ได้ปรับรูปแบบ(โมเดล)บริษัทใหม่ ได้แก่ 1. เป็นอินทิเกตเต็ด ดีเวลลอปเปอร์ คือ เป็นทั้งผู้พัฒนาที่ดิน ผู้ก่อสร้าง ผู้ผลิต ผู้ขาย รวมทุกอย่าง 2. โมเดิร์นเทรด ดีเวลลอปเปอร์ คือ การพัฒนาบ้านขายเร็วโอนเร็วได้เงินสดเข้ามา ในขณะที่การก่อสร้างหรือการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง ใช้เครดิตระยะยาว ทำให้สามารถนำเม็ดเงินที่เหลือไปลงทุนในโครงการต่อๆไปได้ สังเกตได้จาก บริษัทขยายโครงการจำนวนมาก แต่กลับมีหนี้สินต่อทุนต่ำ (D/E) เพียง 0..35 เท่านั้น และหากแยกเฉพาะเงินกู้มีดอกเบี้ยจะทำให้มีหนี้สินต่อทุนเพียง 0.15 ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยว่า นับจากรัฐบาลประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการลดภาษีภาคอสังหาริมทรัพย์ ค่าจดจำนอง ภาษีธุรกิจเฉพาะรวมถึงค่าธรรมเนียมการโอน ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ 3-4% ขณะที่ประชาชนได้รับประโยชน์ 2-3% โดยมีระยะเวลา 1 ปี นับจากมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม นับจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติมาตรการดังกล่าว ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆด้วย ส่งผลให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและเริ่มซื้อบ้านอีกครั้ง โดยสังเกตได้จากยอดขายในแต่ละโครงการของบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้น โดยในย่านรังสิตเดิมขายได้โครงการละ 20-30 ยูนิต/เดือน แต่ในช่วง 3 เดือนแรกขอปีนี้ขายได้ 50-60 ยูนิต/เดือน คาดว่าในไตรมาสแรกบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ที่ 4,480 ล้านบาท
ดังนั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว บริษัทจึงได้เร่งเปิดโครงการใหม่ให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ซึ่งตามแผนเดิมจะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 40 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 14 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 18 โครงการและคอนโดมิเนียม 8 โครงการ เฉลี่ยเปิดตลอดทั้งปี 51 และคาดว่าจะเปิดโครงการเพิ่มอีกหากมีที่ดินที่มีศักยภาพเข้ามา
โดยในช่วงเดือนมีนาคมนี้ บริษัทได้เปิดโครงการบ้านเดี่ยวในแบรนด์ พฤกษา วิลเลจ ระดับราคา 1.99-2.2 ล้านบาท 5 โครงการรวด กระจายรอบนอกรุงเทพฯ จำนวน 1,049 ยูนิต มูลค่า โครงการ 2,429 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แต่ละโครงการเป็นโครงการขนาดไม่ใหญ่ 160-200 ยูนิต แต่เน้นการกระจายทำเล ประกอบด้วย รังสิต-ครอง 2, รังสิต-คลอง 3, พระราม 5 -บางใหญ่, รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ และศรีนครินทร์-เทพารักษ์
“ เราต้องการเร่งเปิดให้ทันกับมาตรการ แต่ก็ไม่ได้เปิดโครงการใหญ่เน้นการกระจายทำเล และที่สำคัญเป็นบ้านสั่งสร้าง จึงไม่มีปัญหาเรื่องของสต๊อกบ้านเหลือ และที่สำคัญ พฤกษาฯพัฒนาเทคโนโลยีระบบพรีแคสให้มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานเดียวกัน แล้วนำมาประกอบที่ไซน์งาน ทำให้บ้านของเรามีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งในอดีตยอมรับว่ามีปัญหาบ้างแต่เราได้เร่งดำเนินแก้ไขให้ลูกค้าในทันที” นายประเสริฐกล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างดังกล่าว ทำให้พฤกษาฯสามารถสร้างบ้านได้เร็วขึ้นจากเดิม 150 วัน เหลือเพียง 75-80 วันเท่านั้น ซึ่งจะทำให้พฤกษาสามารถโอนบ้านได้ทันกับระยะเวลามาตรการ 1 ปี ประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ตั้งเป้าโอนบ้านได้ 14,000 ล้านบาท จากยอดขาย 20,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือแล้ว 10,000 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ 7,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ได้ปรับรูปแบบ(โมเดล)บริษัทใหม่ ได้แก่ 1. เป็นอินทิเกตเต็ด ดีเวลลอปเปอร์ คือ เป็นทั้งผู้พัฒนาที่ดิน ผู้ก่อสร้าง ผู้ผลิต ผู้ขาย รวมทุกอย่าง 2. โมเดิร์นเทรด ดีเวลลอปเปอร์ คือ การพัฒนาบ้านขายเร็วโอนเร็วได้เงินสดเข้ามา ในขณะที่การก่อสร้างหรือการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง ใช้เครดิตระยะยาว ทำให้สามารถนำเม็ดเงินที่เหลือไปลงทุนในโครงการต่อๆไปได้ สังเกตได้จาก บริษัทขยายโครงการจำนวนมาก แต่กลับมีหนี้สินต่อทุนต่ำ (D/E) เพียง 0..35 เท่านั้น และหากแยกเฉพาะเงินกู้มีดอกเบี้ยจะทำให้มีหนี้สินต่อทุนเพียง 0.15 ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม
